Sunday, 20 April 2025
สงขลา

'เจือ ราชสีห์' เสนอจัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายเมืองสงขลา เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ

'เจือ ราชสีห์' ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ - ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานราชการ/ภาคประชาชน วางแผนฟื้นฟูป่าสน แหลมสนอ่อน อ.เมืองสงขลา อย่างเป็นระบบ หลังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เสนอให้จัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลาในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้ประชาชนชาวสงขลาทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

(29 พ.ค.67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายไมตรี สรรพสิน โยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา และนางนำจิตร จันทร์หอม ผอ.ส่วนสิ่งแวดล้อม, นายศุภกฤต เพชรย้อย นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.สงขลา, นายไพโรจน์ นัครา ผู้อำนวยการส่วนจัดการป่าชุมชน สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา), นายสุรัตน์ ลายจันทร์ นายอำเภอเมืองสงขลา และตัวแทนภาคประชาชน กำหนดแผนงานและกิจกรรมฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งและป่าชายหาดอย่างเป็นระบบ บริเวณแหลมสนอ่อน ชายหาดสมิหลา ต.บ่อยาง อ.เมืองสงขลา 

ซึ่งเป็นป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลา ก่อนที่สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา จะทำโครงการพัฒนาพื้นที่แหลมสนอ่อนฯ โดยการปรับปรุงเส้นทางเดินและปั่นจักรยาน สร้างระบบไฟฟ้าส่องสว่างและพื้นที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยว โดยก่อนหน้านี้ นายเจือ ราชสีห์ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เสนอให้จัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลาในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้ประชาชนชาวสงขลาทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ลูกสาวพาพ่อใกล้สิ้นใจ มานอนรอความตายที่วัด เข้าใจเจ้าของบ้านเช่า ด้าน รพ.รุดให้การช่วยเหลือ

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ วัดโคกสมานคุณ (พระอารามหลวง) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดย น.ส.พัชรา เกื้อกูล หรือนุ่ม อายุ 23 ปี ได้พา นายยง โกมาร อายุ 63 ปี ผู้เป็นพ่อ มานอนรอความตายที่ศาลาตั้งศพภายในวัดโคกสมานคุณ เนื่องจากใกล้เสียชีวิต ร่างกายไม่ตอบสนอง มีแค่ลมหายใจเข้าออก และกลายเป็นภาพที่สะเทือนใจกับผู้ที่พบเห็น เนื่องจากใกล้ ๆ มีศาลาตั้งศพกำลังมีจัดงานศพอยู่ด้วย

ทั้งนี้ จากการสอบถาม น.ส.พัชรา กล่าวว่า พ่อประสบอุบัติเหตุขี่รถจยย.ชนกันกับรถจยย.อีกคัน ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นอนรักษาตัวเรื่อยมาเกือบ 6 เดือน ครั้งแรกรักษาตัวอยู่ที่ รพ.สงขลานครินทร์ (มอ.) และเพิ่งย้ายมารักษาต่อที่ รพ.หาดใหญ่ ได้ 13 วัน พบว่าอาการทรุดหนักหมดทางรักษา แม้จะผ่าตัดมาแล้ว 4 ครั้ง ญาติจึงยอมยุติการรักษาให้แพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจออก เพื่อไม่ให้พ่อทรมานและจากไปอย่างสงบ ก่อนพาพ่อออกจากโรงพยาบาล แต่ว่าเจ้าของบ้านเช่าไม่ต้องการให้นำพ่อกลับไปตายที่บ้านเช่า

ตนต้องจำใจพาพ่อมาอยู่ที่ศาลาตั้งศพภายในวัดโคกสมานคุณไปก่อน เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ไม่มีญาติพี่น้อง เพราะเดิมเป็นคนจ.หนองคาย ไม่ใช่คนหาดใหญ่ และมาเช่าบ้านทำมาหากินอยู่ที่หาดใหญ่ โดยอาศัยอยู่กับแม่พี่สาวส่วนพ่อจะไป ๆ มา ๆ

โดย น.ส.พัชรา กล่าวต่อว่า ตนเข้าใจทุกฝ่ายดีทั้ง รพ.หาดใหญ่ กรณีคนไข้ยุติการรักษา ญาติก็ต้องรับกลับบ้าน เข้าใจเจ้าของบ้านเช่าเพราะไม่มีใครอยากให้มีคนเข้าไปตายในบ้านเขา แต่สงสารพ่อที่ต้องมานอนรอความตายอยู่ภายในศาลาตั้งศพที่วัด แทนที่จะอยู่ได้กลับมาตายที่บ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะพาพ่อที่ใกล้ตายไปอยู่ที่ไหน

ขณะที่ นายณรงค์พร ณ พัทลุง หรือปลัดแป้น อดีตนายอำเภอหาดใหญ่ และอดีตปลัด จ.สงขลา ได้เดินทางมาเป็นประธานฌาปนกิจศพ และทราบเรื่องก็ได้ช่วยประสานงานกับวัด ครั้งแรกได้จัดที่ให้นำ นายยง ไปอยู่ภายในศาลาตั้งศพอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอาคารปิดมิดชิด ไม่อุจาดตาและสะดวกกว่าศาลาตั้งศพเดิม ซึ่งเป็นที่โล่งแจ้งไม่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจกับผู้พบเห็น

