Tuesday, 22 April 2025
ลดหย่อนภาษี

คนมีรายรับต้องรู้!! ลดหย่อนภาษีปี 2565 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้าง? มีเงื่อนไข่อย่างไร?

คนมีรายรับต้องรู้!!  ลดหย่อนภาษีปี 2565 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้าง? มีเงื่อนไขอย่างไร?

‘กรณ์’ เคลียร์ชัด!! ‘เงินเดือน 4 หมื่นบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี’ ชี้!! ช่วยลดหย่อนสูงสุด 4.8 แสนต่อปี ผู้เสียภาษีเป็นปลื้ม!!

เมื่อไม่นานมานี้ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรึ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ฟังหูไว้หู ทางช่อง 9 MCOT HD ดำเนินรายการโดย ชุติมา พึ่งความสุข และอาจารย์วีระ ธีรภัทร ในหัวข้อ ‘The Special: คุยกับ ชาติพัฒนากล้า’ ในบางช่วงบางตอนได้พูดถึงนโยบายเงินเดือน 4 หมื่นบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี โดยนายกรณ์ระบุว่า..

หากคุณมีเงินเดือน 6 หมื่นบาท ถามว่าคุณได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ไหม คำตอบคือ ได้!! เพราะว่าผมเขียนว่า 4 หมื่นบาทแรกไม่ต้องเสียภาษี นี่คือความหมายที่ต้องการจะสื่อนะครับ และก็เป็นแบบนี้ในทุก ๆ เดือน ไม่ใช่เอาเงินทั้งหมด 12 เดือนมารวมกัน แล้วคิดแค่ 4 หมื่นบาทแรกนะครับ แต่ต้องคิดแบบนี้ครับ เอาเงินเดือนในทุกเดือน ๆ มาคูณ 12 และหักลบค่าใช่จ่าย ลดหย่อนต่าง ๆ และหัก 480,000 ออกไป แล้วเหลือเท่าไหร่ค่อยมาเอามาคำนวณภาษี

“ก่อนหน้านี้ เกณฑ์การเสียภาษีอยู่ที่ 26,000 บาท ซึ่งมันนานมาแล้ว และค่าครองชีพทุกวันนี้ก็สูงขึ้น เท่ากับว่า 40,000 บาทในวันนี้ ก็คือ 26,000 เมื่อวันนู่นนั่นแหละ” นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ผมเจอคำถามที่ว่า แบบนี้รัฐไหวเหรอ? ในแง่ของรายได้จากภาษีมันลดลงจริง ๆ แต่ลดลงแค่นิดเดียว พอเราบอกว่า 4 หมื่นบาทแรกไม่ต้องเสียภาษี ทุกคนที่มีเงินเดือนได้ประโยชน์หมด หรือจำนวนกว่า 4 ล้านคน แต่สมมติว่ามีเงินเดือนเกิน 4 หมื่นบาท ก็จะได้ประโยชน์ 7,500 ต่อเดือน แต่หากคิดเป็นสัดส่วนของรายได้ กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยเขาจะประหยัดมากกว่า แต่โดยรวมทั้งหมดจะทำให้รายได้จากภาษีส่วนบุคคลของรัฐลดลงปีละ 2.1 หมื่นล้าน ชาติพัฒนากล้าคำนวณมาเรียบร้อยแล้ว เทียบกับรายได้ปกติประมาณ 1.5 หมื่นล้าน ก็ถือว่าลดลงไม่เยอะ 

นอกจากนี้นายกรณ์ยังกล่าวถึงสาเหตุที่คิดนโยบายนี้ในช่วงเวลานี้อีกว่า…มีเหตุผลอยู่ 3 ประเด็น 

1.ค่าครองชีพที่สูงขึ้น กลุ่มคนมีเงินเดือนคือกลุ่มที่เสียภาษีตลอด และหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบกรับภาระมาเยอะ 

2. ลดภาษีนิติบุคคลมา 10 กว่าปีแล้ว จาก 30% ลดลงมาเหลือ 20% ถ้าไปดูกันจริง ๆ มันมีสิ่งที่เรียกว่า ลักลั่นอยู่ ก็เลยเป็นสาเหตุให้คนที่มีรายได้สูง เช่น หมอ นักแสดง เขาไปตั้งบริษัท และรับรายได้ผ่านบริษัท เพราะบริษัทจ่ายภาษีน้อยกว่าภาษีบุคคล

และ 3. ปีนี้ สำนักงบฯ ประเมินแล้วว่า เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 หมื่นล้าน จึงมองว่านี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มทำนโยบายนี้

