Monday, 21 April 2025
สวีเดน

'เกาหลีเหนือ' ชักดาบ!! สั่งซื้อรถวอลโว่ 144 พันคัน แล้วไม่จ่าย 'สวีเดน' ได้แต่กลุ้ม!! เพราะเรียกเก็บหนี้ทุกปี แต่ยังไม่มีแววได้เงิน


เมื่อเกาหลีเหนือสั่งซื้อรถยนต์วอลโว่ 144 จากสวีเดน 1,000 คัน แล้วชักดาบ

สถานทูตสวีเดน ณ กรุงเปียงยาง

 

'สวีเดน' เป็นประเทศตะวันตกประเทศแรกที่เปิดสถานทูตในกรุงเปียงยางในปี ค.ศ. 1975 และยังคงเป็นประเทศเดียวที่ยังคงรักษาสถานเอกอัครราชทูตในกรุงเปียงยางไว้เป็นเวลา 26 ปี และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศตะวันตกที่ยังคงมีสถานทูตในกรุงเปียงยาง 

ปัจจุบันสวีเดนเป็นตัวแทนผลประโยชน์ด้านกงสุลของออสเตรเลีย แคนาดา อิตาลี กลุ่มประเทศนอร์ดิก และสหรัฐอเมริกาในเกาหลีเหนือ โดยสวีเดนมักทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ในการเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือและประเทศตะวันตก และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการปรับปรุงความสัมพันธ์ของเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา

สถานทูตเกาหลีเหนือ ณ กรุงสต็อกโฮล์ม

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 สวีเดนเริ่มมองว่า เกาหลีเหนือเป็นตลาดที่มั่งคั่ง บริษัทสวีเดน เช่น Volvo, ASEA, Kockums, Atlas Copco และ Alfa Laval ต่างต้องการส่งออกผลิตภัณฑ์ของตนไปยังประเทศเกาหลีเหนือ และได้จัดนิทรรศการอุตสาหกรรมในกรุงเปียงยาง 

ทำให้ในช่วงทศวรรษนั้น เกาหลีเหนือนำเข้าสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงรถยนต์วอลโว่ 144 ประมาณ 1,000 คันที่สวีเดนไม่เคยได้รับเงินค่ารถเหล่านั้นเลย 

จึงเป็นที่มาว่าทำไมนักการทูตโซเวียตเรียกสิ่งนี้ว่า "การโจรกรรมรถยนต์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์" 

รถวอลโว่เหล่านี้พบเห็นได้ทั่วไปในกรุงเปียงยางจนถึงปี 2010 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมารถเหล่านี้ก็มีปัญหาใหญ่ในด้านการบำรุงรักษาไว้

รถยนต์วอลโว่ 144 คันหนึ่งที่วิ่งในกรุงเปียงยาง ซึ่งเกาหลีเหนือไม่ได้ชำระเงินค่ารถจนทุกวันนี้

ทุกวันนี้เกาหลีเหนือยังคงเป็นหนี้สวีเดนอยู่จำนวน 2.2 พันล้านโครนสวีเดน อันเป็นเงินค้างจ่ายสวีเดนจากการนำเข้ารถยนต์เหล่านี้

ในบรรดาประเทศเจ้าหนี้ทั้งหมด เกาหลีเหนือเป็นหนี้สวีเดนมากที่สุด ตามมาด้วยอิรักซึ่งมีหนี้น้อยกว่าหนึ่งพันล้านโครน 

เกาหลีเหนือสั่งซื้อรถยนต์จำนวนดังกล่าวจากสวีเดน เพื่อตอบสนองต่อเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือที่กำลังเติบโต แต่จนถึงปัจจุบันเกาหลีเหนือไม่เคยสนใจที่จะจ่ายเงิน และเพิกเฉยต่อใบแจ้งหนี้จากรัฐบาลสวีเดน ทำให้บิลดังกล่าวยังคงอยู่ในสถานภาพ 'ค้างชำระ'

รถยนต์วอลโว่ 144 คันหนึ่งที่ใช้ในกรุงเปียงยาง ซึ่งเกาหลีเหนือไม่ได้ชำระเงินค่ารถจนทุกวันนี้

รัฐบาลสวีเดนมีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมนี้ ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ผู้ส่งออกในสวีเดนหลายรายได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของเกาหลีเหนือและความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตอย่างต่อเนื่อง เพราะมองเห็นศักยภาพของประเทศในแถบเอเชีย และรัฐบาลสวีเดนตระหนักถึงโอกาสนี้ จึงตกลงที่จะส่งเครื่องจักรกลหนักมูลค่ากว่า 70 ล้านดอลลาร์ พร้อมด้วยรถยนต์ Volvo 144 จำนวน 1,000 คัน 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงธุรกรรมทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนทางการทูตอีกด้วย และอีกหนึ่งปีต่อมา สวีเดนก็กลายเป็นประเทศตะวันตกประเทศแรกที่เปิดสถานทูตในกรุงเปียงยาง ซึ่งในขณะนั้นเกาหลีเหนือ ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้” 