จากนั้น นายณรงค์พร ได้ประสานไปยัง รพ.หาดใหญ่ อีกครั้ง เพื่อดูว่าจะช่วยเหลือ นายยง ได้อย่างไรบ้าง เพราะดูอาการแล้วน่าจะยังอยู่อีกหลายวันไม่น่าเสียชีวิตทันทีในวันนี้ หากปล่อยให้อยู่ในศาลาตั้งศพแบบนี้ไม่เหมาะสมและสงสารครอบครัวด้วย

เมื่อ รพ.หาดใหญ่ ทราบเรื่องก็รีบช่วยเหลือทันที แม้ว่าญาติคนไข้รายนี้จะยุติการรักษาแล้ว พร้อมจัดรถพยาบาลมารับ นายยง ไปดูแลที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูโรงพยาบาลบางกล่ำ ซึ่งเป็นเครือข่าย รพ.หาดใหญ่ จนกว่าจะเสียชีวิต

นายณรงค์พร กล่าวว่า หาก นายยง เสียชีวิตให้ตั้งบำเพ็ญกุศลศพภายในวันโคกสมานคุณได้เลย ซึ่งหากตั้งวันเดียวก็ไม่มีค่าใช้จ่าย หากตั้งศพ 2 วันต้องจ่าย 3,000 บาท ตั้งศพ 3 วันจ่าย 7,000 บาท ตนจะช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายให้

ทางด้าน น.ส.พัชรา กล่าวอีกว่า ถ้าพ่อเสียชีวิตอาจจะตั้งศพวันเดียวแล้วเผาเลย และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ยื่นมือมาให้การช่วยเหลือ ให้พ่อได้มีที่อยู่ก่อนที่จะเสียชีวิต เพราะพวกตนก็ไม่รู้ว่าจะพาพ่อไปอยู่ที่ไหนแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงดูแลพ่อจนลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น

‘ชาวสงขลา’ โอด!! ‘เศรษฐกิจแย่’ กระตุ้น ‘โจรลักแทงปาล์ม’ ระบาดหนัก ‘ผู้ว่าฯ สงขลา’ ไม่นิ่ง!! เรียกถกด่วน หาแนวทางดูแลทุกข์-สุขชาวบ้าน

จากกรณีนักข่าวได้รับการร้องเรียนประเด็นโจรระบาดหนักในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา ลอบลักแทงปาล์ม ลักแม้กระทั่งกล้วย สายไฟ อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจย่ำแย่ ยาเสพติดระบาดหนัก คนไม่มีงานทำ ขาดรายได้

ล่าสุด (11 ก.ค. 67) ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเรียกประชุมด่วน ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอสทิงพระ เวลา 11.00 น. ทั้งผู้บังคับการจังหวัด ผู้กำกับทุกอำเภอ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกอำเภอ ทุกพื้นที่ บนคาบสมุทรสทิงพระ เพื่อสั่งการแก้ปัญหาเรื่อง ‘โจรลักขโมย’ สร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน อย่างเร่งด่วน

กล่าวสำหรับโจรลักขโมยแทงผลปาล์ม และลักขโมยผลผลิตผลทางการเกษตร ไม่ได้มีเฉพาะคาบสมุทรสทิงพระ แต่เกิดขึ้นเป็นการทั่วไป อย่างนครศรีฯ อ.หัวไทร เชียรใหญ่ ปากพนัง ชะอวด ก็มีโจรชุกชุมจริง ๆ เผลอไม่ได้ โดยจะขโมยแทงสวนปาล์มในเวลากลางคืน โจรจะตระเวนหมายตาไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน

ในจ.ตรัง จ.สตูล ก็ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นบ่อยครั้งถึงโจรขโมยแทงผลปาล์มไปขาย ยิ่งในช่วงปาล์มราคาดี โจรยิ่งชุมนัก

‘เทพไท เสนพงศ์’ อดีต สส.นครศรีฯ พรรคประชาธิปัตย์ เคยเสนอทางแก้ไว้น่าสนใจ จึงขอนำกลับมาเสนออีกครั้ง เผื่อเจ้าหน้าที่จะฉุกคิดขึ้นมาได้

“การแก้ปัญหา ‘การขโมยผลปาล์มน้ำมัน’ ของเกษตรกร ต้องเริ่มต้นที่ลานเทรับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกร จะต้องมีความเข้มงวดในการรับซื้อ ‘ปาล์มน้ำมัน’ จากผู้ขายรายย่อยที่นำผลปาล์มน้ำมันจำนวนน้อยมาขาย เช่น ใส่รถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ใส่รถเข็น ใส่เข่งจำนวนไม่กี่ทะลาย วิธีการแก้ไข ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนปาล์ม มี ‘บัตรประจำตัวเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน’ มีคิวอาร์โค้ด ชิปบันทึกข้อมูลในบัตร สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทั้งหมด ถ้าผู้ขายปาล์มรายใดไม่มีบัตรเกษตรกร ชาวสวนปาล์ม ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพวกขโมยปาล์มมาขาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องประสานงานกับลานเทปาล์ม ที่รับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกรอย่างใกล้ชิด”

