Wednesday, 21 May 2025
รัฐบาลเศรษฐา

‘จุรินทร์’ สับงบประมาณ 67 ล่าช้า มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน แถมลอก ‘ลุงตู่’ มาปรับ แต่กลับกระตุ้น ศก.ได้แค่ 70%

(3 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลุกขึ้นกล่าวอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในวงเงิน 3.48ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันแรกตอนหนึ่ง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุมว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 แม้จะไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เรียนว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ ถ้ารัฐบาลเสนอแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือไม่ก็ยุบสภาฯ ซึ่งก็เป็นหน้าที่รัฐบาลที่มีหน้าที่ต้องไประดม สส. รัฐบาลมาลงคะแนนเสียงให้ได้ และเชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะผ่านการพิจารณาวาระแรกได้ เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. ในสภาฯ แบบเด็ดขาด ถึง 314 เสียง ถ้าไม่ผ่านตนคิดว่านายกรัฐมนตรี ต้องเลิกใส่ถุงเท้าสีแดงและพิจารณาตัวเองได้แล้ว

“ยืนยันว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบทั้งตัวงบประมาณฯ ถ่วงดุล สอบถามและแสดงความเห็น และผู้ใช้งบประมาณฯ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำแถลงมาทุกอย่างดีหมด ซึ่งงบประมาณฉบับนี้ ถือเป็นงบประมาณฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ เกิดจากการเอางบฯ ปี 66 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ มารื้อทำใหม่หมด ส่งผลให้ปฏิทินงบปีนี้ล่าช้าไปกว่า 9 เดือน เพราะมันแต่ใช้เวลาไปตั้งรัฐบาล เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหลายเดือน แต่หลัง ครม.มีมติให้รื้องบประมาณดังกล่าว ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนเช่นเดียวกันกว่าจะกลับเข้าสู่สภาฯ ได้ ทำให้พ.ร.บ.งบปี 67 นี้ ต้องไปบังคับใช้ประมาณเดือน พ.ค. จึงส่งผลให้ พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ เป็นงบฯ ฉบับเป็ดง่อย” นายจุรินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ เพราะงบประมาณทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาท รัฐบาลมีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จากปกติ 12 เดือน เท่ากับว่ามีเวลาใช้เงินแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพของการใช้เงิน เรื่องของใช้เงินงบลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน สุดท้ายก็จะเป็นงบเป็ดง่อยไม่สามารถนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มร้อยตามที่พูดไว้

นายจุรินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีรัฐมนตรีจำนวน 34 คน แต่โลกลืมไปแล้วจำนวนกี่คน สองมือรวมกันนิ้วยังมีไม่พอให้นับ โดยนายกรัฐมนตรีพยายามตีปี๊บบอกว่า เศรษฐกิจกำลังวิกฤตต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบขนาดใหญ่ แต่ขณะเดียวกันงบประมาณแผ่นดิน ที่มีผลต่อ GDP ถึงร้อยละ 18 กลายเป็นเป็ดง่อย แล้วจะไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมายได้อย่างไร ยืนยันว่า งบประมาณที่นายกรัฐมนตรีไปสั่งรื้อนั้น ไม่มีอะไรเข้ามาใหม่ เป็นงบที่เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมาดำเนินการ และยังมีอีกหลายเรื่องที่แย่กว่าเดิม โดนแบ่งเป็น 4 ประเด็น คือ…

1. งบฉบับนี้ยังขาดดุลเหมือนเดิม และจะขาดดุลต่อไปจนครบอายุรัฐบาลนี้คือ 4 ปีเต็ม

2. งบประมาณของรัฐบาลชุดนี้เพิ่มขึ้น แต่งบการลงทุนน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำแทนคิดเป็น 44 เปอร์เซ็นต์

3. งบประมาณกลาง ซึ่งพอไปดูเนื้อใยแล้ว เป็นงบสำหรับกรณีฉุกเฉิน ที่เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีโดยตรง กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยต่อว่ารัฐบาลที่ผ่านมา แต่กลับทำเสียเอง “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”

4. งบประมาณฉบับนี้เป็นงบประมาณคิดใหญ่ ทำเป็น แต่กลับมาเป็นคิดกู้ ทำกู้ ซึ่งสิ่งรัฐบาลที่แล้วทำไว้ คือกู้ 5.93 แสนล้าน แต่รัฐบาลนี้นำไปรื้อ กลายเป็นกู้เพิ่มขึ้นเป็น 6.93 แสน กู้เพิ่มขึ้นแสนล้านบาท ทั้งที่พวกท่านเคยวิจารณ์รัฐบาลที่แล้วว่าเป็น ‘นักกู้แห่งแม่น้ำเจ้าพระยา’ แต่ตนคิดว่ารัฐบาลนี้กลายเป็น ‘นักกู้ถุงเท้าสีชมพู’

