Monday, 21 April 2025
สอท

กลุ่มฯ โรงกลั่นฯ ชี้แจงข้อเท็จจริง หลัง 'กรณ์' เปิดประเด็น “คนไทยโดนปล้น ค่ากลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 10 เท่า”

กลุ่มฯ โรงกลั่นฯ ชี้แจงข้อเท็จจริงประเด็นคุณกรณ์ จาติกวณิช “คนไทยโดนปล้น ค่ากลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 10 เท่า”



ตามที่ คุณกรณ์ จาติกวณิช ได้นำเสนอประเด็น “คนไทยโดนปล้น ค่ากลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 10 เท่า” ผ่านสื่อมวลชนหลายแห่ง มาตั้งแต่วันที่ (12 มิ.ย.65) โดยมีประเด็นหลักคือ ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น 10 เท่า จาก 0.87-0.88 บาท/ลิตร ในเดือนมิถุนายนปี 2563 และ ปี 2564 เพิ่มเป็น 8.56 บาท/ลิตร ในเดือนมิถุนายน ปี 2565 พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน 3 แนวทาง
1. กำหนดเพดานการกลั่น 
2. เก็บภาษีลาภลอย (windfall tax) 
3. จริงจังกับมาตรการประหยัดการใช้พลังงาน



ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) (กลุ่มฯ โรงกลั่นฯ) ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 

ประเด็นที่ 1 ข้อมูลที่คุณกรณ์นำเสนอเป็นการเลือกข้อมูลบางส่วนขึ้นมา เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด โดยค่าการกลั่นที่คุณกรณ์ยกมานั้น ไม่ใช่ค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับ (Market GRM) และยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่เลือกมาเป็นฐานในการเปรียบเทียบ เป็นข้อมูลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 (2563-2564) ซึ่งค่าการกลั่นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมาก ๆ  เมื่อนำมาเปรียบเทียบ จะทำให้เข้าใจผิดว่าค่าการกลั่นในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นมากผิดปกติ หากนำข้อมูลค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับจริง ในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ในปี 2561-2562 มาเปรียบเทียบ พบว่า ค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 สูงขึ้นเพียงประมาณ 0.47 บาทต่อลิตร จากช่วงสถานการณ์ปกติเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สูงถึง 10 เท่าและสูงถึง 8 บาทต่อลิตร อย่างที่กล่าวอ้าง (ตามตารางด้านล่าง)

สอท. บุกบางกอกน้อย – บางพลัด ชูนโยบายท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม พร้อมสร้างงาน สร้างรายได้แบบยั่งยืน

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ในฐานะประธานภาคกรุงเทพฯ ร่วมกับนายสุวัฒน์ ม่วงศิริ อดีต ส.ส. กทม. เปิดศูนย์ประสานงานพรรค เขตบางกอกน้อย-บางพลัด โดยมีนายพัลลภ ปิยะตระกูล เป็นผู้ประสานงานพรรคในพื้นที่ 

พรรคสร้างอนาคตไทย ได้มีข้อเสนอในการพัฒนาเขตบางกอกน้อย-บางพลัด ให้เป็นชุมชนแห่งการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมต่อผู้นำชุมชนในพื้นที่อีกด้วย  เนื่องจากเขตบางกอกน้อย - บางพลัด มีศิลปวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในชุมชนมากมาย โดยเฉพาะนาฏศิลป์โขน ซึ่งเป็นการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย และหาชมได้ยากในปัจจุบัน จึงอยากจะช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นหลังมีความสนใจที่จะเรียนรู้และร่วมกันสืบสานอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป  ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากชุมชน เพราะหากเราสามารถนำภูมิปัญญาที่เรามีมาเป็นจุดขายให้กับพื้นที่  ก็จะสามารถเพิ่มรายได้และอาชีพให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย  