ส่วนตัว #นายหัวไทร เห็นด้วยว่า ลานเทรับซื้อผลปาล์มควรจะเข้มงวด เคร่งครัดกับผู้ขายรายย่อย แต่บางครั้งเจ้าของลานเทกลับรู้เห็นเป็นใจ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า คนที่เอาผลปาล์มมาขาย ไม่ได้มีสวนปาล์ม แต่ยังรับซื้อ ซึ่งถ้าสืบกันในเชิงลึก อาจจะเข้าข่าย ‘รับซื้อของโจร’

จึงควรหาทางควบคุมลานเท ไม่ให้รีบซื้อผลปาล์มที่ไม่มีที่มาที่ไป เอาง่าย ๆ ว่า ไม่ควรรับซื้อของโจร ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวด เอาจริงเอาจัง ก็จะมีความผิดทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย

มีเจ้าของสวนรายหนึ่งในอำเภอปากพนังโทรมาแต่เช้า “ทอกขี้นั่งเลยพี่เห้อ” เมื่อเช้าเข้าสวนปาล์มไปเจอโดนโจรแทงปาล์มหมดสวน

“ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แจ้งตำรวจก็แล้ว แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็แล้ว ไม่ได้ผล จึงต้องแจ้งพี่ให้ช่วยกระทุ้งหน่อย”

ผมเองก็ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง ทำได้ก็แค่แจ้งข่าว บอกข่าวกันไป เผื่อเข้าหูเข้าตาเจ้าหน้าที่บ้าง จะได้เข้าไปจัดการปัญหา

ซึ่งปัญหาใหญ่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจที่ย่ำแย่’ คนไม่มีงานทำไม่มีรายได้ ไม่มีอาชีพ และปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ที่ลุกลามไปทุกชุมชน ซึ่งกลุ่มเยาวชนที่ติดยาเสพติดก็ไม่มีอาชีพ จึงออกขโมย เพื่อหารายได้มาซื้อยา

สงขลาตื่นแล้ว แต่จังหวัดอื่น ๆ ไม่รู้ว่า คนดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ตื่นกันแล้วหรือยัง

‘สรรเพชญ’ ถาม ‘รัฐบาล’ ผู้กล้าหาญปราบยางเถื่อนหายไปไหน?? เหตุใดราคายางลดฮวบ ลั่น!! ถนัดเคลมผลงานไปเรื่อย โกหกปชช.

(13 ก.ค.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นกรณีสถานการณ์ราคายางพาราในประเทศที่ลดฮวบ ซึ่งในพื้นที่ท้องถิ่นมีการรับซื้อจริงเหลือประมาณ 57 บาท/กิโลกรัมและน้ำยางลดเหลือ 61 บาท/กิโลกรัม จากเดิมที่ควรจะถึงระดับ 100 บาท/กิโลกรัม โดยในเรื่องนี้นายสรรเพชญกล่าวว่า หากย้อนกลับไปช่วงที่มีการอภิปรายในรัฐสภา ท่านอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย และท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องราคายางไว้ด้วยความเป็นห่วงว่าราคายางจะลดลง เพราะในขณะนั้นราคายางที่พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากเป็นไปตามกลไกของตลาดเพราะอยู่ในช่วงฤดูยางพาราผลัดเปลี่ยนใบ ซึ่งชาวสวนยางจะไม่กรีดยาง น้ำยางพาราจึงมีน้อยราคาจึงสูงขึ้น ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง 

แต่รัฐบาลโดยท่านนายกเศรษฐา และท่านรัฐมนตรีเกษตรฯ ร้อยเอกธรรมนัส ก็ต่างพูดกันอย่างเสียงแข็งว่าเป็นเพราะผลงานของรัฐบาลที่เดินหน้าปราบยางเถื่อนทำให้ราคายางเพิ่มสูงขึ้นในรอบ 10 ปี เมื่อมาพิจารณาราคายาง ณ ปัจจุบัน เหตุใดราคายางจึงลดลงเป็นอย่างมากหรือเป็นเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำงานจริงจังในเรื่องของการปราบยางเถื่อนแล้วราคาจึงลดฮวบลงแล้วส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวสวนยางเช่นนี้ นายสรรเพชญจึงได้ขอให้รัฐบาลเร่งทำงานให้สมกับที่ได้คุยโวไว้ในสภาว่ารัฐบาลนี้ทำผลงานเรื่องราคายางไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพราะหากรัฐบาลนิ่งเฉยหรือไม่ทำอะไร ตนเป็นกังวลว่าจะเป็นการเคลมผลงานโกหกประชาชนไปวัน ๆ เท่านั้น

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังขอให้รัฐบาลได้ฟังเสียงของสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยที่ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเพื่อวางมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางที่ลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างเร่งด่วนในการช่วยเหลือชาวสวนยางต่อไป

‘เจือ ราชสีห์’ ดีใจ!! ‘สงขลา’ เป็นเจ้าภาพฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 เปิดสนามดวลแข้งนัดแรก 7 ตุลาคมนี้ ณ สนามติณสูลานนท์

(26 ก.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘นายเจือ ราชสีห์-Mr.Jua Rachasri’ ระบุว่า…

