ห้องเรียนใหญ่ที่สุดในโลกของในหลวง ร.9 แหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต 4,800 แห่งทั่วประเทศ
อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า อากาศ โลกร้อน และพลังงานทดแทน นับเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในปัจจุบัน ซึ่งหลายๆ ประเทศ และหลายหน่วยงาน ต่างรณรงค์ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ทุกคนตระหนัก และร่วมกันแก้ปัญหา
ทั้งนี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับมายังความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน อาทิ ปัญหาโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นการตระหนักรู้และจัดการดูแลเพื่อรักษาธรรมชาติไม่ให้ถูกทำลาย และสร้างสมดุลเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของทุกคน ที่จะต้องมีส่วนร่วมในการหันมาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่สืบต่อไป การเปลี่ยนแนวคิดและสร้างวิถีชีวิตแห่งความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน
ที่ผ่านมา บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และมูลนิธิธรรมดี จัดทำโครงการ ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา โดยได้คัดเลือกครูอาจารย์จากทั่วประเทศมาร่วมกิจกรรม ซึ่งจัดไปแล้ว 15 ครั้ง
สำหรับ ครั้งที่ 15 จัดขึ้น ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี โดยในครั้งนี้เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ปรับวิถีชีวิตสู่สมดุลด้วยนวัตกรรมศาสตร์พระราชา ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาป่าไม้อเนกประสงค์ มุ่งหมายศึกษารูปแบบการพัฒนาเกษตรกรรมควบคู่ไปกับการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและปลูกป่า จัดสรรที่ทำกินให้กับราษฎร ที่ได้เข้ามาบุกรุกทำกินอยู่แต่เดิมให้ได้เข้าอยู่อาศัย และให้ความรู้กับราษฎร ให้ทำการเกษตรอย่างถูกวิธี รวมทั้งให้มีส่วนร่วมในการปลูกป่า ดูแลรักษาป่า ตลอดจนให้ได้รับประโยชน์จากผลผลิตของป่า เพื่อที่ราษฎรจะได้ไม่บุกรุกทำลายป่าอีกต่อไป เป็นการดูแลทรัพยากรที่สำคัญ ทั้งคนและสิ่งแวดล้อม
ศูนย์นี้เคยประสบกับปัญหาพื้นที่ป่าไม้ถูกทำลาย ดินขาดการบำรุงรักษา ทำให้ธรรมชาติขาดความสมดุล เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล มีปริมาณฝนลดลง และเมื่อเวลามีฝนตกฝนจะตกหนัก เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการชะล้างพังทลาย หน้าดินถูกกัดเซาะเป็นร่องลึก เนื่องจากไม่มีพืชคลุมดินเป็นสิ่งกีดขวางการไหลบ่าของน้ำ
“หญ้าแฝก” จึงเป็นพืชที่เหมาะสมในการนำมาปลูกเพื่อพัฒนาพื้นดินบริเวณนี้ เพื่อการใช้ประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำ ชะลอและเก็บกักน้ำให้ดินชุ่มชื่น ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมในด้านการช่วยบำบัดน้ำเสียได้อีกด้วย ซึ่งคณะครูอาจารย์ก็ได้ร่วมลงมือทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก เพื่อเป็นการเรียนรู้และสร้างประสบการณ์การอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยการลงมือปฏิบัติจริง
พ.ต.อ.พันศักดิ์ สมันตรัฐ ผอ.ศูนย์ฯ กล่าวว่า “นอกเหนือจากการดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว การดูแลประชาชนในพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ดังนั้น ความรู้ด้านการตลาดก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวบ้าน” ซึ่งได้ยกตัวอย่างการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ชาวบ้านเพาะปลูก อาทิ การแปรรูปน้ำอ้อย จากเดิมที่การขายเป็นลำอ้อย ให้ปรับมาขายเป็นแก้ว ที่ได้ราคามากกว่า หรือการเพาะปลูกอย่างไร เพื่อให้ได้ผลผลิตเก็บเกี่ยวออกมาขายได้ทุกวัน อย่างเช่นการปลูกผักบุ้งที่มีการวางแผนการปลูกอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
“หลักการที่สำคัญในการบริหารจัดการและการดูแลชาวบ้านเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและอยู่อย่างมีความสุข คือการร้อยเรียงเรื่อง การบูรณาการด้านวิชาการ โดยมีภูมิปัญญาท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่” ให้สอดคล้องไปด้วยกัน ผอ.ศูนย์สรุป
การทำกิจกรรมที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำรินี้ ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด และประธานมูลนิธิธรรมดี ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า “ที่ศูนย์นี้ ถือเป็นห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ที่เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ ป่าชายหาด และป่าชายเลน เป็นสมบัติของโลกใบนี้ที่เราควรต้องช่วยกันดูแลรักษาฟื้นฟูอนุรักษ์ธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี การพยายามออกจากห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะช่วยให้เราได้เข้าถึงธรรมชาติและสามารถเรียนรู้จากธรรมชาติได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการเกษตรเท่านั้น แต่ยังบูรณาการไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ การตลาด เชื่อมโยงไปถึงอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องที่ได้อีกด้วย”
