Sunday, 8 June 2025
วราวุธศิลปอาชา

‘วราวุธ’ กำชับ!! ศรส.ปทุมธานี รุดช่วยยายวัย 67 ปี หลังนอนจมอุจจาระ-ปัสสาวะ ในห้องเช่าเพียงคนเดียว

(13 พ.ค. 67) นางสาวซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยถึงการช่วยเหลือคุณยายอายุ 67 ปี ด้วยการงัดห้องเช่า เพราะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา ที่ จังหวัดปทุมธานี ว่า ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เพื่อให้เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนและศูนย์กลางการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ได้สั่งการให้ ศรส.จังหวัดปทุมธานี ส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายโดยด่วน หลังได้รับการประสานงานจากเทศบาลตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า วันที่ 12 พ.ค. 67 ศรส.จังหวัดปทุมธานี , กันจอมพลัง , หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ร่วมกันลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือคุณยาย โดยได้งัดห้องเช่า พบว่า คุณยายอาศัยอยู่เพียงคนเดียว มีสภาพอิดโรย นอนจมอุจจาระและปัสสาวะ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อ 2 เดือนก่อน โดยจะมีเพื่อนบ้าน อสม. อพม. คอยเข้ามาช่วยดูแล แต่มีน้องสาวทำงานที่กรุงเทพฯ จะคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ด้วยการส่งเงินเป็นรายเดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง จึงไม่สามารถรับพี่สาวไปดูแลได้ 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า ได้นำคุณยายไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาการอาการป่วยในเบื้องต้น อีกทั้งจะดำเนินการติดตามหาญาติพี่น้องของคุณยายเพิ่มเติม อีกทั้ง เมื่อโรงพยาบาลได้สิ้นสุดการรักษาคุณยายแล้ว ศรส.จังหวัดปทุมธานี จะรับตัวเพื่อเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) จังหวัดปทุมธานี อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง หรือประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ขอให้รีบโทรแจ้ง ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่าน สายด่วน พม. 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง

'วราวุธ' ลั่น!! ปม 'น้องไนซ์' หากครอบครัวไม่ให้ความร่วมมือ จำเป็นต้องขอใช้อำนาจศาล เข้าตรวจสอบสภาพจิตใจเด็ก

(14 พ.ค. 67) ที่หน้าอาคารสุเมธตัวติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี จ.เพชรบุรี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงกรณีน้องไนซ์ ว่า ขณะนี้กระทรวง พม. ได้ส่งทีมสหวิชาชีพ ทั้งในส่วนนักจิตวิทยา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบ้านของน้องไนซ์ ซึ่งได้ไปดูสภาพครอบครัว การประเมินทางสภาพจิตใจของทางครอบครัวและตัวเด็ก ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเข้าไปพูดคุยกับตัวเด็กโดยตรงได้ 

ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องจึงได้ทำเรื่องร้องขอไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถ้าหากยังไม่ได้รับความร่วมมือ จำเป็นจะต้องขออนุญาตใช้อำนาจศาลในการมีคำสั่งเข้าไปพิจารณาถึงสภาพจิตใจของตัวเด็ก รวมถึงผู้ปกครองด้วย ต้องขอนำเรียนว่ามิติการทำงานของกระทรวง พม. โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับในกรณีนี้ คือ กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) มีหน้าที่ในการปกป้องสิทธิและดูแลสวัสดิภาพของตัวเด็ก โดยที่ผ่านมาได้มีการเลี้ยงดู ได้มีการดำเนินการตามสิทธิที่เด็กคนหนึ่งพึงจะได้รับหรือไม่ ทั้งเรื่องการศึกษา การดูแลสภาพครอบครัว ด้านพัฒนาการ และการเลี้ยงดู ซึ่งหากเป็นไปตามกรณีที่กระทรวง พม. เราดูแลอยู่นั้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไร

นายวราวุธ กล่าวว่า ส่วนในกรณีที่หลายคนมีความเป็นห่วงว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการหลอกลวงนั้น ตนคิดว่ากระทรวง พม. ยังไม่มีองค์ความรู้มากพอในเรื่องนี้ ที่จะไปตัดสินว่าสิ่งที่ครอบครัวนี้ได้เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนนั้น เป็นเรื่องที่หลอกลวงหรือไม่อย่างไร คงต้องขอให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาพิจารณา ทั้งนี้ เราคำนึงถึงความปลอดภัย เรื่องพัฒนาการ และสิทธิของเด็กและเยาวชน

‘วราวุธ’ ทดลองนั่งวีลแชร์ขึ้นเครื่องบิน เพื่อสัมผัสความรู้สึกของ ‘คนพิการ’ ลั่น!! พร้อมเสริม อารยสถาปัตย์ วอนผู้โดยสารทั่วไป ‘เข้าใจ-เห็นใจ’ เพื่อนร่วมทาง

(26 พ.ค.67) ที่จ.ร้อยเอ็ด นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ทดลองนั่งรถวีลแชร์เพื่อทำความเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกอย่างแท้จริงของคนพิการที่ใช้บริการสายการบินและสนามบิน พร้อมได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มคนพิการจังหวัดร้อยเอ็ดที่สนามบินจังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งนี้กลุ่มคนพิการฯ ได้เสนอแนะขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพิ่มอารยสถาปัตย์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการภายในสนามบิน อาทิ ที่จอดรถ และการอำนวยความสะดวกคนพิการที่ใช้รถวีลแชร์ในการใช้บริการสายการบินและสนามบิน 

นายวราวุธ กล่าวว่า ตนมีความเห็นใจคนพิการถึงความยากลำบากในการเดินทาง แต่ขณะเดียวกัน ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ซึ่งการทดลองนั่งรถวีลแชร์ในครั้งนี้เพื่อที่ตนและกระทรวง พม. จะได้หาจุดตรงกลางที่พอรับได้ของทุกฝ่ายระหว่างคนพิการ สายการบิน และสนามบิน จึงได้กำชับนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. และนายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยตนรับฟังทุกข้อเสนอแนะที่กระทรวง พม. จะนำไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในการอำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการในการเดินทางด้วยเครื่องบิน 

นายวราวุธ กล่าวว่า จากการที่ตนเดินทางมาลงพื้นที่นั้น ได้เห็นการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการในส่วนของสายการบินและสนามบินเป็นอย่างไร จึงทำให้ตนอยากรู้ด้วยตัวเองว่าหากเป็นคนพิการมาใช้บริการจะเป็นอย่างไร จึงอยากรู้และเข้าใจถึงการอำนวยความสะดวกที่แท้จริงให้กับคนพิการว่า มีทางลาด มีบันไดขึ้นเครื่องบินอำนวยความสะดวกอย่างไร และที่สำคัญคือหัวใจของคนพิการ เวลาเดินทางนั้น มีความยากลำบาก มีอุปสรรคอย่างไรทำให้อยากรู้ว่า การขึ้นแลมป์ ทางลาดในการขึ้นเครื่องบินจะยากง่ายอย่างไร  ความลาดชันเป็นอย่างไรเพื่อนำมาเป็นกำลังใจให้กับสายการบินและสนามบิน

"ผมมาทดลองในวันนี้ อยากรู้ว่าพี่น้องคนพิการใช้รถวีลแชร์ขึ้นเครื่องบินจะยากลำบากแค่ไหน แต่ขณะเดียวกันเราต้องเข้าใจสายการบินและสนามบินด้วย กระทรวง พม. จะได้ดูว่ามีปัญหาอุปสรรคใดที่เราจะช่วยกันแก้ไข เพื่อให้มาพบเจอกันคนละครึ่งทางและลงตัว และวันนี้ได้ความรู้หลายอย่าง และเราจะกลับไปแก้ปัญหาให้กับพี่น้องคนพิการ ซึ่งจะทำให้สายการบินและสนามบินไม่ลำบาก และผมขอให้ผู้โดยสารคนปกติทั่วไปได้เข้าใจและเห็นใจถึงความยากลำบากของคนพิการที่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าปกติ ในฐานะเพื่อนร่วมทางด้วย" นายวราวุธ กล่าว 