📣 ฟุตบอล ⚽️ คิงส์คัพ ครั้งที่ 50 จัดที่สงขลา นะครับ ...รู้หรือยัง ‼️ 

ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวสงขลา ที่จังหวัดสงขลา ได้รับเลือกจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี ที่ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เตรียมมาแข่งขันที่จังหวัดสงขลา อีกครั้ง โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-15 ตุลาคม 2567 ที่สนามติณสูลานนท์ ครับ ⚽️ 🇹🇭 ⚽️

โดยก่อนหน้านี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ประกาศผลการคัดเลือก เจ้าภาพ ฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ในงาน FA Thailand Awards 2023/24 ผลปรากฏว่าสิทธิ์ตกเป็นของ ‘จังหวัดสงขลา’ ที่ผ่านคุณสมบัติมากที่สุด จากการพิจารณาของคณะกรรมการ ที่ สมาคมฯ จัดตั้งขึ้น

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ เป็นฟุตบอลถ้วยในระดับนานาชาติที่เก่าแก่มากที่สุดในทวีปเอเชีย โดยการแข่งขันครั้งที่ 50 จะจัดขึ้นภายใต้ปฏิทิน ฟีฟ่า เดย์ ระหว่างวันที่ 7-15 ตุลาคม 2567 แข่งขันทีมละ 2 นัด ในรูปแบบน็อคเอาท์ รอบรองชนะเลิศ และ รอบชิงชนะเลิศ

โดยทุกนัดจะเป็นการแข่งขันในระดับ International ‘A’ Match นำผลการแข่งขันไปคำนวณในการจัดฟีฟ่าแรงกิ้ง

โดยมี 3 จังหวัดที่เสนอตัวเข้ามาเป็นเจ้าภาพ ประกอบด้วย เชียงราย, สงขลา และ เชียงใหม่ ก่อนที่คณะกรรมการ จะพิจารณาให้ จังหวัดสงขลา มีความพร้อมมากที่สุด โดยจะใช้สนาม ติณสูลานนท์ สำหรับจัดการแข่งขัน ภายใต้ความจุ 20,000 ที่นั่ง (Seat)

การแข่งขันครั้งนี้ มี 4 ชาติที่ตอบรับเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการแล้ว ประกอบด้วย ทีมชาติไทย (เจ้าภาพ) อันดับ 101 ของโลก, ทีมชาติซีเรีย อันดับ 93 ของโลก, ทีมชาติทาจิกิสถาน อันดับ 103 ของโลก และแชมป์เมื่อปี 2022 และ ทีมชาติฟิลิปปินส์ อันดับ 147 ของโลก ส่วนประกบคู่แข่งขัน จะมีการจับสลากเพื่อแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

สำหรับ ‘จังหวัดสงขลา’ ถือเป็นจังหวัดที่ 2 ของภาคใต้ ที่ได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฟุตบอลคิงส์คัพ ต่อจ่าก จังหวัดภูเก็ต และ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี ที่ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เตรียมมาแข่งขันที่ จังหวัดสงขลา อีกครั้ง ต่อจาก ในฟุตบอลเอเชียน เกมส์ ปี 1998

สตม.ตามรวบบังหยันหัวโจกขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติ

ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี จับกุมนายซัฟยัน หรือบังหยัน (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 5 ก.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหมู่บ้านปาแดลางา ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จว.ปัตตานี

สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 19 คน พร้อมผู้ให้การช่วยเหลือ 2 คน เหตุเกิดที่ถนนสายเอเชียหมายเลข 2 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จว.สงขลา หลังจากนั้นได้ขยายผลการจับกุมพบว่านายซัฟยันหรือบังหยันผู้อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดครั้งนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาสืบทราบว่านายซัฟยันฯ มาหลบอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.หนองจิก จว.ปัตตานี จึงประสาน ตม.จว.ปัตตานี บูรณาการกำลังร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.สส.จชต. และ สภ.หนองจิก ไปร่วมตรวจสอบและจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว
สำหรับนายซัฟยันฯ หรือบังหยัน ถือเป็นกลไกสำคัญระดับสั่งการในการลำเลียงแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศจากประเทศกัมพูชาผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียทางช่องทางธรรมชาติ มีหมายจับจากการกระทำความผิดข้างต้นติดตัวจำนวน 2 หมายจับ จะทำหน้าที่สั่งการประสานงานกับนายหน้าประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดหารถขนแรงงานต่างด้าวครั้งละ 15-20 คน จากพื้นที่ตอนบนมายังภาคใต้ตลอดเส้นทางจนถึงมือนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานหลายเดือนถึงจะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเคยจับกุมมาแล้ว 3 คดี ในการทลายเครือข่ายครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญในการขนแรงงานผ่านประเทศไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้ถึง 62 คน เป็นคนไทย 10 คน คนต่างด้าว 52 คน ตรวจยึดยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ 8 คัน หลังจากนี้จะควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

2. สตม.ตามรวบบังหยันหัวโจกขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติ
ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี จับกุมนายซัฟยัน หรือบังหยัน (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 5 ก.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหมู่บ้านปาแดลางา ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จว.ปัตตานี สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 19 คน พร้อมผู้ให้การช่วยเหลือ 2 คน เหตุเกิดที่ถนนสายเอเชียหมายเลข 2 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จว.สงขลา หลังจากนั้นได้ขยายผลการจับกุมพบว่านายซัฟยันหรือบังหยันผู้อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดครั้งนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาสืบทราบว่า นายซัฟยันฯ มาหลบอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.หนองจิก จว.ปัตตานี จึงประสาน ตม.จว.ปัตตานี บูรณาการกำลังร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.สส.จชต. และ สภ.หนองจิก ไปร่วมตรวจสอบและจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว

สำหรับนายซัฟยันฯ หรือบังหยัน ถือเป็นกลไกสำคัญระดับสั่งการในการลำเลียงแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศจากประเทศกัมพูชาผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียทางช่องทางธรรมชาติ มีหมายจับจากการกระทำความผิดข้างต้นติดตัวจำนวน 2 หมายจับ จะทำหน้าที่สั่งการประสานงานกับนายหน้าประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดหารถขนแรงงานต่างด้าวครั้งละ 15-20 คน จากพื้นที่ตอนบนมายังภาคใต้ตลอดเส้นทางจนถึงมือนายจ้าง ที่ต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานหลายเดือนถึงจะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเคยจับกุมมาแล้ว 3 คดี  ในการทลายเครือข่ายครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญในการขนแรงงานผ่านประเทศไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้ถึง 62 คน เป็นคนไทย 10 คน คนต่างด้าว 52 คน ตรวจยึดยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ 8 คัน หลังจากนี้จะควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘อโกด้า’ จัดอันดับให้ ‘หาดใหญ่’ เป็นเมืองคุ้มค่าทางการท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้น!! ให้ภาคธุรกิจโรงแรมคึกคัก เพิ่มรายได้ให้คนในพื้นที่

(18 ส.ค.67) อโกด้า เผยผลสำรวจ ‘หาดใหญ่’ เป็นเมืองที่คุ้มค่าที่สุดในเอเชีย ในราคาห้องพักเฉลี่ย 1,250 บาท/คืน ส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเพิ่มมากขึ้น

ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา เผยว่า ผลสำรวจ แพลตฟอร์ม 
อโกด้า ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว ทำให้อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง

โดยเฉพาะในเรื่องราคาห้องพักโรงแรม ที่ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในเอเชีย สามารถกระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวใน 2 กลุ่มได้อย่างดี คือ กลุ่มที่ไม่เคยมาท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่เลย อยากจะลองมาเที่ยวสักครั้ง และ กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่เคยมาแล้ว แต่ไม่ได้กลับมานานแล้ว ก็อยากจะกลับมาอีกครั้ง

ขณะนี้ ผลสำรวจของอโกด้า ได้ถูกนำไปต่อยอด ขยายผล มีการรีวิว การเดินทางมาเที่ยวที่หาดใหญ่ รวมถึง มีอะไรน่าเที่ยว น่ากิน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเราคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยห้องพักโรงแรมในอำเภอหาดใหญ่ขณะนี้มีอยู่กว่า 2 หมื่นห้อง พร้อมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพการท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่ ขณะนี้จะเป็นบวก มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ แต่ก็อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมกันผลักดันการท่องเที่ยวทั้งภาพรวมของประเทศและภาพพื้นที่ เฉพาะจังหวัด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ตรงเป้าหมาย เพิ่มรายได้ให้กับภาคธุรกิจและประชาชนมากยิ่งขึ้น

สงขลา-กงสุลใหญ่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลาร่วมเสวนาความก้าวหน้าในความ สัมพันธ์ ไทย-จีน ในภาคใต้

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) ที่ห้องรับรองบ้านพัก กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำ จ.สงขลา นางอู่ ตงเหมย กงสุลใหญ่สาธารณประชาชนจีนประจำจังหวัดสงขลา ได้เชิญนายไชยยงค๋ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวัฒิสภา จ.สงขลา ร่วมเสวนาถึงความก้าวหน้าของมิตรภาพไทย-จีน ในโอกาสคครบรอบ 30 ปี ของการต่อตั้ง สำนักงานกงสุลประจำจังหวัดสงขลา โดยนางอู๋ ตงเหมย กล่าวว่า 

สถานกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลาก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1994 รวมเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว การก่อตั้งสถานกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลาได้สร้างสะพานแห่งใหม่สำหรับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมีอระหว่างจีนและภาคใต้ของไทย และแสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างจีนและไทย ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ 30 ปีอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ 30 ปีที่ผ่านมาเป็น 30 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของประเทศจีน และเป็น 30 ปีแห่งความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของมิตรภาพจีน-ไทย ผมขอใช้โอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 30 ปีของการสถาปนานกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลาเพื่อย้อนประวัติอันน่าตื่นเต้นและเป็นแรงบันดาลใจของพวกเราร่วมกัน 30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีน

30 ปีที่แล้ว GDP ของจีนมีมูลค่า 600,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้หลัง คือปี 2023 GDP ของจีนมีมูลค่ามากกว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 18% ของเศรษฐกิจโลก ในปี 1994 เศรษฐจีนอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก มาในปี 2010 จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศอุดสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีอุตสาหกรรมครบทุกประเภทตามการแบ่งประเภทอุตสาหกรรมของสหประชาชาติ โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตที่ทรงพลังที่สุด และมีการพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว

เศรษฐกิจของจีนมีขนาดมหึมา การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีคุณภาพสูงของเศรษฐกิจจีนย่อมเป็นแรงผลักดันสาคัญสาหรับการเติมโดของเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จีนได้ขยายการเปิดกว้างสู่โลกภายนอกและยกระดับการเปิดกว้างอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดอย่างหนึ่งของจีน ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าหลักของประเทศและภูมิภาคต่างๆ มากกว่า 140 ประเทศท้าโลก และเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่อันดับสองของโลก นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางหรือ Belt and Road Initiative เมื่อปี 2013 จีนได้ดึงดูดประเทศต่างๆ มากกว่า 150 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศมากกว่า 30 องค์กรเข้าร่วม ซึ่งโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สาธารณะระดับนานาชาติที่ได้รับความนิยมและเป็นเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องจีนยินดีแบ่งปันการพัฒนาของตนเองเพื่อมอบโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 'เค้ก' ของความร่วมมือแบบ win-win ชาติที่หอมหวาน จีนยินดีทำงานร่วมกับมิตรประเทศรวมทั้งประเทศไทยเพื่อสร้าง 'เค้ก' ที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น และแบ่งปันประโยชน์จากกพัฒนาของจีน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนมีส่วนร่วมในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเฉลี่ยปีละกว่า 30% ในปี 2023 ท่ามกลางเศรษฐกิจโลก.ที่ฟื้นตัวอย่างยากลำบากและเผชิญความไม่แม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นของอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก เศรษฐกิจจีนมีส่วนสนับสนนการเต็มโดของเศรษฐกิจโลกถึง 32% และกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง

30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างครอบคลุม จีน-ไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นญาติที่ดีด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน ตั้งแต่ 'แถลงการณ์ร่วม' ปี 2001 ที่รัฐบาลจีนและไทยบรรลุฉันทามติในการส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน จนถึงปี2012 ที่ทั้งสองประเทศได้เริ่มต้นความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน และปี 2022 ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เยือนประเทศไทยและร่วมกับผู้นำรัฐบาลไทยในการสร้างเป้าหมายยุคใหม่ของ 'ประชาดิมที่มีอนาคตร่วมกันจีน-ไทย' จนถึงปี 2023 ที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินเยือนประเทศจีน และได้แลกเปลี่ยนเชิงลึกกับผู้นำจีนเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างสองประเทศ และบรรลุฉันทามติอย่างกว้างขวาง 

ทำให้ทั้งสองประเทศมีความไว้วางใจทางการเมืองต่อกันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศมีการเยือนระหว่างกันเหมือนเครือญาติ ผู้นำจีนหลายคนเคยมาเยือนประเทศไทย ราชวงศ์ไทย ผู้นำรัฐบาล รัฐสภา และผู้นำกองทัพของไทยก็ได้เยือนจีนหลายครั้งเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์จีน-ไทยรักษาโมเมนตัมการพัฒนาที่มั่นคงและแข็งแรงมาโดยดลอด และกลายเป็นต้นแบบของการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและพัฒนาร่วมกัน

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ขนาดการค้าระหว่างจีนและไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จีนกลายเป็นคู่คำรายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นแหล่งเงินทุนต่างประเทศที่สำคัญที่สุด เป็นประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สำคัญที่สุด และเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของไทย ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ปริมาณการค้าจีน-ไทยทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ประเทศไทยเป็นฐานสำคัญของโครงการ 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' ที่มีคุณภาพสูง ภายใต้กรอบของ 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังจีนมีมูลค่าร่วม 11,262 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 42% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้น 6.19% เมื่อเทียบเป็นรายปีการส่งออกทุเรียนไทยไปยังจีนคิดเป็น 70% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย 

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนปีนี้ไทยส่งออกทุเรียนสดไปยังจีนถึง 225,000 ตัน ธุรกิจจีนมีการลงทุนในไทยอย่างแข็งขัน ในปี2023 การลงทุนโดยตรงของจีนในประเทศไทยมีมูลค่า 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 109% เมื่อเทียบเป็นรายปี และมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการจ้างงานของไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนะไทยมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ประเทศไทยเป็นหนึ่งใงในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน ในปี 2023 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทย 3.52 ล้านคน สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้ไทยกว่า 196,700 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมปีนี้ จีนและไทยได้เข้าสู่ 'ยุคปลอดวีซ่า' จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งจีนมาไทยและไท่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงสี่เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนประเทศไทย 2.352 ล้านคน ซึ่งกว่าชาติอื่น ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว วันที่ 1 มีนาคม มีนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เพิ่มขึ้นม60% เมื่อเทียบกับปี 2019 ในช่วงก่อนโควิด นักศึกษาจีนยังคงศึกษาต่างชาติกลุ่มหลักในรั้วมหาวิทยาลัยไทย ในภาคการศึกษาของปีการศึกษา 2023 มีนักศึกษาจีนในสถาบันอุดมศึกษาของ21,906 คน คิดเป็น 60% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในประเทศไทย

30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมีชีวิตชีวาของความร่วมมือระหว่างจีนกับภาคใต้ของไทย ภาคใต้ของไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ จีนมีตลาดขนาดใหญ่และมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง ทั้งสองฝ่ายมีส่วนส่งเสริมระหว่างกันอย่างมากในด้านเศรษฐกิจ การสงอองออกเนื่อง ในปี 2023 ไทยส่งออกยางพาราทั้งสิ้น 4.267 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 2.057 ล้านต้นส่งออกไปจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยางที่ผลิตในภาคใต้ ในปี 2023 ประเทศไทยสงออกทเรียนไปยังจีนจำนวน 945,000 ต้นเฉพาะจังหวัดชุมพรเพียงจังหวัดเดียวก็ส่งออกทเรียนไปยังจีนถึง 400,000 ตัน ผลไม้อื่น ๆ จากภาคใต้ เช่น มะพร้าว สับปะรด กล้วยมะม่วง ฯลฯ ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศจีนเช่นกัน การลงทุนและการสร้างโรงงานของบริษัทจีนในพื้นที่ภาคใต้ของไทยได้ช่วยแก้ปัญหาการดำรงชีพของคนท้องถิ่นจำนวนมาก เช่น การจ้างงาน การกำจัดขยะและแหล่งจ่ายไฟฟ้า เป็นต้น 

อีกทั้งมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคใต้ของไทย การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและภาคใต้ของไทยด่าเนินไปอย่างต่อเนื่อง ชาวใต้มีความสนใจในภาษาและวัฒนธรรมจีนเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนจีนในภายได้ได้ผลิตทูดสันถวไมตรีระหว่างจีน-ไทยจำนวนมาก ภาคใต้อุดมไปด้วยทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ภูเก็ดสมย และหลีเป๊ะเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจีน ในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน มีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนได้แบ่งปันความทรงจำดีๆ ขณะไปท่องเที่ยวในสถานที่เหล่านี้ 30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงมิตรภาพจีน-ไทยที่เรียกว่า 'ไทยจีนใช่อื่นใกล พี่น้องกัน' 

ซึ่งมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง คนจีนและไทยมีมิตรภาพอันยาวนานและมีความใกล้ชิดเหมือนครอบครัวเดียวกันนับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ประชาชนทั้งสองประเทศได้ร่วมทุกร่วมสุขกัน ช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ร่วมกันเอาชนะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ร่วมกันตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ทางการเงิน และร่วมกันส่งเสริมการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ เราจะไม่มีวันลืมว่าเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งแรกในปี 2019 รัฐบาลและประชาชนทุกสาขาอาชีพในไทย รวมถึงประชาชนในภาคใต้ ต่างมีความห่วงใยกับความปลอดภัยของประชาชนในเมืองอู่ฮั่น และได้จัดกิจกรรม 'อู่ฮั่นสู้ๆ' 

โดยร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ติดอยู่ในประเทศไทยและรักษาผู้ป่วยชาวจีนที่คิดเชื้อในประเทศไทยโดยทันทีในทำนองเดียวกัน หลังจากเกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทย ฝ่ายจีนก็ได้จัดหาอุปกรณ์ป้องกัน แบ่งปันประสบการณ์ในการรับมือ และจัดหาวัคขืนให้กับประเทศไทยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเกิดเรื่องที่น่าประทับใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองฝ่ายได้ใช้การปฏิบัติจริงอธิบายถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งสมกับคำกล่าวที่ว่า 'จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน' ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งที่สงขลา ข้าพเจ้ามักจะไปเยี่ยมสถานที่ต่างๆในเขตรับผิดชอบ ได้พบปะพุดคุยกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น นักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล และนักศึกษา ได้รู้จักเพื่อนมากมาย ในทุกพื้นที่เข้าจะได้สัมผัสถึงความกระตือรือร้นอย่างมากของผู้นำท้องถิ่นและระชาชนภาคใต้ต่อความปรารถนาในการสร้างความร่วมมือกัมจีน 

นับตั้งแต่ก่อตั้งสถานกงสุลใหญ่ประจ่าสงขลา เพื่อนจากทุกสาขาอาชีพในภาคใต้ได้ให้การสนับสนุนเรามากมายอย่างประเป็นค่ามิใต้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันหลายครั้งแต่มิตรภาพระหว่างเราไม่เคยเปลี่ยน และยังคงสัมผัสได้ถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งที่ทุกท่านมอบให้เราเสมอมา ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้ เป็นของเจ้าหน้าที่ทุกคนของสถานกงสุลใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อประชาชนจากทุกสาขาอาชีพในภาคใต้ของประเทศไทยที่ห่วงใยและสนับสนุนการดำเนินงานของสถานกงสุลใหญ่มาโดยตลอดเมื่อย้อนมองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของความร่วมร่วมมือจีน-ไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา 

เรามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมต่ต่ออนาคดข้างหน้า จีนกำลังพัฒนา ความสัมพันธ์จีน-ไทยกำลังเผชิญกับโอกาสครั้งสาคัญในประวัติศาสตร์ ความร่วมมือระหว่างจีนกับภาคใต้ของไทยมีอนาคตที่สดใสนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐปรจีน และเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย บนจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ทางประวัติศาสดร์นี้ สถานกงสุลใหญ่จีนประจ่าสงขลายินดีทำงานร่วมกับเพื่อนจากทุกสาขาอาชีพในภาคใต้ของไทย เพื่อดำเนินการตามฉันทามติที่สำคัญของผู้นำผู้น่าทั้งสองประเทศ และมุ่งมันที่จะเร่งสร้างชุมชนที่มีอนาคดร่วมกันระหว่างจีนไทยที่มีความมั่นคง รุ่งเรือง และยังยืนมากขึ้น โปรดจับมือกันต่อไป ร่วมกันต่อสู้เพื่อส่งเสริมมิตรภาพอันดีระหว่างจีน-ไทย ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างจีนและภาคใต้ของไทย