Jonathan D. Pollack นักวิชาการอาวุโสของสถาบัน Brookings อธิบายว่า “หลังสงครามเกาหลี เศรษฐกิจของพวกเขาได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ กลายเป็นรัฐอุตสาหกรรมที่ใช้งานได้ และยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลืออย่างมาก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่การเดิมพันที่เลวร้ายเช่นนี้”

รถยนต์วอลโว่ 144 คันหนึ่งที่วิ่งในกรุงเปียงยาง ซึ่งเกาหลีเหนือไม่ได้ชำระเงินค่ารถจนทุกวันนี้

รถยนต์วอลโว่ 144 ที่แข็งแกร่งและบึกบึน ถูกใช้โดยชนชั้นสูงของเกาหลีเหนือ และใช้วิ่งเป็นรถแท็กซี่ในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ และแม้ว่าทุกวันนี้ยังมีรถวอลโว่บางคันยังคงใช้วิ่งเป็นรถแท็กซี่อยู่ แต่ว่าไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะจ่ายเงินคืนรัฐบาลสวีเดน

การได้พบเห็น ‘รถยนต์วอลโว่’ บนท้องถนนในกรุงเปียงยางเป็นเวลาหลายปี ทำให้ได้รับฉายาว่า 'ผีสีฟ้า' 

แม้เศรษฐกิจในประเทศเกาหลีเหนือจะถดถอยและเกิดการคว่ำบาตรระหว่างประเทศอย่างรุนแรง แต่ก็ยังมีรถหรูนำเข้าจากสหภาพโซเวียตและยุโรป และรถเลียนแบบที่เกาหลีเหนือผลิตเองบนถนนสายกว้างของกรุงเปียงยางปะปนกัน นับตั้งแต่มีการสั่งซื้อมาเกือบ 50 ปี 

จำนวนเงินที่ค้างชำระสำหรับรถวอลโว่ 1,000 คันได้เกินขีดจำกัดที่กำหนดแล้ว และดูเหมือนว่าโอกาสที่จะได้รับการชำระเงินนั้นแทบจะเป็นศูนย์ แม้ว่าทางการสวีเดนยังคงส่งใบเรียกเก็บเงินไปยังเกาหลีเหนือปีละ 2 ครั้ง โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวเพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยและภาษีอื่น ๆ ดอกเบี้ยและค่าปรับสำหรับหนี้รถยนต์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 322 ล้านดอลลาร์ในช่วง 48 ปีที่ผ่านมาจนปัจจุบัน 

แม้ว่ารัฐบาลสวีเดนจะจ่ายเงินให้กับบริษัท Volvo ผู้ผลิตรถยนต์เต็มจำนวนด้วยเงินจากกองทุนสาธารณะแล้ว แต่รัฐบาลยังคงเป็นเจ้าหนี้เกาหลีเหนือสำหรับสินค้าของสวีเดนที่ส่งออกไปยังเกาหลีเหนือ ผลกระทบทางการเงินของข้อตกลงนี้น่าตกใจ และเกาหลีเหนือไม่มีทีท่าว่าจะชำระหนี้ที่ค้างชำระสวีเดนมาเป็นเวลานานแล้วแต่อย่างใด

 

'คนไทยในสวีเดน' เผย!! 'เศรษฐกิจเริ่มแย่-ของแพง-บ.ล้มละลายเพียบ' สวนทางภาพลักษณ์ 'ใช้ชีวิต-ใช้จ่าย' สุขสบายในสายตาชาวโลก

ไม่นานมานี้ ช่องยูทูบ 'New Story' โดยคุณนิวคนไทยในสวีเดน ได้นำเสนอเนื้อหาในประเด็น 'สวีเดนเข้าสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างหนัก' ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้...

ตอนนี้ประเทศสวีเดนได้เริ่มเข้าสู่สภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจแล้ว หลาย ๆ บริษัทไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือบริษัทใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับงานรับเหมาก่อสร้าง มีการแจ้งล้มละลายกว่า 50 บริษัทจากทั่วทั้งประเทศแล้ว และก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีเพิ่มมากขึ้นอีก

ส่วนสาเหตุ มาจากค่าเงิน-การเงินสะสม ปัญหาที่กระทบมาตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมา และก็สงครามด้วย ซึ่งเหล่านี้กระทบมาสู่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าต่าง ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คนในสวีเดนก็ตกงานกันเยอะมาก ตอนนี้ถึงขั้นหลายจุดมีการรอต่อคิวในการสมัครงานกันเลย โดยสวีเดนจะมีสํานักงานให้เราไปลงสมัครงานได้ จึงทำให้เห็นการต่อแถวยาวของผู้ว่างงานที่ไปสมัครงานทิ้งไว้ งานเริ่มหายากมากแล้ว

