Wednesday, 9 July 2025
ลักทรัพย์

สตม.บุกรวบสองหนุ่มแดนปลาดิบ ก่อเหตุลักทรัพย์ อยู่เกินอนุญาต พ่วงประวัติอาชญากรรมเพียบ

บก.ตม.1 จับกุม นายมาซาโอะ (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ในความผิดฐาน ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และจับกุม นายซูซูกิ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ในความผิดฐาน เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ดำเนินคดีตามกฏหมาย

สืบเนื่องจาก บก.ตม.1 ได้สืบสวนหาข่าวกรณีบุคคลต่างด้าวที่มีพฤติกรรมเป็นภัยสังคม มีประวัติการก่ออาชญากรรม หรือมีส่วนพัวพันกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จนกระทั่งทราบจากสายลับว่ามีกลุ่มชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรืออาชญากรรมประเภทอื่นๆ โดยมักจะเช่าบ้านอยู่รวมกันหลายๆ คน และเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ ใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะที่จดทะเบียนในชื่อของบุคคลอื่น จึงได้ให้สายลับหาข้อมูลจนกระทั่งพบว่า กลุ่มดังกล่าวนี้ไปพักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านหรูย่านพัฒนาการ โดยมีสมาชิก 4-5 คนผลัดเปลี่ยนกันเข้าๆออกในบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนหาข่าวเรื่อยมาจนทราบชื่อสมาชิกรายหนึ่งของกลุ่ม ได้แก่ นายมาซาโอะ เนื่องจากชุดสืบสวนได้ทราบข้อมูลจากสายลับว่า เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมานายมาซาโอะได้ยึดโทรศัพท์ของแม่บ้านรายหนึ่งไว้ เนื่องจากไปพบคลิปวิดิโอและภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานการกระทำความผิดของตนในบ้านหลังดังกล่าวหลายภาพ ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายมาซาโอะในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จนกระทั่งพนักงานสอบสวน สน. คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนงขออนุมัติหมายจับนายมาซาโอะ 

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ตม.1 ได้นำกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านดังกล่าวจนได้ข้อมูลว่ามีบุคคลต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่น มีตำหนิรูปพรรณตรงตามหมายจับ กำลังเล่นกับสุนัขอยู่ที่สวนหน้าบ้านหลังหนึ่ง จึงนำกำลังไปแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และได้แสดงสำเนาหมายจับให้ดู ผู้ถูกจับยืนยันว่าตนเองคือนายมาซาโอะ ตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทางพบว่า นายมาซาโอะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อ 22 พ.ย. 66 ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยวีซ่าประเภท ผ.30 อนุญาตถึง 21 ธ.ค. 66 การอนุญาตยังไม่สิ้นสุด และยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาและแจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบ นอกจากนี้ในบริเวณที่เกิดเหตุยังพบนาย ซูซูกิ (นามสมมติ) สัญชาติญี่ปุ่น อายุ 24 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อ 6 ต.ค. 66 ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยวีซ่าประเภท ผ.30 ครบกำหนดอนุญาต 4 พ.ย. 66 การอนุญาตสิ้นสุดแล้ว 24 วัน จึงได้จับกุม โดยกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

จากการประสานข้อมูลกับทางการญี่ปุ่น ทำให้ได้ทราบข้อมูลเชิงลึกว่า นายมาซาโอะ มีประวัติเกี่ยวพันคดีอาญาถึง 18 คดี เช่น คดียาเสพติด คดีทำร้ายร่างกาย และคดีอุกฉกรรจ์อื่นๆ โดยเป็นอดีตสมาชิกแก๊งองค์กรอาชญากรรมที่มีความเชื่อมโยงกับอดีตแก๊งยากูซ่า ส่วนนายซูซูกิผู้ถูกจับรายที่ 2 นั้นก็มีประวัติเกี่ยวพันคดีปล้นทรัพย์  โดยใช้กำลังประทุษร้ายที่ญี่ปุ่น จำนวนถึง 3 คดี สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สงขลา-ผบช.สตม.แถลง 2 คดีสำคัญ ทั้งรวบหัวหน้าแก๊งโคลอมเบียที่ก่อเหตุลักทรัพย์บ้านของนักธุรกิจที่มาเลเซีย ได้ทรัพย์สินไปรวมกว่า 70 ล้านบาท