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของงบประมาณกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมเช่นกัน ตนสนับสนุน ถ้าจะนำเงินไปยกระดับควบคุมผู้ต้องขัง ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และหลักสิทธิมนุษยชน โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ โดยมีสถานที่เป็นเรือนจำ และทัณฑสถาน ครอบคลุมผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนทั่วประเทศ ถ้ารัฐบาลดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์

“ผมมีคำถามว่ารัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบประมาณ ได้บริหารโครงการตามวัตถุประสงค์ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนหรือไม่ เพราะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในสังคมว่าทำไมรัฐบาลนี้จึงปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มาแล้วกว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว” นายจุรินทร์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงนายจุรินทร์ทันที โดยฟ้องต่อประธานฯ ว่า เป็นการอภิปรายนอกประเด็น “ผมไม่คิดว่านายจุรินทร์ อดีตรัฐมนตรี จะลุกขึ้นอภิปรายงบประมาณ เพราะท่านล้มเหลวมาตลอด อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายก็ได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่นเขา นี่ก็ลากออกไปนอกประเด็นใช้สไตล์เก่า ๆ ผมไม่เห็นด้วยที่จะนำเรื่องข้างนอกเข้ามาสู่สภาฯ ผมรู้ว่าคนที่นายจุรินทร์ กำลังพูดถึงคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกกลั่นแกล้งไปอยู่เมืองนอก 17 ปี แต่ต้องเข้าใจว่า ทุกครั้งที่ขออนุญาต มีใบรับรองจากอธิบดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายครูมานิตย์ กล่าว

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วินิจฉัยว่า ผู้อภิปรายยังคงอภิปรายอยู่ในประเด็น แต่ขอให้นายจุรินทร์หลีกเลี่ยงไม่ระบุชื่อบุคคลภายนอก ในขณะที่นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคปชป. ได้ลุกขึ้นประท้วงนายครูมานิตย์ โดยกล่าวว่า ตนขอประท้วงและขอให้นายครูมานิตย์ถอนคำพูด ที่ระบุว่า นายจุรินทร์ล้มเหลว เพราะพูดเป็นเท็จในสภาฯ นี้ ถือเป็นการกล่าวหาเสียดสีอย่างร้ายแรง สภาฯ แห่งนี้ทรงเกียรติ คำพูดที่ออกมาต้องมีเหตุผล มีข้อเท็จจริง

ประธานสภาฯ จึงกล่าวว่า เป็นการพูดแสดงความคิดเห็น ไม่ได้ผิดข้อบังคับ แต่นายชัยชนะ ยังขอให้ถอนคำพูดที่กล่าวหาว่าล้มเหลว ต้องบอกว่าล้มเหลวตรงไหน หากไม่ถอนก็ขอให้บันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อสภาฯ จะได้มีบรรทัดฐาน ถ้าบอกว่าล้มเหลว ก็ถือรัฐบาลนี้ก็ล้มเหลวเช่นกัน แต่ประธานสภาฯ วินิจฉัยว่า ไม่ได้ผิดข้อบังคับ และขอให้นายจุรินทร์ อภิปรายต่อจนจบ ซึ่งนายจุรินทร์ ยืนยันว่า ตนเคารพกติกาเสมอ ขอให้สบายใจ

'สมบัติ-ปชป.' ขอรัฐบาลตื่นจากฝัน หากยังจัดงบฯ แบบผู้ใหญ่ลอกการบ้านเด็ก

(5 ม.ค. 67) นายสมบัติ ยะสินธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดแม่ฮ่องสอน พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยระบุว่า...

พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ไม่ตรงไม่สอดคล้องกับนโยบายที่ให้ไว้แห่งนี้ แล้วเป็นงบประมาณที่เหมือนเดิม คือ จัดแบบขาดดุลเหมือนเดิม ตั้งแต่ได้ยินการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย หรือว่าพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลว่า เป็นรัฐบาลพูดมาตลอดว่า คิดใหญ่ทำเป็น อยากทราบว่าในงบประมาณชุดนี้ คิดใหญ่อะไรบ้าง อยากทราบในงบประมาณชุดนี้จะทำอะไรบ้าง บอกให้พี่น้องประชาชนทราบว่าคิดใหญ่อะไรบ้างแล้วทำเป็น ทำอะไรบ้าง ทำแบบไหน ช่วยชี้แจงด้วย

งบประมาณของแต่ละกระทรวง ทำงบประมาณแบบเดิม คือ เหมือนทุกปีที่ผ่านมาเพิ่ม 5% 7% หรือ 10% บางกระทรวงลดนิดหน่อย เสนอมาการจัดงบประมาณไม่มียุทธศาสตร์หรือว่าจุดเด่น ๆ ที่จะทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เลย 

