Monday, 9 June 2025
สธ

'บิ๊กป้อม' ปลื้ม!! 'คิวบา' หนุนเด็กไทยเรียนแพทย์ 1,000 โควตา เพาะต้นกล้าใหม่ เติม สธ.ไทย ในวาระฉลองมิตร 65 ปี

(8 ก.พ. 66) เวลา 10.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ นายเอกเตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบา เข้าเยี่ยมคำนับ โดยทั้งสองฝ่ายได้ชื่นชมความสัมพันธ์ และความก้าวหน้าของความร่วมมือทั้งสองประเทศด้านต่าง ๆ เช่น สาธารณสุขและการวิจัยทางการแพทย์, กีฬา, วิชาการ โดยเฉพาะเฉพาะมิติด้านสาธารณสุข และเห็นพ้องร่วมกันที่จะสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิด และครอบคลุมหลายมิติมากขึ้น

พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ต่อเนื่องที่ผ่านมา ส่งผลให้เด็กและเยาวชน ขาดโอกาสทางด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุขและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแก้ปัญหาดังกล่าวต่อเนื่องมา และยินดีอย่างยิ่ง ที่รัฐบาลคิวบาโดย สถาบัน อิก-ร่า เข้ามาร่วมพิจารณาสนับสนุนทุนการศึกษาด้านการแพทย์แก่นักเรียนไทยที่เรียนดีทั่วประเทศ จำนวน 3,000 ทุน โดยเร่งนำร่องกับเด็กเรียนดีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ 5 จังหวัด รวม 1,000 ทุน เพื่อให้มีแพทย์ประจำโรงพยาบาลตำบลในพื้นที่

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

สธ. จัดงานวันสุขบัญญัติแห่งชาติ 2568 ดึง Gen-H พลังคนรุ่นใหม่ ผนึกกำลัง อสม. ป้องกัน NCDs

กระทรวงสาธารณสุข จัดงานวันสุขบัญญัติแห่งชาติ ปี 2568 ดึงพลังคนรุ่นใหม่ 'อาสาสร้างสุขภาพ' ผนึกกำลัง อสม. ร่วมสื่อสารรณรงค์สร้างความรู้ในการ 'นับคาร์บ' และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตามหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ ลดเสี่ยง ลดป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั่วไทย

(23 พ.ค.68) ณ อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.)กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันสุขบัญญัติแห่งชาติ ปี 2568 'อาสาสร้างสุขภาพ (Gen - H) รณรงค์เยาวชนไทย ใช้สุขบัญญัติ สกัด NCDs' โดยมี ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และเครือข่ายแกนนำอาสาสร้างสุขภาพ เข้าร่วม

นายกองตรี ดร.ธนกฤตฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดฯว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วยการเดินหน้านโยบาย 'คนไทย ห่างไกล NCDs' เสริมองค์ความรู้ในการกินอาหารที่เหมาะสมให้ประชาชนผ่านกิจกรรม 'นับคาร์บ' ซึ่งการสร้างเสริมและปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแกนนำสุขภาพในชุมชน มาร่วมสื่อสาร สร้างความตระหนักและพัฒนาทักษะสุขภาพให้ดี โดยมีผลสำเร็จเชิงประจักษ์จากนโยบายนับคาร์บที่มีแกนนำสุขภาพ คือ อสม. เป็นกลไกสำคัญ ซึ่งผลสำรวจโดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบว่า ร้อยละ 83.91 ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่านโยบาย “นับคาร์บ” มีส่วนสำคัญทำให้ตนเองลดการบริโภคแป้งและน้ำตาลลง และร้อยละ 76.91 เห็นว่า อสม. คือกลไกสำคัญที่ช่วยให้ลดการบริโภคอาหารดังกล่าวได้ ข้อมูลนี้ ชี้ให้เห็นว่าพลังของเครือข่ายแกนนำสุขภาพ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชน สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนทางสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้  ดังนั้น การดึงพลังของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นพลังแห่งอนาคตมาร่วมสร้างสรรค์สังคมสุขภาพ ภายใต้บทบาทของอาสาสร้างสุขภาพ (Gen-H) ผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะจุดประกายความรู้ ความเข้าใจ และพฤติกรรมที่ดีสู่ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และสังคม ร่วมกับแกนนำสุขภาพอย่างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ในการรณรงค์เสริมสร้างความรู้ให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ตามแนวทางสุขบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือของ 2 แกนนำสุขภาพ ทั้ง อาสาสร้างสุขภาพ และ อสม. จะช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีความรู้ความเข้าใจและมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่การลดจำนวนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มผู้ป่วย NCDs ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศได้อย่างมหาศาลอีกด้วย

ด้าน ทันตแพทย์อาคมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากการเฝ้าระวังพฤติกรรมการกินของเด็กและเยาวชนไทย อายุ 13-25 ปี ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบว่า เด็กและเยาวชน มากกว่าร้อยละ 70 มีการกินอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และโซเดียมสูง เช่น ฟาสต์ฟู้ด อาหารกึ่งสำเร็จรูป น้ำอัดลม และขนมหวาน เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งพฤติกรรมการบริโภคดังกล่าว เป็นต้นเหตุสำคัญของโรค NCDs ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดย สหพันธ์โรคอ้วนโลกคาดการณ์ว่า ภายในปี 2578 เด็ก เยาวชนไทย กว่าร้อยละ 60 จะมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน 

ดังนั้น ในโอกาสวันสุขบัญญัติแห่งชาติปี 2568 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จึงตั้งเป้าสร้างความตระหนักและทักษะสุขภาพ ผ่านเครือข่ายสุขภาพที่เข้มแข็ง โดยจัดประกาศนโยบายสร้างและพัฒนา "อาสาสร้างสุขภาพ" (Gen-H) ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 25,682 คน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และสร้างกระแสในประเด็น “อาสาสร้างสุขภาพ (Gen-H) รณรงค์เยาวชนไทย ใช้สุขบัญญัติ สกัด NCDs : กินได้ กินดี” เชื่อมประสานการดำเนินงานระหว่างอาสาสร้างสุขภาพ และ อสม. เพื่อสื่อสารรณรงค์เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ “นับคาร์บ” และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ โดยเฉพาะ 3 ข้อสำคัญ ได้แก่ ข้อ 4 การกินอาหารสุก สะอาด ข้อ 5 งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด และข้อ 8 ออกกำลังกายและตรวจสุขภาพประจำปี ให้ประชาชนในพื้นที่เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย NCDs รายใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top