อีกคดีจับหนุ่มอิตาลีลักลอบค้าโคเคนให้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสายปาร์ตี้บนเกาะสมุย และยังเปิดธุรกิจให้เช่ารถจักรยานยนต์บังหน้าโดยใช้นอมินีชาวไทย เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ 18 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมคริสตัล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 , พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผู้แทน ผกก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลกรปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจเข้าเมือง 2 คดีสำคัญในรอบเดือนนี้ โดยคดีแรกทาง ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายโลเปซ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ชาวกัวเตมาลา ได้ที่บริเวณหน้าล็อบบี้ทางเข้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ซึ่งหลบหนีเขาเมืองโดยผิดกฎหมาย

และยังได้รับการประสานจากตำรวจมาเลเซียว่า ชายคนนี้เป็นหัวหน้าแก๊งคนร้ายอเมริกาใต้ที่ก่อเหตุร่วมกันลักทรัพย์ที่บ้านพักนักธุรกิจคนหนึ่งกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ทรัพย์สินของมีค่าไปรวมมูลค่าหลายรายการรวมกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งทั้งแก๊งมี 8 คน และตำรวจมาเลเซียคชติดตามจับกุมไปได้แล้ว 7 คน เหลือแค่เพียงหัวโจกรายนี้ และคาดว่า น่าจะหลบหนีมาตามช่องทางธรรมชาติผ่านข้ามแดนมายังประเทศไทย เพื่อที่จะหลบหนีไปยังเพื่อนบ้าน ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวน และเฝ้าติดตามจนกระทั่งทราบว่า ได้หลบหนีเข้ามายังอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และหารถเช่าเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ จึงเข้ารวบตัวได้ในที่สุด
ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่า แท้จริงแล้ว นายโลเปซ เป็นชื่อปลอม โดยชื่อจริงคือ นายมิเกล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นชาวโคลอมเบีย และจากการตรวจค้นในห้องพักโรงแรมหรูพบของกลางทั้งสร้อยคอ กำไล แหวน และเครื่องประดับรวม 6 ชิ้น ซึ่งคาดว่า เป็นของที่ได้ขโมยมา จึงยึดเอาไว้ และแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยสอบสวนเบื้องต้น นายมิเกล ไม่ได้ให้การอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ จึงคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดี รวมทั้งขยายผลไปยังเครือข่ายผู้นำพาข้ามแดน และเมื่อคดีสิ้นสุดจะกักตัวไว้ เพื่อรอดำเนินการตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังพบว่า นายมิเกล เคยร่วมกับพวกสัญชาติเดียวกันก่อเหตุเช่ารถตระเวนลักทรัพย์ที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกข้อมูลประวัติไว้ในบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของ สตม. ด้วย ส่วนอีกคดีเป็นปฏิบัติการสยบนักค้ายาต่างชาติในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งมีการลักลอบค้าโคเคน และตั้งนอมินีธุรกิจเช่ารถบังหน้ามาหลายปี โดยเจ้าหน้าที่ ตม.สุราษฏร์ธานี ได้จับกุมตัวชายชายต่างชาติคือ นายแมตติโอ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ชาวอิตาลี ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน)