นอกจากนี้ นายพัลลภ ยังเคยเป็นผู้ผลักดันนโยบายค่าตอบแทนแก่ผู้นำชุมชน เนื่องจากเห็นว่าผู้นำชุมชนและคณะกรรมการทำงานดูแลชุมชนด้วยจิตอาสามาตลอด แต่ไม่เคยมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้นำชุมชนที่มาร่วมงานในวันนี้ก็ให้การสนับสนุนและอยากให้มีการผลักดันในเรื่องค่าตอบแทนแก่คณะทำงานของชุมชนตามความเหมาะสม

นายสุรนันทน์  กล่าวว่า จะนำข้อเสนอต่างๆ เข้าหารือกับคณะทำงาน เพื่อผลักดันให้เป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรม ทั้งการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม, สวัสดิการด้านการศึกษา และ เศรษฐกิจชุมชน โดยจะหาแนวทางที่เหมาะสมร่วมกันต่อไป

'สร้างอนาคตไทย' ประกาศความพร้อม ปลุกใจว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แดนใต้ ลั่นระฆังรบ พร้อมเปิดนโยบายหลักพรรคกู้วิกฤติเศรษฐกิจชาติ

เมื่อวันที่ (16 ส.ค. 2565) ที่พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) มีการประชุมระหว่างแกนนำพรรค กับผู้แสดงเจตจำนง เป็นผู้สมัคร ส.ส.ภาคใต้ จำนวน 16 คน เพื่อติดตามสถานการณ์ทางการเมือง พร้อมมอบนโยบายพรรคในการทำงานในพื้นที่ และรับฟังนโยบายที่สำคัญของพรรค รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบาย พร้อมเปิดรับฟังปัญหาของประชาชน ที่สะท้อนผ่านผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค และประธานภาคใต้ ดร.สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรค นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรค และผอ.พรรค นายนริศ เชยกลิ่น รองหัวหน้าพรรคและโฆษกพรรค นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรคและประธานภาคกลาง และ ดร.บุญส่ง ชเลธร รองเลขาธิการพรรค เข้าร่วมประชุม 

ดร.อุตตม กล่าวว่า จากนี้ไปจะมีเวลาทำงานไม่มากนัก ดังนั้น พรรคจะต้องทำงานอย่างเข้มข้น ย้ำให้ชัดเจนว่ายุทธศาสตร์ภาคใต้จะเดินอย่างไร ทีมผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร สส. มีหน้าที่อะไร ต้องการอะไร ซึ่งพรรคมีหน้าที่สนับสนุนให้ถูกจุดในทุกมิติ ขอยืนยันว่าพรรคมีความพร้อมเดินหน้าในสนามเลือกตั้งอย่างแน่นอน และพรรคเตรียมเปิดตัวนโยบายหลักของพรรคเร็ว ๆ นี้

สอท. ขอโอกาสคนรุ่นใหม่ไฟแรง ฮาซัน วันนุ รับใช้ชาวหนองจอก

วันที่ 22 กันยายน 2565 นายสมัย เจริญช่าง ที่ปรึกษาพรรคสร้างอนาคตไทย, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค, นายอิธวัฒน์ พิทักษ์คุมพล กรรมการบริหารพรรค, นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ผู้ประสานงานเขตคลองสามวา และทีมงานพรรคสร้างอนาคตไทย ได้ร่วมกันเปิดศูนย์ประสานงานเขตหนองจอก โดยมีนายฮาซัน วันนุ เป็นผู้ประสานงานในพื้นที่ 

นายสุรนันทน์ กล่าวว่า นายฮาซัน ได้ทำงานจิตอาสาลงพื้นที่ดูแลประชาชนมากว่า 2 ปี โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใดๆ  เป็นคนหนุ่มไฟแรงและได้รับการยอมรับจากคนทุกรุ่น และวันนี้ก็มีโต๊ะอิหม่าม จากกว่า 40 มัสยิด และผู้นำชุมชนในพื้นที่มาร่วมสนับสนุนการทำงานในครั้งนี้ พรรคจึงมั่นใจว่าเราได้เลือกผู้ประสานงานที่ดีที่สุดและทำงานเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่องมารับใช้พี่น้องในครั้งนี้

