Sunday, 8 June 2025
สนามบิน

‘เศรษฐา’ ตรวจความคืบหน้า สนามบิน ‘เพชรหัวหิน’  เตรียมเดินหน้าสู่ การเป็น ‘Aviation Hub-Tourism Hub’ 

(16 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวิตผ่าน X ว่า 

สนามบิน ‘เพชรหัวหิน’ คืบหน้าไปมาก เราเดินหน้าสู่การเป็น Aviation Hub และ Tourism Hub ครับ

ก่อนหน้านี้ผมเคยมาตรวจความพร้อม และเร่งรัดการขยายรันเวย์ที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ใช้เวลาช่วงวันหยุดมาตรวจความพร้อมของที่นี่อีกครั้ง เพราะตอนนี้มีสายการบินพาณิชย์ของแอร์เอเชียเปิดให้บริการในเส้นทางบิน หัวหิน-เชียงใหม่ แล้ว วันละ 1 เที่ยวบิน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้น

เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นประตูบานหนึ่งสู่การเป็น Aviation Hub และ Tourism Hub โดยทางสายการบินแอร์เอเซียพร้อมเปิดเส้นทางบินจากภูมิภาคอื่นทั้งอีสาน และใต้ มาลงที่นี่เพิ่มเติมด้วย ซึ่งผมได้กำชับท่านรัฐมนตรีสุริยะ และท่านปลัดคมนาคม ที่เดินทางมาตรวจสนามบินด้วยกันวันนี้ เร่งดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้บริการ และประสานกับสายการบินพาณิชย์ต่าง ๆ ที่พร้อมให้บริการในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากสามารถเปิดเส้นทางบินเพิ่มได้ครับ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่แล้วครั้งหนึ่งในช่วงการประชุมครม. สัญจรที่จังหวัดเพชรบุรี  และ จะมีการเปลี่ยนชื่อจากท่าอากาศยานหัวหินเป็นท่าอากาศยาน “เพชรหัวหิน”เพื่อรองรับและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับจังหวัดเพชรบุรี   ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะขยายเส้นทางเพิ่มจากเดิมที่มีเพียงแค่หัวหินเชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้และในอนาคตจะมีการเปิดเส้นทางเพิ่มจากหัวหินไปมาเลเซีย

‘ทีทีเอเอ’ เผย ‘ไทยเที่ยวนอก’ โตแผ่ว เหตุ!! เศรษฐกิจเงินฝืด สะเทือนกำลังซื้อ

(23 ต.ค. 67) นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) เล่าว่า แม้ภาพรวมตลาดคนไทย ‘เที่ยวต่างประเทศ’ ในเดือน ต.ค. จะมีจำนวนมากกว่าเดิม เนื่องจากตรงกับช่วงปิดภาคเรียน ผู้ปกครองนิยมพาบุตรหลานไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อพักผ่อนและรับประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าหากมองแนวโน้มช่วง ‘ไฮซีซัน’ นับจากนี้ไปจนถึงต้นปี 2568 อาจจะมีจำนวนไม่มากนัก! เพราะยังมี ‘ปัจจัยกดดัน’ จากภาวะเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย กลุ่มที่ออกเดินทางตอนนี้คือกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายสูง

สมาคมฯ ประเมินว่าตลาดไทยเที่ยวนอกปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5-7% เทียบกับปีที่แล้ว แม้จะมีมาตรการวีซ่าฟรีในหลายประเทศ หนุนการเดินทางระหว่างกันง่ายขึ้น ทำให้การเติบโตเป็นไปตามคาด แต่จากการประชุมร่วมกับการท่องเที่ยวของจีน พบว่ายอดคนไทยไปจีนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้มาก

หากประเมินภาพรวม 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) จะเห็นเทรนด์การเดินทางช่วงต้นปีดีมาก แต่พอเข้ากลางปีตัวเลขกลับไม่ได้ดีขนาดนั้น มีปัจจัยกระทบทั้งภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แม้ ‘เงินบาทแข็งค่า’ จะเอื้อต่อการจับจ่ายในต่างประเทศของคนไทยก็ตาม ก่อนที่สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นในเดือน ต.ค. เนื่องจากนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่จองสินค้าและบริการล่วงหน้าไปแล้ว

จากภาพที่เห็นคนไทยในสนามบินหนาแน่น โดยเฉพาะส่วนขาออกไปเที่ยวต่างประเทศ ตรงนี้มองว่าเป็นเพราะสนามบินหลักๆ ในไทยไม่ได้ใหญ่มากขนาดนั้น พื้นที่มีจำกัด และการบินในเส้นทางเดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้โดยสารที่ไปสนามบินเวลาชนกัน สะท้อนเป็นภาพความหนาแน่นออกมา