หลังได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีชาวต่างชาติลักลอบขายยาเสพติดให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยกัน โดยเฉพาะสายปาร์ตี้ ที่เดินทางมรท่องเที่ยวที่เกาะสมุย จึงส่งสายลับชาวต่างชาติสืบหาข้อมูลจนรู้ตัว และวางแผนล่อซื้อ โดยให้สายลับทำทีสั่งโคเคนจำนวน 25 กรัม ราคากรัมละ 2,500 บาท เป็นเงินจำนวน 62,500 บาท ก่อนที่ นายแมตติโอ จะขับรถจักรยานยนต์มาส่งยาให้ที่บริเวณบาร์แห่งหนึ่ง ถนนเลียบหาดละไม ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่จึงรวบตัวเอาไว้ได้และคุมตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักที่บ้านพักเลขที่ 105/23 ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ซึ่งพบว่า ได้เปิดเป็นร้านธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ โดยไม่พบยาเสพติดเพิ่มเติม แต่พบรถจักรยานยนต์สำหรับให้เช่าจำนวนมากว่า 70 คัน รวมทั้งสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ 8 เล่ม วงเงินหมุนเวียนรวมกว่า 8 ล้านบาท และพบเงินสดเกือบ 1.1 ล้านบาท จึงได้ทำการยึด และอายัดทรัพย์สินนำส่ง สำนักงาน ป.ป.ส.ภ.8 เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ และมีรถให้เช่ากว่า 70 คัน แท้จริงแล้วมีนอมินีเป็นสาวชาวไทย คือ น.ส.วาสนา (ขอสงวนนามสกุล) โดยสาวชาวไทยถือหุ้นในสัดส่วน 51 เปอร์เซ็น ส่วน นายแมตติโอ ถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งคู่เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายให้สามารถประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรตามเงื่อนไขของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งเงินที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมด และผลกำไร เป็นของ นายแมตติโอ แต่เพียงผู้เดียว เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วาสนา ในฐานความผิดเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินคดีกับนายแมตติโอ เพิ่มเติมในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อให้ตนประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ตามมาตรา 36 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ สตม. ให้ข้อมูลว่า จากพฤติการณ์ดังกล่าว นายแมตติโอ ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร และเปิดกิจการเช่ารถมอเตอร์ไซด์บังหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ และแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า ตนเองมีกิจการเป็นที่มั่นคง เพื่อปิดบังอำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการขายยาเสพติด ซึ่งจากการสอบถาม นายแมตติโอ ให้ข้อมูลว่า ได้ติดต่อขอซื้อยาเสพติดมาจากกลุ่มคนต่างชาติด้วยกัน แล้วนำมาแบ่งขาย หรือที่ภาษาในหมู่นักขายยาใช้คำว่า “จอยส์” โดยขายให้กับคนต่างชาติตามสถานที่ท่องเที่ยวในยามค่ำคืน และได้ให้ข้อมูลกลุ่มคนต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปสู่ต้นทางของยาเสพติดที่ระบาดในหมู่นักท่องเที่ยวต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ตำรวจพัทยาเจ๋ง “ผบช.ภ.2” ชมปิดจ๊อบไว รวบ 2 อดีตช่าง คิดสั้นเป็นโจร ตระเวนลักทรัพย์พูลวิลล่า 12 วัน ก่อ 5 คดี สุดท้ายหนีไม่รอด

(19 พ.ค. 68) ผบช.ภ.2 ชื่นชม “ตำรวจพัทยา” ปิดจ๊อบไว สร้างความเชื่อมั่น สืบพัทยาปิดฉาก 2 โจรแสบอดีตช่างตกแต่งต่อเติม ตระเวนย่องเบา 12 วัน ก่อ 5 คดี ลักทรัพย์บ้านพูลวิลล่านักท่องเที่ยวกลางดึก รวบได้คาบ้านเช่า ยึดของกลางอื้อกว่า 100 รายการ สารภาพหาเงินใช้หนี้ เสพยา สุดท้ายไม่รอด