นายสุรนันทน์ ยังกล่าวอีกว่า การเปิดศูนย์ประสานงานไม่ใช่การเปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง พรรคมีความตั้งใจที่จะเปิดศูนย์เพื่อให้มีความใกล้ชิดประชาชน รับฟังปัญหาและความทุกข์ร้อน ผู้ประสานงานของเราจะช่วยผลักดันและแก้ไข และจะเป็นตัวกลางในการประสานงานระดับท้องถิ่นและระดับชาติ พรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้อง และลดความขัดแย้งทางการเมืองที่ได้ส่งผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยจะร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้

‘ส.อ.ท.’ ผิดหวัง ‘กกพ.’ ขึ้นค่าไฟครัวเรือน ทั้งที่ทิศทางพลังงานขาลง ลั่น!! ทำไมรัฐไม่ปรับราคาให้เป็นบวกกับผู้บริโภคมากขึ้น

(23 มี.ค. 66) นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เคาะค่าไฟงวด พฤษภาคม – สิงหาคม 2566 อัตรา 4.77 บาทต่อหน่วย เป็นอัตราเดียวทั้งครัวเรือนและเอกชน ซึ่งปัจจุบันครัวเรือนจ่าย 4.72 บาทต่อหน่วย และเอกชนจ่าย 5.33 บาทต่อหน่วย ว่ารู้สึกผิดหวังเพราะไม่ได้ช่วยครัวเรือนเลย ทำไมครัวเรือนต้องจ่ายแพงขึ้นแค่ 5 สตางค์ ทั้งๆที่รอบจากนี้ไปเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ทิศทางพลังงานของโลกก็ลง

ดังนั้นตามความเป็นจริงทำไมภาครัฐไม่ปรับสมมติฐานราคาให้เป็นบวกกับผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้งงวดนี้ราคาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ลงเพราะปัจจัยภายนอก อาทิ ค่าเงินและราคาพลังงานทั่วโลกเป็นหลัก ไม่ได้มีกลไกแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและหาทางเลือกอื่นเลย นอกจากก๊าซในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น

สอท. เผย ซาอุฯ เตรียมนำเข้าต้นไม้ 5 หมื่นล้านต้น ชี้!! เป็นโอกาสทองของไทยเพิ่มรายได้เข้าประเทศ

(15 มิ.ย. 66) นายชาติชาย พานิชชีวะ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าร่วมคณะเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย กับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคี และส่งเสริมการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ ในการเร่งผลักดันการค้า การลงทุน โดยหนึ่งที่น่าสนคือ โครงการปลูกต้นไม้ 50,000 ล้านต้น ในกลุ่มประเทศอาหรับตามเป้าหมายของ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย

“โครงการนี้ มีแผนที่จะนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกเพื่อให้บรรลุตามนโยบายซาอุดีอาระเบียสีเขียว (The Saudi Green Initiative) เพื่อเปลี่ยนพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีชีวิตชีวา โดยการปลูกต้นไม้ 10,000 ล้านต้น และร่วมสนับสนุนผลักดันโครงการปลูกต้นไม้ 50,000 ล้านต้นทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง”

ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งต้นไม้ไปยังซาอุฯ แล้วกว่า 200,000 ต้น และถือว่ายังมีโอกาสให้ไทยส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ ได้อีกมาก ซึ่งซาอุดีฯ จะร่วมมือกับประเทศสมาชิก GCC และประเทศหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการปลูกต้นไม้ในเอเชียตะวันตกเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านต้น

นายกำแหง กล้าสุคนธ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มิ.ย. 2566) มีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 146,860 ต้น มูลค่ารวม 138,048,597.02 บาท ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แสดงออกเชิงสัญลักษณ์… ตั้งมั่นรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการนำไม้ยืนต้นที่มีค่ามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) ส่งเสริมเกษตรกรรังสรรค์ประเทศให้เป็นพื้นที่สีเขียว เพิ่มออกซิเจนและโอโซนช่วยให้อากาศสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