นอกจากนี้ หลายคนที่เคยกู้เงินซื้อบ้านไว้ ก็เอาบ้านเข้าไปวางประเมินราคา เพื่อกู้เงินเพิ่ม เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย หนักเข้าบางรายก็ยอมให้ธนาคารยึดไปเลย เพราะสู้ราคาดอกเบี้ยไม่ไหว

ภาพที่เกิดขึ้นเหล่านี้ กำลังกระทบกับกลุ่มคนทำงานที่มีรายได้ขั้นต่ำในสวีเดน ซึ่งเป็นกลุ่มจำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่ทำธุรกิจก็ได้รับผลกระทบในแง่ของการล้มละลายหรือยอมถูกแบล็กลิสต์

แน่นอนว่า ภาพโดยรวม เหมือนทุกคนยังใช้ชีวิตปกติ ยังดูชิล ๆ สามารถออกไปข้างนอก ไปดื่ม ไปเที่ยว ไปกินได้ แต่ว่าลึก ๆ แล้ว ทุกคนเริ่มรับรู้ถึงภัยเงียบทางเศรษฐกิจ 

สังเกตได้จากการใช้เงินรูดบัตรเครดิต ซึ่งดิฉันเอง ทํางานเกี่ยวกับตรงนี้โดยตรง จึงพอเห็นพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิต (การใช้จ่าย-การจ่ายหนี้) ที่ดูแล้วมีผลกระทบต่อผู้คนค่อนข้างที่จะเยอะมาก

อย่างในส่วนของบริษัทที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับงานก่อสร้าง ก็พบว่ามีการแจ้งล้มละลายเข้ามาเยอะมากและบางรายก็เอาสินค้าที่ตัวเองมีอยู่ไปขายประมูลในราคาถูก เพียงเพื่อต้องการที่จะโละสต็อกแล้วเงินมาใช้หนี้

ทําไมในส่วนนี้ดิฉันถึงรู้ เพราะไม่นานมานี้ที่บ้านกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงจากผลกระทบที่มีหิมะละลาย แล้วพนักงานเขตมาเกลี่ยหิมะไม่ดี จนทำให้เกิดน้ำที่ละลายจากหิมะไหลเข้ามาบ้าน จนต้องเปลี่ยนใหม่หมดเลย แต่ดีตรงที่ว่าประกันของเค้ารับผิดชอบทั้งหมด แต่บางส่วนเราก็อยากจัดการเอง จึงไปหาซื้ออุปกรณ์เครื่องมือที่จะมาซ่อมแซม พอไปข้อมูลก็พบบริษัทที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับก่อสร้างแจ้งล้มละลายและขายประมูลเยอะมากขายแบบในราคาถูกมาก แล้วพอเราไปซื้อมา ก็ได้ราคาถูกแบบครึ่งต่อครึ่งจริง ๆ

จุดนี้จึงทำให้เริ่มรู้แล้วว่า ภัยเงียบทางเศรษฐกิจที่สวีเดนเริ่มก่อตัวแล้ว

ก็อยากจะเตือนคนที่มาทำงานหรือใช้ชีวิตในสวีเดน ถ้ามีงานอยู่ ต้องอดทน อย่าพยายามออกจากงาน พยายามอย่าเลือกงาน ถ้ามีงานไหนเข้ามา ก็รับทําไว้ก่อน เพราะถ้าตกงานตอนนี้ จะหางานยากมาก เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ จะเลือกคนที่คุณสมบัติพร้อมที่สุดจริง ๆ

เช่นเดียวกับสิ่งของ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ได้ซื้อ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็อย่าเปลี่ยน เช่น รถยนต์ ส่วนเงินควรใช้เท่าที่มี และต้องเก็บเงินออมไว้ให้มาก เพราะภัยเงียบเกี่ยวกับเศรษฐกิจจะมีออกมาเรื่อย ๆ ผ่านราคาสินค้าที่จะแพงมากขึ้นกว่านี้

เพราะเราต้องยอมรับไว้เลยว่า ความสมดุลทางเศรษฐกิจมันเริ่มหาย บางคนมีเงินไม่ยอมจ่าย เลือกเก็บเพราะกังวลในอนาคต ทำให้ความสมดุลของการเงินในเชิงเศรษฐกิจการเงินเริ่มขาดความสมดุล ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ไม่จำเป็นก็จะไม่จ้างพนักงาน เป็นต้น