‘คลัง’ เตรียมปล่อยแพ็กเกจอุดหนุน ESG ลงทุนเพื่อ ‘สิ่งแวดล้อม’ ลดหย่อนภาษีได้

(9 ม.ค. 67) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) รวมถึงการดำเนินการตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์การลงทุนของโลกเนื่องจากธุรกิจที่มี ESG ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขัน และศักยภาพของการเติบโตในระยะยาว

ปัจจุบันมีมาตรการหลากหลายในการส่งเสริม และจูงใจที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืนซึ่งในส่วนของกระทรวงการคลังนั้นจะพิจารณามาตรการภาษีคาร์บอนเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในธุรกิจสีเขียวใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดมากขึ้น

ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการชำระภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลสำหรับการสนับสนุนด้าน ESG ด้วย นอกจากนี้ยังมีมาตรการสินเชื่อธุรกิจสีเขียวดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจสีเขียวหรือการติดตั้งแผงโซลาร์ตามบ้านเรือนซึ่งสถาบันการเงินของรัฐได้ดำเนินการไปแล้ว

“มาตรการใดพร้อมก็จะเดินหน้าไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอให้ออกมาเป็นแพ็กเกจเพราะหากรออาจใช้เวลาในการดำเนินการ และไม่ทันต่อสถานการณ์ได้”

ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ในปีนี้กรมฯ มีแผนที่จะผลักดันมาตรการทางภาษีเพื่อดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมใน 4 รายการประกอบด้วย 

1.มาตรการสนับสนุนการผลิตและใช้แบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และรวมถึงแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่นโซลาร์เซลล์

2.มาตรการภาษีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 

3.มาตรการสนับสนุนการผลิตไบโอพลาสติก 

และ 4.มาตรการภาษีเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุโดยกรมฯ อยู่ระหว่างการศึกษา และเร่งหาข้อสรุปเพื่อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาต่อไป

สำหรับมาตรการสนับสนุนการผลิต และใช้แบตเตอรี่ BEV จะผูกกับเงื่อนไขกับการมีระบบรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต

ในปีที่ 2566 ยอดการจดทะเบียนรถ BEV สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 700% และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าการใช้รถ BEV จะสูงขึ้นกว่านี้ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการกำจัดซากแบตเตอรี่ในอนาคตด้วย ทั้งนี้กรมฯ จะได้วางระบบ Track and Test เพื่อติดตามแบตเตอรี่ลูกนั้น ๆ ว่าปัจจุบันอยู่ที่ไหนด้วย

ทั้งนี้หลักคิดในการจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่คือ ปัจจุบันกรมสรรพสามิตเก็บภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่ในอัตรา 8% แต่หากมีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วหรือเป็นแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพการให้พลังงานได้สูง และมีน้ำหนักเบา เป็นต้น อัตราภาษีที่กรมฯ จะคิดนั้นก็จะต่ำลงโดยอาจกำหนดอัตราภาษีเป็นหลายอัตราตามประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ เช่น 1%, 3%, 5% และ 8%

ขณะเดียวกันกรมฯ อาจต้องทบทวนเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับแบตเตอรี่ที่ผูกติดกับเงื่อนไขที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีแผนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ขายออกไปด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าแนวทางนี้มีความยุ่งยากเพราะเมื่อกรมฯ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แก่ผู้ประกอบการไปแล้วจะต้องติดตามไปตลอดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลูกนั้นซึ่งอาจนานถึง 20 ปีหากผู้ประกอบการไม่ได้รีไซเคิลตามที่ตกลงกรมฯ จะต้องเรียกสิทธิประโยชน์ทางภาษีคืน และต้องมีค่าปรับทางภาษีด้วย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นผู้ประกอบการรายดังกล่าวอาจเลิกกิจการไปแล้วก็ได้ การติดตามทวงภาษีคืนก็อาจทำไม่ได้

“กรมฯ จะต้องทบทวนระบบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผูกกับการรีไซเคิลซึ่งมีหลายรูปแบบโดยในบางประเทศใช้ระบบ Deposit Refund โดยตั้งเป็นกองทุนเพื่อการนี้ซึ่งเมื่อมีการนำซากแบตเตอรี่ มาคืนกองทุนนี้ก็จะจ่ายเงินให้จำนวนหนึ่งสำหรับแนวทางหนึ่งที่กรมฯ กำลังพิจารณาคือ การมอบให้คนกลางหรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านรีไซเคิลแบตเตอรี่มาทำหน้าที่รีไซเคิลแทนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นต้น”

ส่วนมาตรการภาษีคาร์บอนนั้นหลักคิดคือ นอกเหนือจากมีเป้าหมายจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศแล้วยังเพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) แต่ต้องไม่เป็นภาระต่อประชาชนผู้ใช้สินค้า และบริการ