พร้อมผลักดันประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนเครดิตระดับโลก โอกาสนี้ มอบวงเงินสินเชื่อให้เกษตรกร 5 ราย จากการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ยอดรวม 623,885 บาท และมอบประกาศเกียรติคุณแก่ธนาคารต้นไม้ 3 ชุมชน ที่เข้าร่วมโครงการ LESS มั่นใจ!! โลกใบนี้จะสวยงามและน่าอยู่ หากเราร่วมแรงร่วมใจรักษาสิ่งแวดล้อม ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่า สร้างความมั่นคงให้ลูกหลาน อนาคตได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ยาวๆ พร้อมยึดเจตคติ… มีต้นไม้… มีป่าไม้… มีเรา… จรรโลงโลกให้น่าอยู่

ตร.ไซเบอร์รวบขบวนการหลอกให้กู้เงินออนไลน์ หลอกพระโอนเงิน 15 ครั้ง เสียหายกว่า 4 แสนบาท

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สืบเนื่องจากผู้เสียหาย(พระ) ต้องการจะกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ให้กับโยมแม่ โดยเข้าไปค้นหาใน Google พบบริการสินเชื่อออนไลน์ ผู้เสียหายได้คลิกเข้าไปลงทะเบียนเพื่อขอกู้เงิน ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายแอดไลน์ เพื่อคุยข้อความทางไลน์และถามว่าผู้เสียหายต้องการเงินเท่าไร หลังจากนั้นคนร้ายได้ส่งลิงก์ Eagleloan (rabbit.xyz) (http://b10.rabbitlon.xyz#/register) มาให้ผู้เสียหายเข้าไปสมัครในแพลตฟอร์มดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายสมัครในแพลตฟอร์มดังกล่าวเสร็จแล้ว มีข้อความเข้าว่าได้รับอนุมัติ โดยแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้กู้รายใหม่ยังไม่มีประวัติการกู้กับทางบริษัทฯ คนร้ายจึงได้ส่งบัญชีธนาคารที่คนร้ายกับพวกเปิดไว้จำนวน 6 บัญชี มาให้ผู้เสียหายต้องชำระค่าบริการต่างๆ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้ทำการโอนไป จำนวน 15 ครั้ง

รวมเป็นเงิน จำนวน 408,723 บาท หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ทำการขอถอนเงินคืน ผู้ต้องหาได้แจ้งว่าต้องฝากเงินเข้าไปอีก ผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.2
รวมมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 408,723 บาท

ต่อมาศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 6 คน ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอหมายจับ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.2 ได้ออกสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ดังนี้

1. นายฐิติวัชร ชาวอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.66          

2. นายเอกภิเชฐ ชาวอำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66

ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด"

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองราย ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึกการจับกุม และนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.จักรกฤช ศรีโรจนากูร ผกก.2 บก.สอท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

‘ส.อ.ท.’ เผย!! ‘ฮอนด้า’ ปรับแผนรวมศูนย์ เพื่อเร่งสปีดพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ตรง ยัน!! ไม่เทไทย เพราะยอดขายที่ผ่านมาลดลงแค่ 4.3% ขณะที่ตลาดร่วง 23.8%

(11 ก.ค. 67) จากกรณีที่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแผนการดำเนินธุรกิจในไทย โดยเรียกว่า ‘การปฏิรูปฟังก์ชันสายการผลิตรถยนต์ของไทย’ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินการผลิตรถยนต์สำเร็จรูป รวมถึงเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ xEV หรือการนำพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้อย่างต่อเนื่องนั้น ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้มองถึงกรณีนี้ โดยประเมินว่า การปรับแผนการผลิตครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับยอดขายที่มีผลกระทบแน่นอน 