สำหรับตลอดปี 2567 คาดว่าจะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศราว 10 ล้านคน ยังไม่สามารถกลับไปเท่าจุดเดิมเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด ซึ่งมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศราว 12-13 ล้านคนได้ การกลับไปถึงจำนวนดังกล่าวยังต้องใช้เวลา เพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนมาเป็นตัวฉุดรั้ง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว เงินเฟ้อ สงครามในตะวันออกกลาง สร้างความกังวลเพิ่มขึ้นต่อการออกเดินทาง

ส่วนปัจจัยเงินบาทแข็งค่าไม่ได้สนับสนุนการเดินทางมากนัก เพราะค่าใช้จ่ายในการออกไปเที่ยวต่างประเทศก็ปรับขึ้นด้วย ต้นทุนการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหมด ทั้งค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่ารถ เฉลี่ยต้นทุนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10-15%

“ในญี่ปุ่นที่เงินเยนอ่อนค่าลง แต่ยอดคนไทยก็เพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก เพราะต้นทุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวสูงขึ้นกว่าเดิมเฉลี่ย 15-20% ทำให้การเติบโตของตลาดไทยเที่ยวนอกไม่ได้หวือหวา มีปัจจัยรบกวน ทำให้คนเดินทางไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าที่ควร” นายกทีทีเอเอกล่าว

ด้านรายงานข่าวจาก ‘องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น’ (JNTO) ระบุว่า สถิติ ‘นักท่องเที่ยวไทย’ เดินทางเข้า ‘ญี่ปุ่น’ ในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2567 มีจำนวนสะสม 752,000 คน เพิ่มขึ้น 19.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าติดลบ 13.4% หรือคิดเป็นการฟื้นตัว 86.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

นักท่องเที่ยวไทยยังคงรั้งอันดับ 6 ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นสูงสุด จากจำนวนสะสมรวม 26,880,200 คนในช่วง 9 เดือนแรก ซึ่งเติบโต 54.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเติบโต 10.1% แซงช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยอันดับ 1 เกาหลีใต้ มีจำนวน 6,468,600 คน ส่วนอันดับ 2 จีน 5,247,500 คน อันดับ 3 ไต้หวัน 4,585,800 คน อันดับ 4 ฮ่องกง 1,972,000 คน และอันดับ 5 สหรัฐ 1,960,100 คน

คาดผู้โดยสารปี 67 แตะ 120 ล้าน AOT ยกระดับการให้บริการ นำระบบไบโอเมตริกมาใช้ทดแทนการเช็กอินใน 6 สนามบิน

(30 ต.ค. 67) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ทอท. สร้างประสบการณ์การให้บริการท่าอากาศยานที่ทันสมัย นำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร 

โดยพัฒนาและทดสอบระบบฯ ให้มีความพร้อมใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว รวมทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวของแต่ละจุดบริการภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เปิดให้ใช้งานสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ และในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 พร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้โดยสารจำเป็นต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล

สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนใช้งานเมื่อมาเช็กอินที่สนามบินโดยมี 2 วิธี ได้แก่ 

1) เช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ผู้โดยสารแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบBiometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร (เครื่อง CUTE) โดยระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบฯ 

2) เช็กอินที่เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) โดยหลังจากเช็กอินเสร็จแล้ว ให้ผู้โดยสารเลือกสายการบินที่เดินทาง ต่อด้วยเลือก “Enrollment” จากนั้นสแกน barcode จากบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) เสียบหนังสือเดินทาง (Passport) หรือบัตรประชาชน และสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถือเป็นการเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ซึ่งระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้วถือว่าผู้โดยสารได้ให้ความยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแล้ว เมื่อผู้โดยสารจะโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (เครื่อง CUBD) ตลอดจนผ่านจุดตรวจค้น รวมทั้งขั้นตอนขึ้นเครื่อง ไม่ต้องแสดง Passport และ Boarding Pass อีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยินยอมให้ใช้ข้อมูล Biometric สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ Biometric จะช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับผู้โดยสารตั้งแต่การเช็กอินจนถึงการขึ้นเครื่อง โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใบหน้าผ่านเครื่องเช็กอินและจุดบริการต่าง ๆ ทำให้ไม่จำเป็นต้องแสดงพาสปอร์ตและบัตรโดยสารในแต่ละจุดอีกต่อไป เนื่องจากระบบ Biometric สามารถรองรับและเชื่อมต่อกับระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง หรือ CUPPS (Common Use Passenger Processing System) ที่ ทอท. ได้ติดตั้งและใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ทั้ง 5 ระบบ ได้แก่ 

1) เครื่อง CUTE หรือเครื่องตรวจบัตรโดยสารซึ่งใช้งานโดยเจ้าหน้าที่สายการบิน 

2) เครื่อง CUSS หรือ เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ 

3) เครื่อง CUBD หรือเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ 

4) ระบบ PVS (Passenger Validation System) สำหรับตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร 