เชื่อว่าภาพที่เกิดขึ้นในสวีเดนตอนนี้ ก็คงคล้าย ๆ กับที่เมืองไทย อย่าเพิ่งใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินไป มีรายได้ก็เก็บไว้ โดยเฉพาะกับคนไทยที่นี่ อย่าถึงกับส่งเงินกลับบ้านจนหมด เพราะเกิดเราล้มอยู่ที่นี่ สุดท้ายทางบ้านก็จะเดือดร้อนล้มตามไปด้วย ทำตัวเราให้แข็งแรงก่อน ใช้จ่ายอย่างประหยัดแล้วหมั่นเก็บเงินเก็บทองไว้เพื่ออนาคต

ขอเป็นกำลังใจให้กับคนไทยในสวีเดนทุกท่าน

‘สวีเดน’ ผวา!! พบผู้ติดเชื้อ ‘ฝีดาษลิง’ สายพันธุ์ใหม่ 1 ราย ชี้!! อาการรุนแรงขึ้น หลังเอี่ยวการระบาดในทวีปแอฟริกา

(16 ส.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าจากกรณีที่ 'องค์การอนามัยโลก' ประกาศให้การระบาดของโรคฝีดาษลิง ในพื้นที่บางส่วนของแอฟริกา กลายเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่เป็นข้อกังวลระหว่างประเทศ

ล่าสุด 'องค์การอนามัยโลก' ยืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิง สายพันธุ์ใหม่ คนแรกของประเทศสวีเดน ระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับการระบาดในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ครั้งแรกว่าเชื้อโรคฝีดาษวานรแพร่ออกไปนอกทวีปแอฟริกาแล้ว

โดยทางด้าน เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสวีเดน แถลงว่า บุคคลที่ป่วยด้วยโรคฝีดาษลิงรายนี้ติดเชื้อในระหว่างที่อยู่ในทวีปแอฟริกา ซึ่งกำลังมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวติดเชื้อไวรัส clade 1b ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ ที่ทำให้มีอาการรุนแรงขึ้นกว่าสายพันธุ์ clade 2 ที่เคยระบาดเมื่อ 2 ปีก่อน

ขณะที่ทางด้าน ลอว์เรนซ์ กอสติน ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ลอว์ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า การพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงในทวีปยุโรปอาจทำให้โรคดังกล่าวแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว การติดเชื้อที่พบในสวีเดนอาจหมายถึงมีผู้ติดเชื้ออีกหลายสิบรายที่ยังไม่พบในยุโรป

'สวีเดน' ปลูกผักสดขายในห้าง 'ใช้น้ำน้อย-ไร้สารพิษ-ไม่ปล่อยคาร์บอนฯ' ลูกค้าเจอพืชผักถูกใจ เก็บใส่ตะกร้า แล้วนำไปจ่ายเงินได้ทันที

(18 ก.ย. 67) สื่อต่างประเทศรายงาน ว่า ‘SweGreen’ สตาร์ตอัปของสวีเดน ปลูกผักขายในซูเปอร์มาร์เก็ต สร้างแนวทางรับมือกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ พื้นที่เกษตรกรรมที่ไม่เพียงพอ ลดการพึ่งพาภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก และเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการทำการเกษตร

การปลูกผักใบเขียวในท้องถิ่นจะช่วยลดการนำเข้าสินค้า ลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่ง ทำให้เก็บได้นานขึ้น และปรับปรุงรสชาติของผักให้ดีขึ้น ซึ่ง SweGreen ได้ปลูกผักแนวตั้งในซูเปอร์มาร์เก็ตโดยกรรมวิธีไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งเป็นการปลูกผักในแร่ใยหินด้วยน้ำโดยไม่ใช้ดิน

ปัจจุบันแปลงผักของ SweGreen มีวางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าของสวีเดนและเยอรมนี เมื่อลูกค้าเจอพืชผักที่ถูกใจ พวกเขาก็สามารถเก็บผักต้นนั้นออกมาแล้วนำไปจ่ายเงินได้ทันที

ปิแอร์ มูห์ลิน ซีอีโอของ Swegreen กล่าวว่า “ผลตอบรับเป็นไปในเชิงบวกอย่างเหลือเชื่อ เป้าหมายของเราคือการสร้างระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนในท้องถิ่น และการมีฟาร์มในซูเปอร์มาร์เก็ตถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว”

แปลงปลูกผักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการควบคุมและได้รับการปกป้องอย่างดี ให้ปลอดภัยจากศัตรูพืชและวัชพืช ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดวัชพืช มั่นใจได้ว่าจะได้ผักที่สด สะอาด ปลอดภัย มีกินตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ แปลงผักยังใช้ระบบน้ำหมุนเวียน ทำให้ใช้น้ำน้อยกว่าการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมมาก สามารถปลูกผักกาดหอม 1 กิโลกรัม โดยใช้น้ำเพียง 1 ลิตรเท่านั้น ซึ่งใช้น้ำน้อยลงกว่าการปลูกผักกาดหอมในพื้นที่กลางแจ้งถึง 99% ที่ต้องใช้น้ำประมาณ 250 ลิตร