ทั้งนี้ฮอนด้าถือเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นรายใหญ่ที่ยังไงก็ไม่ล้มง่ายๆ โดยการปรับโรงงานพัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีการผลิตก็เป็นไปตามเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป

“ที่ผ่านมาทุกแบรนด์ก็เป็นเหมือนกันทั้งจีน, สหรัฐฯ ที่เคยยอดขายมีขึ้นมีลงตามเศรษฐกิจโลก จากเคยขายได้ 17 ล้านคัน เหลือ 9 ล้านคันก็มีมาแล้ว จึงเชื่อว่าฮอนด้าไม่ใช่ว่าจะยอมถอยง่ายๆ ซึ่งการทำธุรกิจปัจจุบันของทุกอุตสาหกรรมก็จะมีการปรับโครงสร้างทั้งภายในและภายนอกเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” นายสุรพงษ์ กล่าว

สำหรับแผนใหม่ของ ฮอนด้า จะเป็นการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ‘e:HEV series’ ซึ่งเป็นระบบฟูลไฮบริดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮอนด้า ที่มีสัดส่วนยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยผลประกอบการในปี 2566 รถในกลุ่มนี้มีสัดส่วนการขาย 32% แต่ปี 2567 นี้ ฮอนด้าตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 70%

ดังนั้นเพื่อให้คล่องตัวในการดำเนินงาน บริษัทจึงพร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตแบบรวมศูนย์ โดยจะปฏิรูปแต่ละโรงงานของเพื่อยกระดับโครงสร้าง ประกอบด้วย...

>> โรงงานปราจีนบุรี จะพัฒนาให้เป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป (CBU) ที่สมบูรณ์แบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสายการผลิตที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความสามารถในการรองรับธุรกิจ

>> โรงงานอยุธยา จะหยุดการผลิตรถยนต์ และหันมาพัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน โดยใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีการผลิต และห่วงโซ่อุปทานที่พัฒนาและสั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี

สำหรับ ฮอนด้า ถือเป็นแบรนด์ใหญ่ที่ฝ่าฟันมาได้ทุกวิกฤติ ตั้งแต่ช่วงเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่อยุธยา ซึ่งฮอนด้าเป็นหนึ่งในโรงงานที่ได้รับผลกระทบรุนแรง จนนำไปสู่การตัดสินใจทำลายรถที่เคลื่อนย้ายหนีน้ำไม่ทันรวม 1,055 คัน รวมถึงชิ้นส่วนที่รอการประกอบ แม้จะไม่ถูกน้ำท่วมเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าจะไม่มีรถยนต์หรือชิ้นส่วนใดจากโรงงานอยุธยาที่อยู่ท่ามกลางน้ำท่วมยาวนาน หลุดรอดออกสู่ตลาด

ปี 2556 ฮอนด้าประกาศลงทุนแห่งใหม่เป็นโครงการขนาดใหญ่มูลค่า มูลค่า 17,150 ล้านบาท ที่ปราจีนบุรี

ปี 2558 บริษัท ฮอนด้า อาร์แอนดี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ประกาศสร้างสนามทดสอบรถยนต์ ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปราจีนบุรี ด้วยเงินลงทุน 1,700 ล้านบาท

ปี 2559 รถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค เจนเนอเรชั่นที่ 10 เป็นรถรุ่นแรกที่โรงงานฮอนด้าปราจีนบุรี

ปี 2560 ฮอนด้าเปิดสนามทดสอบในไทย เพิ่มศักยภาพการวิจัยและพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ที่ปราจีนบุรี

ทั้งนี้ หากสังเกตการลงทุนหลายส่วนที่ปราจีนบุรี ส่วนหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงน้ำท่วมอยุธยา

