Saturday, 19 April 2025
วินัยจราจร

‘นายกรัฐมนตรี’ พร้อม ‘รองนายกฯ’ ห่วงใย! กำชับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดปรับปรุงกฎหมาย “ระบบตัดคะแนน - เพิ่มโทษฝ่าฝืน” พร้อมสำรวจปรับปรุงพื้นที่ทางม้าลาย เพิ่มความปลอดภัยเพื่อปชช.!!

25 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (หรือ นปถ.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถ ใช้ถนนและคนเดินเท้า จึงได้สั่งการให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้มีสภาพบังคับใช้กับผู้ฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด เพื่อเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะบริเวณเส้นทางข้ามถนน (ทางม้าลาย)

โดยในวันที่ 28 ม.ค.65 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) พร้อมคณะลงสำรวจพื้นที่ทางข้ามถนน (ทางม้าลาย) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เก็บรวบรวมข้อมูล และจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันเดียวกัน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากขึ้นทั่วประเทศ 

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้รถ ใช้ถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ได้ยกร่างระเบียบระบบตัดคะแนนสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว และจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อดำเนินการต่อไป คาดว่าจะอนุมัติและบังคับใช้ได้ในเดือนกันยายน พ.ศ.2565 และมีการเสนอเพิ่มโทษการฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร จากปรับไม่เกิน 1,000 บาท เป็นไม่เกิน 4,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติประกาศใช้ได้ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2565

บชน.-ตร.ทางหลวง จับมือ สสส. จัดอบรมด้านวินัยจราจรให้ความรู้พนักงานขนส่งแฟลช 

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. กล่าวว่า จากความร่วมมือในปีที่ 3 ต่อเนื่องมาปีที่ 4 บช.น.เล็งเห็นว่า บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ให้ความสำคัญ และใส่ใจในการควบคุมดูแลให้พนักงานขับขี่ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยบนท้องถนน บช.น.ได้พัฒนาหลักสูตรด้านวินัยการขับขี่ และกฎหมายจราจรฉบับล่าสุด ด้วยในปี 2566 นับเป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการลดอุบัติเหตุ ให้เป็นไปตามนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ เพื่อให้โครงการสำเร็จลุล่วงด้วยดี อันจะมีส่วนช่วยให้เกิดการตระหนักรู้กับภาคเอกชนรายอื่นๆ ในภาพรวม เพื่อให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาวต่อไป 

ด้าน พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รองผบก.ทล. กล่าวว่า ตำรวจทางหลวง เล็งเห็นด้านความปลอดภัยทางถนน ได้จัดให้เจ้าหน้าที่ของทางหลวง มาให้ความรู้ด้านกฎหมาย และระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ด้านการจราจรเพื่อเป็นประโยชน์แก่พนักงานขนส่ง และประชาชน ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวสามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างเป็นรูปธรรมจริง

ทางด้าน นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ริเริ่มโครงการขับขี่ปลอดภัย มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ด้วยธุรกิจหลักของบริษัทคือ ผู้ให้บริการด้านขนส่ง โดยพนักงานกว่า 70% คือ คูเรียร์ หรือเรียกว่าพนักงานส่งของ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนตลอดทั้งวัน การเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการขับขี่ถือเป็นเรื่องหลักที่บริษัทฯ ต้องการสร้างให้พนักงานคูเรียร์เกิดความตระหนักรู้ ทั้งในเรื่องกฏระเบียบวินัยจราจร และการปฏิบัติตัวเมื่อต้องใช้ถนนร่วมกับผู้อื่น 

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนน โดยความปลอดภัยทางถนน โดยสสส. ตระหนักถึงอุบัติเหตุในกลุ่มรถขนส่ง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากตามความเติบโตของธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการขับขี่ปลอดภัยในปีนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส มีนโยบายการดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับการทำงานของ สสส.โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และถือเป็นตัวอย่างที่ดีในฐานะภาคเอกชนรายย่อยที่แสดงออกถึงความตั้งใจในการร่วมลดอุบัติเหตุ

สคอ.-สสส. และเครือข่าย ยื่นข้อเสนอต่อสมาชิกวุฒิสภา ช่วยเร่งจัดการความเสี่ยงลดเจ็บ-ตายจากอุบัติเหตุทางถนน ชี้ประเทศไทยควรมีนโยบายและปฏิบัติตามแผนต่อเนื่อง เชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบ-วางรากฐานวินัยจราจรตั้งแต่เด็ก

โดยสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนไทย พบอุบัติเหตุทางถนนกว่าร้อยละ 80 เกิดในผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 45 ส่งผลต่อการเจ็บและตาย หากเข้มข้นจริงจังให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น จะช่วยลดความสูญเสียและเพิ่ม GDP ของประเทศในระยะยาว 

วันที่ 22 ส.ค.67 - ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ- ในการประชุมบูรณการความร่วมมือสื่อและเครือข่ายเพื่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ  ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ได้มีเวทีเสวนา “พลังสื่อและเครือข่าย จะร่วมผลักดันนโยบายเพื่อความปลอดภัยทางถนนได้อย่างไร?” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางหนุนเสริมการทำงานสร้างความปลอดภัยทางถนนร่วมกัน ผู้ร่วมเสนา ได้แก่ นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส.นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา นางสาวประสพสุข จุรุทา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนสมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ และนายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) พร้อมได้ยื่นข้อเสนอต่อสมาชิกวุฒิสภาเพื่อช่วยนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนและเร่งผลักดันให้นโยบาย เรื่องความปลอดภัยทางถนนเกิดขึ้นจริงในวุฒิสภาและรัฐบาลต่อไป โดยมี นายสุทนต์ กล้าการขาย และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้รับมอบข้อเสนอดังกล่าว  

นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์  ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส.
กล่าวว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน และบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ-เอกชน รวมถึงภาคประชาชน ที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยทางถนนและลดความสูญเสียลงทั้งชีวิต-ทรัพย์สิน-จิตใจ รวมไปถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลที่รัฐต้องจ่ายในแต่ละปีมากกว่า 4 พันล้านบาท และมี 2 ประเด็นสำคัญที่ควรขับเคลื่อนพร้อมกันทั้งประเทศ คือ 1) สื่อสารประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นระบบและสร้างความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางถนน รวมถึงวินัยจราจรตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงผู้ใหญ่ โดยเน้นส่งเสริมให้ระดับพื้นที่และอำเภอค้นหาแนวทางและนวัตกรรมการสื่อสารเพื่อทำให้ผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น เน้นแข่งขันกันในเชิงบวกและสนับสนุนโล่ห์รางวัลและให้กำลังผู้ปฏิบัติงานในระดับอำเภอ และรายงานผลการสวมหมวกนิรภัยมายัง ศปถ. และ 

2) ส่งเสริมให้มีการใช้ระบบเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมการสวมหมวก อาทิ การติดตามการสวมหมวกนิรภัยจากกล้องวงจรปิดและคืนข้อมูลต่อประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและทำให้เกิดการบังคับใช้เชิงบวกเสริมไปกับการบังคับใช้กฎหมายจราจร เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถจักยานยนต์โดยตรง 

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า ในการยื่นข้อเสนอครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนยังไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร อาจเพราะติดขัดในหลายด้านที่ไม่สามารถขยับได้ และการแก้ปัญหาอุบัติเหตุก็เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานองค์กร รวมถึงรัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน 

ซึ่งในวันนี้ทางเครือข่ายได้จัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นให้กับสมาชิกวุฒิสภา นำไปขับเคลื่อนสร้างความปลอดภัยทางถนนและเสนอต่อไปยังรัฐบาลต่อไป ได้แก่ 1. ระดับนโยบาย : ควรออกกฎหมายและนโยบายเรื่องความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม มีการติดตามประเมินผลและรายงานต่อคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) อย่างต่อเนื่อง 

ระดับอำนวยการ : ควรมีการประสานการดำเนินงานกลไก 5 เสาหลัก ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน

ระดับปฏิบัติการ  : ควรมีการจัดเวทีสังเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยง ส่งต่อและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการแก้ไข 

2. ควรใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 

3. ส่งเสริมให้องค์ปกครองท้องถิ่นทุกระดับเป็นเจ้าภาพหลักในการปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมด้านความปลอดภัยทางถนนของแหล่งท่องเที่ยว ชุมชน ให้เกิดความปลอดภัย 

4. วางรากฐานความมีระเบียบวินัยจราจรอย่างเป็นระบบที่ต่อเนื่อง และเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้เป็นต้นแบบความปลอดภัยทางถนน

นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ยินดีที่จะรับข้อเสนอที่ทางเครือข่ายได้ยื่นมาในวันนี้ เพราะตนเองเป็นผู้ที่เคยทำงานร่วมกับเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนมาอย่างยาวนาน จึงรับรู้ปัญหาและผลกระทบจากการความสูญเสียอันเกิดจากอุบัติเหตุทางถนนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันอังคารหน้าที่จะถึงนี้ ตนจะนำเรียนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้รับทราบและร่วมขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนนได้อย่างแท้จริงต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top