'วราวุธ' ปล่อยคาราวานจิตอาสาเพื่อประชาชน เฉลิมพระเกียรติฯ รุดเยี่ยมกลุ่มเปราะบาง 'เด็ก-ผู้สูงอายุ-คนพิการ-ผู้ด้อยโอกาส'

(19 ก.ค.67) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กทม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม 'คาราวานจิตอาสาพระราชทาน กระทรวง พม.' ภายใต้โครงการ 'พม.ร้อยดวงใจ จิตอาสาเพื่อประชาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567' พร้อมนำกล่าวคำปฏิญาณ ‘เราทำความดีด้วยหัวใจ’

จากนั้นเป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถตู้คาราวานจิตอาสาพระราชทาน นำโดยผู้บริหารกระทรวง พม. ออกปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่ 10 ชุมชนในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเยี่ยมบ้านให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส 

ในขณะที่ ส่วนภูมิภาคทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ มีการจัดกิจกรรม 'คาราวานจิตอาสาพระราชทาน กระทรวง พม.' โดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ภายใต้แนวคิด 'พม.หนึ่งเดียว' ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ศูนย์-สถาน-บ้าน-นิคมฯ รวมทั้งภาคีเครือข่ายด้านสังคมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ประชาชนทั่วไป และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) 

นายวราวุธ กล่าวว่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพระราชทาน โครงการจิตอาสา 904 วปร. ตามแนวพระราชดำริ ‘เราทำความดี ด้วยหัวใจ’ เพื่อมุ่งหวังให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ปรองดองสามัคคี ร่วมมือร่วมใจ ประกอบกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์สุขของชุมชนส่วนรวมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้มีความรักความผูกพันต่อสถาบันหลักของชาติ อันได้แก่ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา  และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการส่งเสริมและสร้างบุคลากรในสังกัดกระทรวง พม. ให้เป็นจิตอาสาพระราชทาน รวมทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 

นายวราวุธ กล่าวว่า กิจกรรม 'คาราวานจิตอาสาพระราชทาน กระทรวง พม.' เกิดขึ้น เพื่อให้บุคลากรที่ได้ผ่านการฝึกอบรมจิตอาสาพระราชทาน 904 และบุคลากรที่ได้ลงทะเบียนเป็นประชาชนจิตอาสาพระราชทาน รวมจำนวน 7,200 คน เข้าร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ เกิดความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของการเป็นจิตอาสาเพื่อประชาชน รวมทั้งเป็นการย้ำเตือนถึงเจตนารมณ์ของกระทรวง พม. ในการปฏิบัติงานด้านการพัฒนาสังคม เพื่อร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคมให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป

นายวราวุธ กล่าวว่า นอกจากนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 กระทรวง พม. มีเป้าหมายในปี 2567 ด้วยการปล่อยขบวนคาราวานจิตอาสาพระราชทาน ลงพื้นที่ชุมชนเพื่อเยี่ยมบ้านให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม รวมจำนวน 1,072 ครัวเรือน ทั่วประเทศ และการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติฯ รวมจำนวน 72,000 ต้นในหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ทั่วประเทศ

‘วราวุธ’ ส่งทีม ศรส.บุรีรัมย์ รุดช่วยยาย 66 ปี ฐานะยากจน ‘ถูกตัดน้ำ-ไฟ’ มอบถุงยังชีพบรรเทาทุกข์เบื้องต้น พร้อมหาแนวทางช่วยระยะยาวต่อไป

(25 ก.ค. 67) น.ส.ซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยว่า ตามที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบนโยบายให้ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เป็นศูนย์กลางในการเร่งรัดจัดการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม พร้อมส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 