เนื่องด้วยพืชผักถูกปลูกในห้างสรรพสินค้า ทำให้ไม่จำเป็นต้องขนส่งสินค้าข้ามทวีป ไม่เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

สตาร์ตอัประบุว่า แพลตฟอร์มการเพาะปลูกแต่ละแห่งสามารถปลูกผักได้ในปริมาณที่เทียบเท่ากับพื้นที่เกษตรกรรมขนาด 30,000 ตารางเมตร และสามารถปลูกพืชได้มากถึง 100 สายพันธุ์ รวมถึงผักกาดหอม ผักชีลาว สะระแหน่ และผักชีฝรั่ง

เซเพอร์ มูซาวี หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมและหัวหน้า SweGreen X กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทกำลังจะเริ่มทดสอบปลูกไม้ผล และกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะปลูกสตรอว์เบอร์รี

>> ใช้ AI ช่วยทำฟาร์ม

การเจริญเติบโตของพืช ฤดูกาล และความต้องการของผู้บริโภคเป็นความท้าทายของคนที่ทำงานเกษตรกรรม และ SweGreen ก็เจอความท้าทายมากเข้าอีกจากการปลูกผักในห้าง ดังนั้นบริษัทจึงหันมาใช้เอไอเพื่อช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

“เรามีเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์เป็นผู้ช่วย เพื่อให้พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตต้องรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะได้ผลผลิตตามที่ต้องการในแต่ละวัน” มูซาวีกล่าว

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของซูเปอร์มาร์เก็ตและความต้องการของลูกค้าด้วย โดยทางห้างสรรพสินค้าสามารถเลือกขนาดพื้นที่เพาะปลูกได้ ซึ่งขนาดมาตรฐานของฟาร์มแนวตั้งอยู่ที่ 45 ตารางเมตร ซึ่งมีกำลังการผลิต 300 ไร่ต่อวัน และสามารถลดขนาดพื้นที่เพาะปลูกลงให้เหลือ 12 ตารางเมตรและปลูกได้สูงสุด 116 ไร่ต่อวัน

ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ใช่เพียงแห่งเดียวที่กำลังมองหาโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้านอาหาร โรงแรม มหาวิทยาลัย และเจ้าของทรัพย์สินต่างก็อยากได้เกษตรแนวตั้งด้วยเช่นกัน

Fotografiska Stockholm พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยด้านการถ่ายภาพ ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้นำโซลูชันนี้มาใช้กับในร้านอาหารของพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ได้เมนูตามฤดูกาลและยั่งยืน

“พวกเราร่วมมือกับเจ้าหน้าที่และเชฟของร้าน เพื่อหาว่าทางร้านควรปลูกพืชชนิดใดบ้าง สำหรับใช้ประกอบอาหาร เป็นผักตกแต่ง เพื่อให้คุณค่าทางโภชนาการ เพื่อรสชาติที่แปลกใหม่สำหรับค็อกเทล รวมถึงมองหาอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีรสชาติดี และสามารถใช้เป็นจุดเด่นของจานอาหารได้อีกด้วย” มูซาวีกล่าว

SweGreen ได้รับรางวัลและเสนอชื่อเข้าชิงหลายครั้งในด้านการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ในปี 2023 บริษัทได้รับรางวัล IKANO Sustainability Award และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล FoodTech 500 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นรายชื่อระดับโลกที่เน้นถึงสตาร์ทอัพและบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกสำหรับอนาคตของอาหาร เทคโนโลยี และความยั่งยืน

'สวีเดน' ยอมจ่ายเงินกว่า 1 ล้านต่อหัว จูงใจกลุ่มผู้อพยพกลับไปยังบ้านเกิด

ไม่นานมานี้ นิวยอร์กไทม์ส ได้รายงานว่า สวีเดนเสนอเงิน 34,000 ดอลลาร์ (ราว 1 ล้านบาท) ผ่านโครงการส่งกลับผู้อพยพโดยสมัครใจแบบจ่ายครั้งเดียว แก่ครอบครัวผู้อพยพในประเทศ เพื่อให้กลับไปยังประเทศบ้านเกิด ตามแผนการปฏิรูปนโยบายผู้ลี้ภัยของสวีเดน ซึ่งถือเป็นวิธีการที่บางชาติในตะวันตกใช้ เพื่อลดจำนวนผู้ลี้ภัยด้วยนั้น