จับตา ‘สงขลา’ ก้าวสู่เมืองกีฬาภูมิภาค โมเดลใหม่ถอดด้าม พัฒนาเศรษฐกิจเมือง

(11 ต.ค. 67) เวลา 19.30 น. ของวันนี้จะเป็นนัดแรกของการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ที่จะจัดฟาดแข้งกันที่ ‘สนามติณสูลานนท์’ จังหวัดสงขลา 

เป็นครั้งแรกของการเปิดสงขลาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคิงส์คัพ ถือเป็นการซ้อมย่อย ๆ ก่อนที่ในปีหน้าจะรับอีกหนึ่งบทบาทคือการเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน ‘ซีเกมส์’ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ 

2 มหกรรมกีฬาที่ใช้สงขลาเป็นรังเหย้าติด ๆ กัน น่าจะทำให้เห็นเค้าโครงของการเป็นเมืองกีฬามากยิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึงเมืองกีฬาภาพแรกที่คิดถึงจะเป็น ‘บุรีรัมย์’

แต่การเป็นเมืองกีฬาของสงขลานั้นมีโมเดลเป็นของตัวเอง ไม่ใช่การลงทุนมหาศาล

ส่วนใหญ่ใช้การปรับปรุงสนามเดิม หรือพื้นที่เดิมให้มีมาตรฐานระดับสากล คล้ายกับกีฬาโอลิมปิกที่จัดที่ปารีส เพราะที่ผ่านมามีหลายบทเรียนให้เห็นว่าการลงทุนสร้างโครงสร้างมหาศาลสุดท้ายถูกทิ้งร้างอย่างน่าเสียดาย

แล้วเรื่องนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขนาดไหน นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในนามประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ชิงถ้วยพระราชทาน 'คิงส์คัพ' ครั้งที่ 50 ประจำปี 2567 กล่าวไว้ว่า

"จังหวัดสงขลามีความเชื่อมั่นว่า การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ชิงถ้วยพระราชทาน 'คิงส์คัพ' ครั้งที่ 50 ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ต้นกล้าเด็ก เยาวชนสงขลามีแรงบันดาลใจในการเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ ส่งเสริมและพัฒนากีฬาฟุตบอลในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง การจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ สงขลาครั้งนี้ 

จะช่วยตอบโจทย์ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ อันได้แก่ จังหวัดสงขลา นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล พัทลุง และนครศรีธรรมราช โดยในช่วงการแข่งขันวันที่ 11 และ 14 ตุลาคม 2567 จังหวัดสงขลาคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ในพื้นที่จังหวัดสงขลาหลายหมื่นคน จะสามารถกระตุ้นระบบเศรษฐกิจที่ซบเซาในพื้นที่ได้หลายร้อยล้านบาท และรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว เจ้าภาพการแข่งขันจะมอบให้แก่กลุ่ม ชมรม สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาใน 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จ 'สงขลาเมืองกีฬา' ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นระบบเศรษฐกิจในพื้นที่"

สุดท้ายที่อยากเห็นคือรัฐบาล และทุก ๆ ภาคส่วนต้องลงมาวางแผนชี้นำเศรษฐกิจที่ใช้กีฬานำ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรม MICE อย่างจริงจัง 

‘เจือ ราชสีห์’ ยื่นหนังสือถึง ปธ.กมธ.คมนาคม วุฒิสภา ให้เร่งเดินหน้าสร้างสะพาน ลั่น!! ความทุกข์ของชาวบ้าน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ผมจะหยุดได้อย่างไร

(12 ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าพบและยื่นหนังสือถึงนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมการการคมนาคมวุฒิสภา ขอให้สนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ระหว่าง อ.เมืองสงขลา และ อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยให้คณะกรรมาธิการฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อเร่งดำเนินการเป็นการด่วนและรายงานให้ทราบเพื่อคณะกรรมาธิการฯ จะได้ผลักดันให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ต่อไป 

ผมไม่เคยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน สะพานข้ามทะเลสาบสงขลาเพื่อเชื่อม อ.เมืองสงขลาและ อ.สิงหนคร จ.สงขลา เป็นอีกหนึ่ง ความหวังของคนสงขลา ผมรับเรื่องร้องเรียนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมา ก็ทำหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ทันที กระทั่งจังหวัดสงขลาได้ตั้งคณะทำงานฯขึ้นมาทำงานกันอย่างจริงจัง มีความคืบหน้าตามลำดับ วันนี้ผมยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคมวุฒิสภา เพื่อให้สนับสนุนโครงการ ซึ่งท่านก็รับปาก ว่าจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุม เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวสงขลาอย่างเร่งด่วน และจะแจ้งความคืบหน้าให้ผมทราบเป็นระยะครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top