กรณีสื่อโซเชียลมีเดียมีการลงข่าวคุณยายประกาศขายตู้เย็น เอาเงินไปจ่ายค่าไฟ 95 บาท ครอบครัวมีฐานะยากจน เลี้ยงหลาน 2 คน ที่ จ.บุรีรัมย์ จึงได้ส่งทีม ศรส. จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอำเภอละหานทราย เทศบาลตำบลละหานทราย และหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ พบว่า ผู้ประสบปัญหาชื่อ นางแพง อายุ 66 ปี บ้านอยู่ใน ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้ให้คนในหมู่บ้านช่วยประกาศขายตู้เย็นในราคา 1,000 บาท เพื่อต้องการนำเงินมาจ่ายค่าไฟ 95 บาท ค่าน้ำ 75 บาท ที่ถูกตัดน้ำ-ไฟ ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนางแพง มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และสานไม้กวาดขาย ได้รับเบี้ยยังชีพสูงอายุเดือนละ 600 บาท และเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดของหลาน 2 คน โดยจะฝากบัตรเอทีเอ็มให้เพื่อนบ้านไปกดเงินมาให้ทุกเดือน ซึ่งรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ประกอบกับมีสุขภาพไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย และเป็นโรคความดันโลหิตสูง รักษาตัวและรับยาเป็นประจำที่ รพ.ละหานทราย ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่อาศัยกับอดีตลูกสะใภ้ เนื่องจากบ้านตนเองมีสภาพผุพัง และมีหลานต้องดูแลอีก 2 คน ซึ่งหลานชายอายุ 3 ปี หลานสาวอายุ 4 ปี เป็นลูกของลูกชาย ส่วนลูกชายถูกดำเนินคดีและหลบหนีคดีอยู่ในขณะนี้ และลูกสาวมีครอบครัวไม่เคยกลับมาดูแล 

โดย น.ส.ซาราห์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือในเบื้องต้น ทีม ศรส.จังหวัดบุรีรัมย์ และทีมสหวิชาชีพ ได้แนะนำการเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมสำหรับหลานทั้ง 2 คน และมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมพิจารณาช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ครอบครัว ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากกรรมการเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงิน พร้อมพูดคุยถึงแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม สามารถโทรแจ้งได้ที่ ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่านฮอตไลน์ 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

‘วราวุธ’ ประสานทุกหน่วยงานเร่งจัดระเบียบ ‘ขอทาน’ พร้อมปรับปรุงกฎหมายเพื่อควบคุม ก่อนจ่อชงเข้าครม.

(6 ส.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงสถานการณ์และการป้องกันแก้ไขปัญหาการขอทาน ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติสถานการณ์การขอทานทั่วประเทศ จากระบบฐานข้อมูลจัดระเบียบคนขอทาน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557 - 31 กรกฎาคม 2567 พบว่า มีผู้ทำการขอทานทั้งสิ้น 7,635 ราย เป็นคนไทย 5,001 ราย (ร้อยละ 65) เป็นต่างด้าว 2,634 ราย (ร้อยละ 35) และในเฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พบว่ามีผู้ทำการขอทาน ทั้งสิ้น 506 ราย แบ่งเป็นคนไทย 331 ราย และต่างด้าว 175 ราย พื้นที่ที่พบผู้ทำการขอทานส่วนใหญ่มีลักษณะกระจุกตัวในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ และแหล่งท่องเที่ยว ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา และเชียงใหม่ และในปีงบประมาณ 2567 ยังพบขอทานมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต และลพบุรี

นายวราวุธ กล่าวว่า สาเหตุของการทำการขอทานนั้น ประกอบด้วย 1) ข้อจำกัดด้านร่างกาย / จิตใจ เกิดจากความพิการทางร่างกายหรือความบกพร่องทางสติปัญญา 2) ปัจจัยด้านการศึกษา ขาดโอกาสในการศึกษาที่จะไปประกอบอาชีพที่มั่นคง 3) อิทธิพลความเชื่อ การให้เงินขอทานเป็นการทำบุญ และ 4) ค่านิยมของชุมชนและแรงจูงใจว่าทำรายได้ดีโดยไม่ต้องลงทุน