ทั้งนี้ นโยบายใหม่ดังกล่าว ทางรัฐบาลสวีเดนจะจ่ายเงินสูงถึง 350,000 โครนาสวีเดน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 1,135,631 บาท ให้กับผู้อพยพที่เลือกเดินทางกลับบ้านเกิดโดยสมัครใจ ตั้งแต่ปี 2026 (พ.ศ. 2569) ซึ่งจากเดิมเม็ดเงินในการชดเชยเมื่อปีก่อนหน้าอยู่ที่ ผู้ใหญ่ราว 970 ดอลลาร์ (3.2 หมื่น) และเด็กราว 485 ดอลลาร์ (1.6 หมื่น) จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไรนัก

ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน Johan Forssell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอพผู้ลี้ภัยในสวีเดน กล่าวในแถลงว่า นโยบายใหม่นี้เป็น ‘การก้าวสู่กระบวนทัศน์ใหม่’ หรือการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก โดยในปี 2015 ได้เปิดพรมแดนรับผู้อพยพจำนวน 162,877 คน ส่วนมากประกอบด้วย ชาวซีเรีย, อัฟกานิสถาน และอิรัก

Johan กล่าวต่อว่า ระบบเงินช่วยเหลือนี้ เริ่มใช้ในปี 1984 ซึ่งการให้เงินช่วยเหลือ ถือเป็นแรงจูงใจให้ผู้อพยพยินยอมกลับบ้านเกิดด้วยความสมัครใจ

ขณะที่ Ludvig Aspling จากพรรคสวีเดนเดโมแครต กล่าวว่า หากมีคนทราบนโนบายดังกล่าว และเงินช่วยเหลือ ก็น่าจะทำให้ผู้อพยพยอมรับข้อเสนอมากขึ้น

นอกจากนี้ นายอุล์ฟ คริสเตอช็อน ที่ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2565 เคยให้คำมั่นไว้ว่า จะดำเนินอย่างเข้มงวดในเรื่องการย้ายถิ่นฐานและอาชญากรรมด้วย

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างตั้งข้อสงสัยว่าจำนวนเงินที่มากขึ้นจะสามารถดึงดูดใจพวกผู้ลี้ภัยให้เดินทางออกไปได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมีเพียงส่วนน้อย (1 ราย) ที่ยอมรับประโยชน์จากข้อเสนอนี้เมื่อปีที่แล้วเท่านั้น

จากต้นแบบ!! ของประเทศที่มี ‘เสรีภาพ-ความก้าวหน้า’ กลับกลายเป็นสมรภูมิของความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ศาสนา

(6 มี.ค. 68) ในช่วงแรกของการอพยพ ผู้อพยพชาวมุสลิมบางกลุ่มพยายามเผยแพร่ศาสนาโดยใช้วิธีที่สร้างความขัดแย้งในพื้นที่สาธารณะ พวกเขานำลำโพงติดตั้งบนรถยนต์และขับไปตามเมืองต่างๆ เปิดเสียงอาซาน (เสียงเรียกละหมาด) และบทสวดจากอัลกุรอานผ่านวิทยุและเครื่องกระจายเสียง สิ่งนี้กลายเป็นชนวนให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนท้องถิ่น เพราะมองว่าเป็นการรบกวนพื้นที่สาธารณะ และเป็นการพยายาม "บังคับ" ให้ศาสนาอิสลามเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน

ในบางเมืองของสวีเดน ประชาชนได้ร้องเรียนถึงหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อให้ระงับการกระทำดังกล่าว โดยมองว่าสวีเดนเป็นประเทศฆราวาสที่แยกศาสนาออกจากรัฐ และการเปิดเสียงอาซานผ่านลำโพงในที่สาธารณะ เป็นการละเมิดความสงบสุขของประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้อพยพบางส่วนกลับมองว่านี่เป็น "สิทธิทางศาสนา" ของพวกเขา และถือว่าเป็นการ "ต่อสู้เชิงอุดมการณ์" ระหว่างศาสนาอิสลามกับวัฒนธรรมตะวันตก
ศาลชารีอะห์และการบังคับใช้กฎศาสนาในชุมชนมุสลิม

แม้ว่ากฎหมายชารีอะห์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายของสวีเดน แต่ก็มีแรงกดดันจากบางกลุ่มในสังคมมุสลิมที่ต้องการให้มี "กฎหมายคู่ขนาน" ซึ่งหมายถึงการที่ชาวมุสลิมสามารถดำเนินชีวิตภายใต้กฎศาสนาได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ ตัวอย่างเช่น กรณีของการแต่งงานในเด็ก การหย่าร้างที่ให้สิทธิฝ่ายชายมากกว่าหญิง หรือแม้แต่การลงโทษตามหลักศาสนาในชุมชนบางแห่ง

ปัญหาคือ ในบางพื้นที่ของสวีเดน โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรมุสลิมหนาแน่น กฎหมายชารีอะห์ถูกใช้กันอย่างลับๆ แม้ว่าจะผิดกฎหมายของสวีเดนก็ตาม มีรายงานว่ามี "ศาลชารีอะห์" ที่ดำเนินการตัดสินคดีความในหมู่ชาวมุสลิมเอง โดยไม่ขึ้นต่อระบบยุติธรรมของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเมิดหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง

สตรีมุสลิม: เสรีภาพหรือการกดขี่?