‘สภาพัฒน์’ เผย!! คนไทย ถูกหลอกทำบุญออนไลน์ มีผู้เสียหายกว่า 2.65 ล้านคน มูลค่า!! พุ่งทะลุ 2.3 พันล้านบาท ‘Gen Z – Gen Y’ ถูกหลอกง่ายที่สุด

(1 ธ.ค. 67) สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการช่วยเหลือ คนไทยส่วนใหญ่มีจิตใจดี ชอบทำบุญ ในปัจจุบันมีการเชิญชวนทำบุญหรือบริจาคเงินช่วยเหลือผ่านช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งคนจำนวนมากได้เข้าไปร่วมทำบุญผ่านวิธีนี้เนื่องจากมีความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปสถานที่จริงก็สามารถโอนเงินไปร่วมทำบุญได้ อย่างไรก็ตามก็เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการหลอกลวงและฉ้อโกง นอกจากได้เงินไปแล้วยังมีการออกใบอนุโมทนาบัตรปลอมอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีคนที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงเป็นจำนวนมาก

ข้อมูลจากการแถลงข่าวภาวะสังคมไตรมาสที่ 3/2567 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่าหนึ่งในสถานการณ์ทางสังคมที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ต้องให้ความสำคัญคือ ‘การหลอกลวงจากการทำบุญหรือช่วยเหลือทางออนไลน์’  โดยจากผลการสำรวจสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์" ของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) ในปี 2566พบผู้เคยถูกหลอกลวงโดยอาศัยความสงสารหรือความสัมพันธ์จำนวน 2.65 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายจำนวนรวมสูงถึง 2.3 พันล้านบาท

ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งตกเป็นผู้เสียหายถูกหลอกลวงจากการขอรับบริจาคช่วยเหลือหรือการระดมเงินทำการกุศล โดยหากพิจารณาจำแนกตามกลุ่ม Generation จะพบว่า กลุ่ม Gen Z และ Gen Y เป็นกลุ่มที่ถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวอยู่ที่13% และ 10% ตามลำดับ มากกว่ากลุ่ม Gen Xและ Baby Boomer

โดยที่มีรูปแบบการหลอกลวง เช่น การหลอกโอนเงินไถ่ชีวิตโคกระบือ/การช่วยเหลือสัตว์ บาดเจ็บ การแอบอ้างร่วมบริจาคเงินซื้อถังออกซิเจน ใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์อ้างลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ในช่วงวิกฤตต่าง ๆ เช่น สถานการณ์น้ำท่วม ประชาชนจำนวนมากได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่หน่วยงานจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงมีการเปิดร่วมรับบริจาคเงินหรือสิ่งของจำเป็นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยส่งผลให้กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางฉวยโอกาสของมิจฉาชีพ กระทำการหลอกลวงให้โอนเงินช่วยเหลือผ่านการสแกน OR Code หรือบัญชีม้า และการหลอกลวงผู้ประสบภัยโดยมักแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐหลอกลวงให้ผู้ประสบภัยกรอกข้อมูลลงทะเบียนบนเว็บไซต์/ลิงก์ปลอม หรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยา

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบบัญชีธนาคาร เบอร์โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ที่น่าสงสัย ได้ทาง www.checkgon.go.th ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือติดตามมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐจากเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นทางการเท่านั้น

สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti-Fake News Center) ที่มีการเตือนเรื่องทำบุญออนไลน์ ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยระบุว่าหากอยากจะทำบุญออนไลน์ต้องตรวจสอบให้ดี ระวังมิจฉาชีพใช้กลโกงหลอกหลวง โดยสิ่งที่ต้องระวังมีดังนี้

• เช่าวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลังออนไลน์ อาจเจอของปลอม ไม่ตรงปกหรือหลอกให้โอนเงิน แต่ไม่ส่งของให้
• เวียนเทียนออนไลน์ มิจฉาชีพอาจหลอกให้กดลิงก์ติดตั้งแอปฯ รีโมทควบคุมโทรศัพท์ เพื่อดูดเงินจากบัญชี หรือหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปทำเรื่องผิดกฎหมาย
• ทำบุญออนไลน์ มิจฉาชีพอาจหลอกให้โอนเงินทำบุญ ด้วยการให้หมายเลขบัญชีปลอม
• สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ดูดวงออนไลน์ อาจเป็นโจรแฝงตัวหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ รูปถ่าย ภาพโป๊เปลือย ข้อมูลบัตรประชาชน เลขบัตรเครดิต ฯลฯ
• ใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์ อ้างลดหย่อนภาษี อาจเป็นโจรสวมรอยหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ก่อนคลิก ก่อนโอน ก่อนกรอกข้อมูลใด ๆ ต้องมีสติ ดูให้ดี มิฉะนั้นอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