สโลแกน คือ คิดใหญ่ทำเป็น ควรจะเปลี่ยนเป็น ฝันใหญ่ตื่นไม่เป็น คิดว่าการจัดงบประมาณนั้น มันมีหลักเกณฑ์ มีขั้นตอนอยู่ คิดว่าจะทำอะไรมันไม่ได้ โฆษณาเอาไว้อย่างนั้น ควรตื่นมาดูความเป็นจริง   

นโยบายของเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ เป้าหมายสำคัญในการแก้ปัญหาของพรรคเพื่อไทย คือ ลดความรุนแรงน้ำ ต้องไม่ท่วม ไม่แล้ง ประชาชนต้องมีน้ำดื่มน้ำ ใช้ตลอดปี ในงบประมาณน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่งเกิดขึ้นทุกปี ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นทุกปี เวลาน้ำท่วมมีผลกระทบต่อบ้านเรือนทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนตลอด บางครั้งต้องเสียชีวิต พอน้ำแล้งก็ไม่มีน้ำใช้น้ำดื่มเกษตรกรที่ทำงานเกษตรก็ไม่ได้ทำ สุดท้ายก็ต้องรัฐบาลเยียวยา โดยใช้งบกลางอยู่ดี ถ้าเกิดว่าเราแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม ซึ่งปัญหาน้ำท่วม มันมีวิธีป้องกันหรือลดความรุนแรงได้ ด้วยการสร้างเขื่อน เพราะการสร้างเขื่อนนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากเลย เวลาฝนตกมาเก็บน้ำไว้ เพื่อไม่ให้น้ำท่วม รองรับน้ำไว้พอถึงฤดูแล้ง เราก็เอาน้ำในเขื่อนไปปล่อยให้พี่น้องเกษตรกรหรือชาวบ้านได้ใช้

กรมชลประทานตั้งมา 108 ปี ได้แค่ 35 ล้าน ได้ที่เหลืออีก 100 กว่าล้านไร่ เราจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี ถึงจะได้ครบพื้นที่ถ้าเราจัดงบประมาณแบบเดิม ๆ ไม่มียุทธศาสตร์แบบนี้ กรมชลประทานปีนี้ ของบมา 237,594 ล้านบาท แต่ได้รับบรรจุในร่างงบประมาณปีนี้ 75,879 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าหน่วยงานเขาขอมาเยอะ แต่ว่าเราไม่มีงบประมาณที่จะพอที่จะมาทำให้เขาได้ 

จากสถิติพบว่าเกษตรกรแต่ที่อยู่ในระบบชลประทานมีรายได้มากกว่าเกษตรกรที่อยู่นอกระบบชลประทาน 3-4 เท่า น้ำมีความสำคัญและยกระดับให้เกษตรกรมีรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น อีกกรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำคือกรมทรัพยากรน้ำปีนี้เขาเสนอมาอยู่ 505 โครงการเป็นเงินอยู่ 10,700 ล้านบาทแต่ว่าปีนี้เขาได้รับงบประมาณแค่ 7,200 ล้านบาทจะเห็นได้ว่าหน่วยงานเค้ามีความพร้อมทั้งพื้นที่ทั้งอะไรแต่ว่าเราไม่มีงบประมาณให้เขา ก็ขอให้ทางรัฐบาลช่วยดูให้หน่อยว่าน้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกรดีขึ้น

เรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ ที่ตามที่นโยบายของทางพรรคเพื่อไทย เขาให้ไว้ว่า แต่มีหน่วยหลายหน่วยงานรับผิดชอบ ประปานครหลวง ซึ่งดูแลในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนไปปีนี้ ในร่าง 29.1 ล้านบาท มีประปาส่วนภูมิภาคอีก ได้รับจัดสรรอยู่ 3,352.8 ล้านบาท เห็นว่า 2 หน่วยงานนี้ เขาบริหารจัดการไม่มีปัญหาเพียงแต่ว่าเวลาพี่น้องประชาชน อยากขยายมันไม่มีกำลังเงินที่จะไปขยาย ทั้งที่เขาบริหารจัดการได้ดี 

แต่ที่น่าเป็นห่วงที่ทั้งประเทศเรามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้รับความปกครองส่วนท้องถิ่น ตั้งแต่มีจำนวนที่อยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ 69,014 ที่นั้น ใช้การไม่ได้เลยประมาณ 2,000 แห่ง แล้ว 60,000 กว่าแห่ง ใช้การได้แต่ไม่ได้มาตรฐานอีก 20,000 แห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภาระมาก ต้องดูแลน้ำประปาถึง 60,000 กว่าแห่ง แต่ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเราได้รับงบประมาณจากส่วนกลาง 29.1% เท่านั้น ทั้งๆ ที่ภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีมากมายไม่ว่าจะเป็น ถนน ไฟฟ้าและอื่นๆ อีก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับโครงการที่ถ่ายโอนจากส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องผลักดันงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ถึง 35% สักที