ทั้งนี้กระทรวง พม. ได้ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขอทาน โดยการดำเนินการแก้ไขปัญหาการขอทาน กระทรวง พม. มีหน้าที่ในการคัดกรอง คุ้มครอง และส่งต่อ ดังนั้น การดำเนินการจึงเป็นการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ และองค์กร NGOs โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการป้องกัน และการควบคุม โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ ได้แก่ เทศกิจ ตำรวจ ตำรวจ ตม. ตำรวจ ปคม. เทศบาลนคร/เมืองพัทยา 31 แห่ง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ องค์การเฟรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มูลนิธิเอ - ทเวนตี้วัน (A-21) มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และสถาบันการศึกษา ซึ่งในการลงพื้นที่จัดระเบียบขอทาน กระทรวง พม. จะประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงพื้นที่จัดระเบียบขอทาน หากพบขอทานผิดกฎหมาย นอกจากนี้ มีแผนอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ ประกอบด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่จาก พม. เทศกิจ อปท. และการพัฒนาหลักสูตรการอบรมให้กับตำรวจและฝ่ายปกครอง ถอดบทเรียนการดำเนินงานจังหวัดที่ไม่พบผู้ทำการขอทาน ต่อเนื่อง 3 ปี จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก เพชรบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี สตูล ลำปาง นครพนม น่าน และพังงา ซึ่งการจัดประชุมและทำแผนบูรณาการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดที่มีผู้ทำการขอทานเพิ่มขึ้น จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ระยอง ภูเก็ต ลพบุรี กำแพงเพชร และนครปฐม

นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับแผนการจัดระเบียบผู้ทำการขอทานนั้น การดำเนินการเชิญตัวผู้ทำการขอทาน ถือเป็น ‘การควบคุมตัว’ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ต้องมีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวขณะเชิญตัวจนถึงการส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวน จึงต้องมีตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงด้วยทุกครั้ง ดังนั้น ในการจัดระเบียบขอทานจึงต้องมีการจัดทำแผนการลงพื้นที่ โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เดือนสิงหาคม 2567 มีแผนจัดระเบียบในพื้นที่สำคัญ จำนวน 12 ครั้ง สำหรับในต่างจังหวัดมีแผนบูรณาการลงพื้นที่เดือนละอย่างน้อย 2 ครั้ง และในงานเทศกาลสำคัญ ตลอดจนเมื่อมีการรับแจ้งจากสายด่วน 1300 จะดำเนินการประสานตำรวจเพื่อลงพื้นที่ร่วมกัน  

“นอกจากนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จะมีการรณรงค์สร้างความเข้าใจและสื่อสารมวลชน ในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ณ หอศิลป์ กรุงเทพมหานคร จะมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับสังคม ภายใต้ธีม ‘ให้โอกาสเปลี่ยนชีวิต หยุดคิดก่อนให้ทาน’ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ภายในงานมีวีดิทัศน์ประชาสัมพันธ์ สร้างการตระหนักรู้ด้านกฎหมาย เดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์ พร้อมแจก พัดโดยมีข้อความ ‘หยุดให้ = หยุดขอทาน’ 5 ภาษา และจัดระเบียบขอทานทั่วประเทศ” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. มีแนวทางในการพัฒนามาตรการกลไกในการควบคุม คุ้มครอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ทำการขอทาน โดยในส่วนของผู้ทำการขอทานไทย จะทบทวนแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ทำการขอทาน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ทำการขอทานรายบุคคลร่วมกับครอบครัวและชุมชน ส่งเสริมธุรกิจและเครือข่าย CSR ให้เข้ามามีส่วนร่วม และสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน และในส่วนของผู้ทำการขอทานต่างด้าวนั้น กระทรวง พม. จะบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน พม. และ ตม. เพื่อให้เห็นจำนวนครั้งของการขอทานซ้ำ และเสนอให้ ตม. ทบทวนขั้นตอนการส่งผู้ทำการขอทานต่างด้าวกลับประเทศ หารือกับกระทรวงการต่างประเทศ หรือสถานทูตกัมพูชา ในการสร้างความร่วมมือร่วมกัน นอกจากนี้ การคุ้มครองเด็กที่ติดตามผู้ทำการขอทานนั้น เสนอให้มีการทบทวนระเบียบที่เกี่ยวกับสถานที่พักพิงระหว่างรอผลตรวจสารพันธุกรรม (DNA) และที่สำคัญ คือการพัฒนาพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยให้มีการจัดทำหลักสูตรการอบรมตามกฎหมายเฉพาะให้กับตำรวจและฝ่ายปกครอง และเพิ่มเติมตำแหน่งพนักงานเจ้าหน้าที่ในประกาศกระทรวง