‘ฮอนด้า’ ชวน!! ลูกค้าเข้าศูนย์บริการ ร่วมมาตรการรัฐ Easy E-Receipt 2.0 รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท

(26 ม.ค. 68) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศร่วมมาตรการ ‘Easy E-Receipt 2.0’ โดยลูกค้าที่นำรถเข้ารับบริการในศูนย์บริการ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2568 ได้ตามจริงสูงสุด 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - 28 กุมภาพันธ์ 2568 

ทั้งนี้ลูกค้าสามารถตรวจสอบรายละเอียดโชว์รูมและศูนย์บริการฮอนด้าที่เข้าร่วมมาตรการ ‘Easy E-Receipt 2.0’ ได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง  (Honda Call Center)

ทั้งนี้เงื่อนไขสินค้าและงานบริการที่สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในมาตรการ ‘Easy E-Receipt 2.0’ ได้แก่ 

•งานบริการ รวมถึงอะไหล่และเคมีภัณฑ์ ที่ชำระเงินและใช้บริการในช่วงเวลาของมาตรการ
•งานตรวจเช็กตามระยะทาง งานซ่อมทั่วไป และงานซ่อมตัวถังและสี ประเภทลูกค้าเป็นผู้ชำระเงิน
•งานติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ (Accessories) และ Honda Connect

ทั้งนี้การตรวจเช็คตามระยะทางที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขมาตรการ เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ว่าลูกค้าจะได้รับการบริการในช่วงเวลาที่โครงการกำหนดหรือไม่ ได้แก่
•โปรแกรมอัลติเมทแคร์ (อัลติเมท 1, 2, 3)
•แพ็กเกจเช็คระยะฮอนด้าเพย์เซฟ

ครม. ไฟเขียว ตั้งกองทุนใหม่ ‘Thai ESG Extra’ หวังโยกเงินจาก LTF จูงใจลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท

ครม.ไฟเขียว Thai ESG Extra โยกเงินจาก LTF เดิมเข้ากองทุนใหม่ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท พร้อมให้ซื้อกองทุนใหม่ได้ในวงเงินอีก 3 แสนบาท พร้อมลดหย่อนภาษีได้ “พิชัย” เชื่อชะลอแรงขายหุ้น สร้างความเชื่อมั่นเพิ่มในช่วงตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

(11 มี.ค. 68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมเห็นการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนกองทุนใหม่ หรือเรียกว่ากองทุน “Thai ESG Extra” โดยกองทุนนี้จะรองรับเงินลงทุนของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น 2 ส่วนโดยส่วนแรกมาจากเงินลงทุนที่มาจากนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ปัจจุบันมีวงเงินคงค้างอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยในส่วนนี้จะให้นักลงทุนโยกเงินจากกองทุน LTF มาอยู่ในกองทุน Thai ESG Extra โดยได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในปี 2568 ได้ 3 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาท จะให้ใช้สิทธิ์ในปีภาษีต่อๆไปปีละ 50,000 บาทจนครบจำนวน อีกส่วนหนึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESG Extra เพื่อลดหย่อนภาษีซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นเงินลงทุนใหม่โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 แสนบาทในปี 2568 โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนภายในระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย.ปีนี้

นายพิชัย กล่าวว่าปัจจุบันสถานการณ์ในตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่ามีความผันผวนมากจากนโยบายของโดนัลก์ ทรัมป์ที่มีการปรับขึ้นภาษีกับคู่ค้า ล่าสุดในสหรัฐฯตลาดหุ้นก็ลดลงมากทั้งดัชนี Nasdaq และดาวน์โจนส์ ส่วนดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงโดยหุ้นไทยเคยลงมาอยู่ในระดับต่ำประมาณ 1,200 จุด ตอนนั้นเราทำกองทุนวายุกภักษ์ก็สามารถดึงดัชนีขึ้นไปได้ที่ประมาณ 1,400 จุดก่อนจะปรับลดลงมาที่ระดับ 1,200 จุดและได้รับผลกระทบจากข่าวสารภายนอก

ทั้งนี้รัฐบาลมีแนวคิดว่าในกองทุน ESG มีการเลือกหุ้นที่ดีมีอนาคต การเติบโตที่ยั่งยืน และมีการลงทุนในเทคโนโลยี ซึ่งถือว่ามีโอกาสเติบโตในอนาคต เมื่อมีความชัดเจนเรื่องนโยบายนี้ก็เชื่อว่าจะสามารถชะลอแรงขายของดัชนีหุ้นลงได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top