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เปิดเผยว่า ชื่นชมตำรวจ สภ.พัทยา ที่ปิดจ๊อบคดีคนร้ายตระเวนลักทรัพย์นักท่องเที่ยวในบ้านพักแบบพูลวิลล่าได้อย่างรวดเร็ว สืบสวนเกาะติดจนจับกุมคนร้ายได้พร้อมของกลาง สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว 

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เผยว่า เมื่อเวลา 01.06 น. วันนี้ (19 พฤษภาคม 2568) พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.อรุษ สภานนท์ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองพัทยา พร้อมกำลังชุดสืบสวน เข้าจับกุม นายอธิป หรือ “อาร์ม” อายุ 31 ปี และนายกุน อายุ 22 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยเขามะกอก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมของกลางนับร้อยรายการ ทั้งเงินสด ของแบรนด์เนม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ โดยการจับกุมครั้งนี้เนื่องนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เข้าแจ้งความว่าถูกลักทรัพย์ขณะเข้าพักบ้านพักแบบพูลวิลล่าในพื้นที่พัทยา โดยเกิดเหตุต่อเนื่อง 5 ครั้งในบ้านพัก 5 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 5 -17 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายสืบสวน สภ.เมืองพัทยา จึงเร่งสืบสวน ตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนพบชายต้องสงสัย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์วนเวียนในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุซ้ำ ๆ ตามแกะรอยจนจับกุมได้พร้อมของกลางจำนวนมาก

ผบช.ภ.2 เผยด้วยว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสองรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง รับว่าเคยทำงานเป็นช่างต่อเติมบ้านพักพูลวิลล่าหลายแห่งจึงรู้ทางเข้าออก ซอกมุมลับ และจุดอ่อนของบ้านแต่ละหลังอย่างดี ก่อนเฝ้าดูบ้านที่มีนักท่องเที่ยวเข้าพัก รอจังหวะที่เหยื่อดื่มหนักจนเมาหลับ ก็ย่องเข้ากวาดทรัพย์สินหลบหนี ของกลางที่ยึดมาได้ ประกอบด้วยนาฬิกาแบรนด์หรู กระเป๋าแบรนด์เนมโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเกม บัตรต่าง ๆ รวมถึงเงินสดทั้งสกุลบาทและต่างประเทศ กว่า 100 รายการ โดยผู้ต้องหาอ้างว่าทรัพย์สินที่ลักมาแบ่งกันนำไปขายใช้หนี้ และซื้อยาเสพติดบางส่วนแล้ว จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น” พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนของกลางจะเปิดให้ผู้เสียหายนำหลักฐานมาติดต่อขอรับคืนต่อไป

“ขอชื่นชมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกนาย โดยเฉพาะทีมสืบสวน ที่ใช้ทั้งความสามารถ ความมุ่งมั่น และความอดทน แกะรอยคนร้ายจนสามารถจับกุมตัวได้ครบทีมพร้อมของกลาง ถือเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริงนี่คือภาพของตำรวจมืออาชีพ ที่ไม่ยอมปล่อยให้คนร้ายลอยนวล ทุกคดีต้องมีคำตอบ ความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อน เพราะ “ทุกความปลอดภัยของประชาชน คือความสำเร็จของตำรวจ” การป้องกันเหตุได้ เมื่อเกิดเหตุจับกุมคนร้ายได้ เป็นความภาคภูมิใจของตำรวจ ขอให้รักษามาตรฐานแห่งความเป็นตำรวจไทย โดยเฉพาะพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก หน้าที่ของตำรวจต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ” ผบช.ภ.2  

พล.ต.ท.ยิ่งยศ ฝากเตือนผู้ประกอบการบ้านพักพูลวิลล่า และนักท่องเที่ยวทุกคน ว่า ให้เพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบระบบล็อก ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้น และช่วยเหลือการสืบสวนในภายหลัง  และหากมีเหตุด่วนเหตุร้ายให้โทรแจ้งตำรวจที่เบอร์ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมเข้าไปดูแล 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top