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีแนวทางในการทบทวนและปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 ได้แก่ 1.ประชุมคณะอนุกรรมการและปรับปรุงกฎหมาย เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อพิจารณา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ 2.พิจารณาปรับแก้ นิยามผู้ทำการขอทาน การกำหนดอัตราโทษสำหรับผู้ทำการขอทานและผู้แสวงหาประโยชน์จากผู้ทำการขอทาน การคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิต การกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ การเพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการควบคุมการขอทาน 3.การแยกผู้แสดงความสามารถออกจากผู้ทำการขอทาน (แยกกฎหมาย/แยกหมวดจากกฎหมายเดิม) กำหนดนิยาม และกำหนดอำนาจหน้าที่ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4.เสนอ (ร่าง) กฎหมายให้คณะกรรมการควบคุมการขอทานพิจารณา คาดว่ายกร่างได้ภายใน 6 เดือน 5.รับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุง (ร่าง) พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน ที่แก้ไข/ฉบับใหม่ 6.การพัฒนาร่างกฎหมาย 7.เสนอ ครม.

ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาขอทานและคนไร้บ้าน นับเป็น 1 ในยุทธศาสตร์ 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร ในมาตรการที่ 5 สร้างระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อความมั่นคงของครอบครัว นั่นคือการพัฒนาระบบสวัสดิการที่เหมาะสมและทั่วถึงโดยรัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเป็นหลักประกันในยามที่เผชิญกับวิกฤต ชุมชนน่าอยู่สำหรับประชากรทุกกลุ่มทุกวัย ‘ปลอดภัย ปลอดพิษ เป็นมิตรและเอื้ออาทรต่อทุกคน’ ซึ่งคนไทยทุกคนจะต้องมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และปลอดจากผู้ทำการขอทาน

'วราวุธ' เผย พม. จัดงาน วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2568 

เมื่อวันที่ (8 เม.ย.68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า จากที่กำหนดวันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็น 'วันผู้สูงอายุแห่งชาติ' เพื่อให้ประชาชนและสังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญผู้สูงอายุที่ทรงคุณค่า อันเป็นองค์ความรู้และภูมิปัญญาของประเทศ อีกทั้ง กำหนดให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปีเป็น 'วันแห่งครอบครัว' เพื่อให้ประชาชนและสังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของสถาบันครอบครัวที่อบอุ่นและเข้มแข็งในการหล่อหลอมประชากรที่มีคุณภาพของประเทศ 

ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้กำหนดจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2568 โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ภายใต้แนวคิด 'คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยพลังครอบครัว' ในวันที่ 10 เมษายน 2568 ที่ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ 

นายวราวุธ กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย 1. การกล่าวสารนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เนื่องในโอกาส 'วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว' ประจำปี 2568 2. พิธีถวายรางวัลผู้สูงอายุแห่งชาติ พุทธศักราช 2568 แด่สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.8) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร 3. พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่บุคคล ครอบครัว หน่วยงานองค์กร และสื่อดีเด่นด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุและครอบครัว 4. บูธนิทรรศการที่น่าสนใจ อาทิ ประวัติผู้สูงอายุแห่งชาติ พุทธศักราช 2568 นโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร กระทรวง พม. ผลงานของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และหน่วยงานภาคีเครือข่าย อาทิ กรมกิจการผู้สูงอายุ , กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว , OPPY (โอพีพีวาย) สังคมอายุยืน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ และกองทุนการออมแห่งชาติ และ 5. บูธแสดงการสาธิตและผลิตภัณฑ์สินค้าจากศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่ง และศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวทั่วประเทศ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top