อีกหนึ่งประเด็นร้อนในสังคมสวีเดนคือเรื่อง การสวมฮิญาบและบุรกา แม้ว่ากฎหมายสวีเดนจะอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถเลือกแต่งกายตามหลักศาสนาได้ แต่ในบางชุมชนมุสลิมกลับมีการกดดันผู้หญิงให้สวมใส่ชุดคลุมโดยที่พวกเธอไม่มีทางเลือก มีรายงานว่าเด็กหญิงบางคนถูกกลั่นแกล้งหากพวกเธอไม่สวมฮิญาบไปโรงเรียน หรือแม้แต่ผู้หญิงที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมสวีเดน ก็อาจถูกครอบครัวและสังคมรอบตัวประณามว่าผิดหลักศาสนา

เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับ เสรีภาพที่แท้จริง เพราะในขณะที่สวีเดนให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่กลับมีบางชุมชนที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่สมาชิกของตนเอง ทำให้เกิดสังคมคู่ขนานที่ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยของประเทศ

ความขัดแย้งทางการเมืองและแนวโน้มในอนาคต

การเมืองสวีเดนเองก็แบ่งออกเป็นสองขั้วในเรื่องนี้ ฝ่ายที่สนับสนุนเสรีภาพทางศาสนามองว่า ทุกคนควรมีสิทธิในการปฏิบัติตามศาสนาของตนเอง รวมถึงการแต่งกายตามหลักศาสนา แต่ฝ่ายขวากลับมองว่า นี่คือการปล่อยให้วัฒนธรรมที่ขัดกับหลักเสรีภาพเข้ามาแทรกแซงประเทศ และเชื่อว่าการให้สิทธิที่มากเกินไปกับกลุ่มศาสนาหนึ่ง อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม

สิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ร้อนแรงขึ้นไปอีกคือ บางเมืองในยุโรป เช่น ในฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ออกกฎหมายห้ามสวมบุรกาและนิกอบในที่สาธารณะ โดยให้เหตุผลว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่สตรี ในขณะที่สวีเดนยังคงลังเลที่จะเดินตามแนวทางนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะละเมิดสิทธิมนุษยชน

แต่คำถามคือ เสรีภาพที่สวีเดนปกป้องอยู่นี้ เป็นเสรีภาพของทุกคนจริงหรือ? หรือเป็นเพียงเสรีภาพที่เอื้อให้บางกลุ่มสามารถบังคับใช้กฎของตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักการประชาธิปไตยของประเทศ?

หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป สวีเดนอาจต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะเมื่อศาสนาและกฎหมายของรัฐเดินไปคนละทาง จุดปะทะก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสวีเดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย เมื่อมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้ามาตั้งรกรากโดยไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ย่อมนำไปสู่ความท้าทาย ทั้งสำหรับผู้มาใหม่ที่ต้องปรับตัว และสำหรับชุมชนเดิมที่ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกัน

ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากศาสนาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่อยู่ที่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างสองฝ่าย—ฝ่ายหนึ่งมองว่าควรเปิดรับความหลากหลายเต็มที่ ในขณะที่อีกฝ่ายกังวลว่าหากไม่มีการปรับตัวเข้าหากัน อัตลักษณ์และหลักการของสังคมเดิมอาจถูกสั่นคลอน ความไม่ลงรอยเหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านและความหวาดระแวงกันในหลายระดับ

ทางออกของปัญหานี้ไม่ใช่การปิดกั้นหรือกีดกันศาสนาหรือวัฒนธรรมใด แต่เป็นการหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพของแต่ละกลุ่มกับความเป็นปึกแผ่นของสังคมโดยรวม ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน โดยเคารพกฎหมายและคุณค่าของประเทศที่ตนอยู่ หากรัฐไม่สามารถสร้างแนวทางที่ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ความแตกแยกก็อาจขยายตัวมากขึ้นจนยากจะควบคุม

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมองปัญหานี้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวหรืออคติ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขคือเป้าหมายของทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใด

ตำรวจสวีเดนสกัดแผนลอบวางระเบิดในเมืองมัลโม่ รวบชาย 2 เยาวชน 1 พร้อมระเบิดมือเต็มกระเป๋าเป้