5) ระบบ SBG (Self-Boarding Gate) หรือระบบประตูทางออกขึ้นเครื่อง ทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายอย่างสมบูรณ์

นายกีรติ ได้กล่าวถึงปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ว่า ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.82% และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.01% และมีเที่ยวบินรวม 732,690 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.5% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 416,190 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 29.63% และเที่ยวบินภายในประเทศ 316,500 เที่ยวบิน ลดลง 0.73% โดยเฉพาะที่ ทสภ. มีผู้โดยสาร 60 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24.04% และมีเที่ยวบิน 346,680 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 17.88% ทดม. มีผู้โดยสาร 29.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.25% และมีเที่ยวบิน 197,250 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.47% ทชม. มีผู้โดยสาร 8.82 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.14% และมีเที่ยวบิน 57,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.68% ทชร. มีผู้โดยสาร 1.9 ล้านคน ลดลง 1.96% และมีเที่ยวบิน 12,260 เที่ยวบิน ลดลง 3.37% ทภก. มีผู้โดยสาร 16.40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25.94% และมีเที่ยวบิน 98,710 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 19.97% และ ทหญ. มีผู้โดยสาร 3.03 ล้านคน ลดลง 5.14% และมีเที่ยวบิน 19,730 เที่ยวบิน ลดลง 5.84% ทั้งนี้ มีผู้โดยสารแยกตามสัญชาติ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และญี่ปุ่น

ทั้งนี้ จากข้อมูลการจัดสรรตารางบินฤดูหนาว 2024/2025 (W2024/2025) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง มีเที่ยวบินได้รับการจัดสรรเวลารวม 370,239 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวในปีที่ผ่านมา (W2023/2024 ) 22.1% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 222,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 33.1% เที่ยวบินภายในประเทศ 147,459 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.5% มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งระหว่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น 23% และเส้นทางระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารเดินทางเข้าประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ และฮ่องกง

สำหรับในปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 - กันยายน 2568) ทอท. คาดว่าจะผู้โดยสารมาใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง รวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 78.61 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.17% และผู้โดยสารภายในประเทศ ประมาณ 51.36 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.18% ขณะที่คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศประมาณ 453,750 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.02% และเที่ยวบินภายในประเทศประมาณ 354,530 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.02% โดยเฉพาะที่ ทสภ. คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 64.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.40% และมีเที่ยวบินประมาณ 376,820 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.69% ทดม. มีผู้โดยสารประมาณ 33.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.91% และมีเที่ยวบินประมาณ 223,200 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.00%

ทอท. มุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในท่าอากาศยานให้ทันสมัยทันต่อความต้องการของผู้ใช้บริการท่าอากาศยาน เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ทอท. ที่จะเป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก

คิกออฟ 1 ธ.ค.!! สแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง ทั้งในประเทศ-ระหว่างประเทศ ไม่ต้องโชว์พาสปอร์ต-บัตรโดยสาร

(28 พ.ย.67) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า พร้อมให้บริการระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric) สำหรับผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่สนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร โดยลดเวลาการใช้บริการที่แต่ละจุดบริการเหลือเพียง 1 นาที จากเดิมที่ใช้เวลา 3 นาที

ผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนได้เมื่อเช็กอินที่สนามบินใน 2 วิธี คือ 
1. เช็กอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบ Biometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร ซึ่งระบบจะบันทึกข้อมูลใบหน้าและเอกสารการเดินทาง
2. เช็กอินที่เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS: Common Use Self Service) โดยเลือกสายการบินและยินยอมลงทะเบียนใบหน้าในระบบ (Consent Notice) แล้วดำเนินการเช็กอินจนได้รับบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) หลังจากนั้น ผู้โดยสารจะทำการสแกนบาร์โค้ดในบัตรโดยสารและทำการเสียบหนังสือเดินทางหรือบัตรประชาชน ก่อนสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการลงทะเบียน

หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ผู้โดยสารสามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD: Common Use Bag Drop) และผ่านจุดตรวจค้นต่างๆ โดยไม่ต้องแสดงพาสปอร์ตและบัตรโดยสารอีกต่อไป ข้อมูลผู้โดยสารที่ถูกบันทึกจะถูกลบทิ้งภายใน 48 ชั่วโมง ตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของประเทศไทย

เตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่เดือนกรกฎาคมนี้ รับการท่องเที่ยวและธุรกิจเติบโต ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในเอเชีย

(25 มี.ค. 68) กัมพูชาประกาศเตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังจากที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สนามบินแห่งใหม่ของพนมเปญ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ สนามบินนานาชาติเทโช เริ่มสร้างขึ้นในปี 2562 ครอบคลุมพื้นที่ 6,425 เอเคอร์ ตั้งอยู่ที่ชายแดนของจังหวัดกันดาลและตาแก้ว ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร

ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและภาคเอกชน จะเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานระดับสากล คาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 10 ล้านคนในปีแรกของการเปิดใช้งาน

โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ ท่ามกลางการเติบโตที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดนี้

สถาปนิกของสนามบินแห่งนี้คือบริษัท Foster + Partners ของประเทศอังกฤษ โดยเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่า “การออกแบบสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่แข็งแกร่งของสถานที่ และตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน”

ส่วนอาคารเทอร์มินัลตั้งอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่าหลังคาทรงโค้งเดี่ยวที่เป็นโครงเหล็กน้ำหนักเบา พร้อมหน้าจอนวัตกรรมที่กรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างให้กับพื้นที่เทอร์มินัลอันกว้างใหญ่

การก่อสร้างจะดำเนินการเป็น 3 ระยะ โดยในระยะแรกคาดว่าสนามบินจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 13 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มความจุเป็น 30 ล้านคนหลังปี 2030 และสูงสุด 50 ล้านคนในปี 2050

สนามบินแห่งนี้จะเป็นสนามบินหลักแห่งที่สองของกัมพูชาที่จะเปิดให้บริการภายในระยะเวลาสองปี โดยในปี 2023 สนามบินนานาชาติเสียมเรียบ-อังกอร์ ซึ่งได้รับเงินทุนจากจีนได้เริ่มเปิดให้บริการในจังหวัดเสียมเรียบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากนครวัดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศซึ่งมีอายุกว่าหลายศตวรรษไปทางทิศตะวันออกประมาณ 40 กิโลเมตร 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละประเทศในภูมิภาคต่างพยายามลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กัมพูชาหวังว่าการเปิดสนามบินแห่งใหม่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ

สนามบินแห่งนี้จะเปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนของปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มฟื้นตัวหลังจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยคาดว่าการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจของกัมพูชา ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.7 ล้านคนในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากปี 2023

ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชามั่นใจว่าโครงการสนามบินแห่งใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในระยะยาว และจะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในตลาดการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูงในภูมิภาคนี้

หนุ่มโชคดี โพสต์ประทับใจ!! ‘กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ’ ได้เห็นที่สนามบิน!! ทุกครั้งคือ บินไปทรงงาน ไม่ใช่การพักผ่อน

(24 พ.ค. 68) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Pathom Indarodom’ ได้โพสต์ข้อความสุดประทับใจ เกี่ยวกับ ‘กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ’ โดยมีใจความว่า ...

จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตกัน ที่เราเดินอยู่ในสนามบิน แล้วหันไปเห็นใครสักคนที่รู้จัก… หนึ่งครั้ง? สองครั้ง? ห้าครั้ง? ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราบินบ่อยแค่ไหน
สำหรับผม… ไมล์สะสมมีพอให้แลกโดนัท ไม่ใช่ตั๋วเครื่องบิน โอกาสจะเจอคนรู้จักในสนามบินจึงน้อยมาก (น้อยยิ่งกว่าความหวังว่าจะได้ที่นั่งริมหน้าต่างโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม)

แต่เชื่อไหมครับว่า ผมเคย “บังเอิญ” เจอคน ๆ หนึ่งถึง 5 ครั้ง คนที่ว่านั้นไม่ใช่เพื่อนเก่า ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนในเฟซบุ๊กที่ยังไม่เคยเจอกันจริงๆ ด้วยซ้ำ

แต่เป็น “กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” ใช่ครับ… พระองค์ท่าน

ทุกครั้งที่เจอ เป็นสนามบินต่างจังหวัดที่พระองค์ฯ เสด็จไปทรงงาน โดยครั้งล่าสุดนี้คือสนามบินสุราษฎร์ธานีเมื่อวานนี้เอง

3 สนามบิน 5 ช่วงเวลา 5 ภารกิจ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมเห็นพระองค์เดินทางเพื่อพักผ่อนหรือส่วนพระองค์ ทุกครั้งคือการเสด็จไป “ทรงงาน”
ผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่อง “โชคชะตา” เท่าไร แต่เจอถึง 5 ครั้ง ทั้งที่ผมเดินทางปีละไม่กี่ครั้ง — แบบนี้จะไม่ให้คิดได้ยังไงครับว่าพระองค์ทรงงานมากขนาดไหน

บางคนอาจโชคดีที่ได้สะสมไมล์จนได้อัพเกรดตั๋วเป็นประจำ แต่สำหรับผม… โชคดีที่สุด คือการได้เห็นแบบอย่างของความเสียสละและความทุ่มเทอย่างแท้จริง แม้เพียงแค่ผ่านไปในสนามบินครับ

ทรงพระเจริญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top