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนแผนการผลิตครั้งนี้ของ ฮอนด้า ถูกจับตาพอควร เพราะเกิดขึ้นในช่วงตลาดรถยนต์ไทยหดตัวต่อเนื่อง บวกกับการเข้ามาตีตลาดของ EV จีน รวมถึงการประกาศหยุดการผลิตรถยนต์ของแบรนด์ญี่ปุ่น 2 แบรนด์ ก่อนหน้านี้ คือ ซูบารุ ที่มีผลปลายปี 2567 และซูซูกิ มีผลปลายปี 2568

ทว่าหากดูภาพรวมตลาดรถยนต์ที่หดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 ล่าสุดช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) พบว่าฮอนด้ามียอดขายรวม 37,374 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 4.3% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีถ้าเทียบกับหลายแบรนด์ หรือ ตลาดรวมที่ติดลบ 23.8%

แต่มีความเป็นไปได้ที่ฮอนด้าจะรวมการผลิตไว้ในแห่งเดียวเพื่อบริหารต้นทุนในภาวะที่ตลาดรถยนต์หดตัว อีกทั้งที่ปราจีนบุรีเป็นโรงงานที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า และยังมีศูนย์ อาร์แอนด์ดี และสนามทดสอบในย่านเดียวกัน ทำให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

สอท. ร่วมกับ กสทช. จับคอลเซ็นเตอร์จีนเทาตลอบฝังตัวเช่ารีสอร์ทหรูเชียงใหม่ ตั้งฐานหลอกลวงเหยื่อ

วันนี้ (4 ธ.ค. 67) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล  รักษาการ เลขาธิการ กสทช., พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ  รักษาราชการแทน ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. และ เจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมแถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวลอบตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย หลังตำรวจร่วมมือกับ กสทช. ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตในหลายพื้นที่ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานเข้ามายังประเทศไทยเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและเสถียรกว่าฝั่งประเทศเพื่อนบ้านโทรหลอกลวงเหยื่อคนไทย การจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนหาข่าว กระทั่งพบรีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งได้ปิดการให้บริการไปในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แต่กลับมีการให้เช่ารีสอร์ททั้งรีสอร์ท  โดยไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก และมีคนต่างชาติเข้าออกสถานที่ดังกล่าวอย่างผิดสังเกต ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษ พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก อาจมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้น ผลจากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมด้วยของกลางเป็นจำนวนมาก

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า ในห้วงหลายเดือนที่ผ่าน กสทช. ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขันจับกุม ซิม เสาสัญญาณ, สถานีโทรคมนาคม และสายเคเบิลข้ามแดนผิดกฎหมาย ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจำเป็นต้องย้ายเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย การจับกุมนี้ครั้ง ถือเป็นทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือ เป็นความผิดฐานรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุโทรคมนาคม อันเป็นความผิด ตาม ม.26 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม พ.ศ.2498 ซึ่งต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายปราบปรามแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชติ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. 4 ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ได้สืบสวนการกระผิดในพื้นที่ จนกระทั่งพบรีสอร์ทเป้าหมายใน ต.บ้านปง อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเคยปิดให้บริการช่วงโควิด ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพัก แต่มีชาวต่างชาติเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดปกติ ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษของ กสทช. พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชา และขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าทำการตรวจค้น โดยพบว่า ผู้ต้องหาชาวจีนแอบลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ ปิดบังการใช้สัญญาณของคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยงกับแก็งค์ที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา โดยพบคนต่างชาติ สัญชาติจีน 9 คน ตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้เป็นจำนวนมาก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี โดยจะได้ขยายผลถึงผู้บงการเพื่อปราบปรามให้สิ้นซากต่อไป

ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนว่า หากพบเห็นสถานที่แห่งใด มีความผิดปกติ เช่นเคยร้างไป แต่กลับมีคนเข้าออกอย่างผิดปกติ หรือมีการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า หรือขอใช้อินเทอร์เน็ตมากผิดปกติ  สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โทร.191 หรือ กสทช. 1200 ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจสอบ ป้องกันมิให้คนร้ายเข้ามาตั้งฐานหลอกลวงคนไทยต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top