(6 เม.ย. 68) สำนักข่าว Sweden Herald รายงานเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ว่า ชาย 2 คนและวัยรุ่น 1 คนถูกควบคุมตัว จากปฏิบัติการของตำรวจในเมืองมัลโม่เมื่อเย็นวันศุกร์ หลังจากพบระเบิดมืออย่างน้อย 10 ลูกในกระเป๋าเป้สะพายหลังของหนึ่งในผู้ต้องสงสัยพกติดตัวมาด้วย ที่ย่านเวสเทิร์นฮาร์เบอร์ เมืองมัลโม่ ทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน 

ส่งผลให้ย่านเวสตราฮัมเนน เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ของเย็นวันศุกร์ มีการดำเนินการครั้งใหญ่และประกาศเตือนภัย (VMA) พื้นที่ถูกปิดกั้น ทั้งผู้อยู่อาศัยและธุรกิจต่าง ๆ ถูกอพยพ และหน่วยเก็บกู้ระเบิดแห่งชาติถูกเรียกตัวไปที่เกิดเหตุ จนถึงหลังเวลา 22.00 น. เล็กน้อย ความอันตรายก็สิ้นสุดลง

เจ้าหน้าที่ตำรวจสวีเดนเผย ผู้ต้องสงสัย 2 รายอายุ 25 และ 30 ปี ส่วนรายที่ 3 เป็นเด็กชายอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งคู่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ากระทำความผิดร้ายแรงตามกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุไวไฟและวัตถุระเบิด ซึ่งเบื้องต้นสอบปากคำผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยการสอบปากคำได้

“เรากำลังพูดคุยกับผู้คนและวิเคราะห์กล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าว มีสถานที่อยู่หลายแห่งในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเราจึงพยายามรวบรวมข้อมูล” ลินา ฟรีเบิร์ก โฆษกของตำรวจกล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดระเบิดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน และกำลังเร่งสอบสวนขยายผลว่า อาวุธดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้ในเหตุการณ์ใด รวมถึงตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมหรือกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของผู้ต้องสงสัยทั้งสาม เนื่องจากอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน แต่เบื้องต้นทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย  และอาจเผชิญโทษร้ายแรงหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง

สวีเดนทุ่มงบ 100 ล้านโครนา อัปเกรดบังเกอร์ทั่วประเทศ เน้นความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินระดับชาติ หลังร่วม NATO

(6 เม.ย. 68) สวีเดนจะจัดสรรเงิน 100 ล้านโครนา (ราว 334 ล้านบาท) สำหรับการตรวจสอบ ควบคุม และปรับปรุงที่พักพิงป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ โดยตั้งแต่ปี 2024 หน่วยงานรับมือเหตุฉุกเฉินของสวีเดน (MSB) ได้เพิ่มการตรวจสอบบังเกอร์ของประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 64,000 แห่ง

ตามแถลงการณ์ของ MSB ประเทศสวีเดน ซึ่งได้เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ในเดือนมีนาคม 2024 ยังลงทุนด้านการพัฒนาบริการฉุกเฉิน การเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการเติมเต็มเวชภัณฑ์ทางการแพทย์อีกด้วย 

การปรับปรุงบังเกอร์คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 ปี จนถึงขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการสร้างบังเกอร์ขนาดใหญ่ 25 แห่งจากทั้งหมด 80 แห่งแล้ว ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้หลายพันคน ในปี 2025 

ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีสวีเดน อุลฟ์ คริสเตอร์สัน กล่าวว่าประเทศ “ไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะสันติภาพ” พร้อมประกาศเพิ่มงบกลาโหมเป็น 2.4% ของ GDP ในปีนี้ และตั้งเป้าเป็น 2.6% ภายในสามปี

สตอกโฮล์มได้เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศมาตั้งแต่ปี 2014 และตั้งแต่ปี 2022 ก็ได้เปิดใช้โครงการ “การป้องกันโดยรวม” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระดมทรัพยากรทั้งหมดของสังคมในยามวิกฤต

การปรับปรุงศูนย์หลบภัยนิวเคลียร์ของสวีเดนเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นและความกังวลด้านความปลอดภัยในยุโรป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในยูเครน การเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดนทำให้ความมุ่งมั่นในการป้องกันประเทศร่วมกันของสวีเดนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และประเทศกำลังดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้แน่ใจว่าสวีเดนสามารถเตรียมพร้อมในกรณีฉุกเฉินได้

การเน้นย้ำถึง "การป้องกันประเทศโดยรวม" เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสวีเดนในการรักษาระดับความพร้อมรบสูง โดยทรัพยากรทางทหารและพลเรือนถูกผนวกรวมเข้ากับการวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ 

นอกจากนี้ความคิดริเริ่มนี้ยังเป็นการเตือนถึงความพยายามของยุโรปในวงกว้างที่จะเพิ่มความสามารถในการรับมือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีทางไซเบอร์หรือความขัดแย้งทางทหารแบบเดิม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top