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว เป็นคนที่ดูแลพี่น้องชาวไทยเรามาตลอด แต่กลับถูกตัดงบประมาณถึง 9,500 ล้านบาท ฝากให้รัฐบาลตอนแปรญัตติวาระ 2 ลองดูเพิ่มให้กระทรวงเกษตรด้วย เพราะว่าเขาต้องดูแลพี่น้องประชาชนแล้วเขาต้องการที่จะให้ไปพัฒนาให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น

ชาวสวนยางเฮ ! ยุครัฐบาลเศรษฐา ยางพาราพุ่ง 74บาท/กก.

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวถึง สถานการณ์ราคายางพาราในปัจจุบัน มีทิศทางที่ดีขึ้น ถ้าเปรียบเทียบราคาเฉลี่ยระหว่างเดือนกันยายน ปี 2566 กับ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567  ชนิดยางแผ่นรมควันชั้น 3 ขยับขึ้นไปแตะกิโลกรัมละ 74 บาท จากเดิมปี 2566 อยู่ที่กิโลกรัมละ 51 บาท ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคากิโลกรัมละ 70 บาท จากเดิมกิโลกรัมละ 49 บาท ขณะที่น้ำยางสด (DRC 100%) และ ยางก้อนถ้วย (DRC 100%) ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน 

ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคายางในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายก รัฐมนตรี และ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำกับดูแล ได้วางมาตรการปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย โดยจัดตั้งทีมสายลับยางรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกร ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น และ ความต้องการใช้ยางมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ล้อรถยนต์ และรถไฟฟ้า ถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ ทั้งนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่า ปี 2567 GDP โลกขยายตัวร้อยละ 2.7 ขณะที่ผลผลิตยางพาราหลายพื้นที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากต้นยางพาราเริ่มผลัดใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้อุปทานยางในตลาดลดลงส่งผลบวกต่อราคายางมีราคาสูงขึ้น 

'หมอวรงค์' วิเคราะห์ 3 ต้นสายปลายเหตุ 'ก้าวไกล' ทิ้งซักฟอก 'ฮ่องกงมิตติ้ง-ย้อนศรล้มล้างปากปกครอง-ไร้น้ำยา'

(29 ก.พ.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ทำไมพรรคก้าวไกลไม่ซักฟอกรัฐบาล’ ระบุว่า เมื่อปลายเดือนมกราคม 2567ที่ผ่านมา นายพิธาเองเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเศรษฐา ช่วงเดือนเมษายนนี้ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ในประเด็นทุจริต บริหารล้มเหลว ทำงานล่าช้า

แต่กลายเป็นว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุดนี้เอง ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงกลับลำเฉยว่า จะยังไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหาร ยังไม่ได้ใช้งบ

พรรคก้าวไกลแน่ใจหรือว่า รัฐบาลนี้เข้ามาบริหาร แล้วไม่มีประเด็นที่ประชาชน อยากให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายประเด็นมากที่ประชาชนสงสัย เช่น

การใช้อภิสิทธิ์ของนักโทษชายทักษิณ ซึ่งฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่หลักฐานข้อมูล เอกสารต่างๆ ชัดเจนมาก

โครงการแจกเงินดิจิทัล 10000บาท สรุปแล้วจะได้หรือไม่ แล้วที่สัญญาว่าจะไม่กู้ยังจะกู้ไหม

ปัญหายาบ้า 5 เม็ด ที่นำไปสู่ การค้าบ้าเสรีสำหรับรายย่อย

ปัญหาเกาะกูด ที่ประชาชนหวาดระแวง ที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน ทั้งๆ ที่สัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 2449 ระบุชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย

ปัญหาปากท้องประชาชน จนตลาดเงียบเป็นป่าช้า

หรือแม้แต่ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. ที่เมื่อเปลี่ยนเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแต่กลายเป็นเอื้อนายทุนฮุบที่ป่าได้เป็นทางการ

คำถามที่ต้องถามกลับไปยังพรรคก้าวไกล ทำไมพวกท่านไม่กล้าซักฟอกรัฐบาล หรือว่า

1.การที่นายธนาธรไปพบนายทักษิณที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 ทำให้พรรคไม่กล้าซักฟอกนายทักษิณ

2.หรือพรรคก้าวไกลกลัวถูกย้อนศร กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครองฯ ในทำนองเองก็ชั่ว ข้าก็เลว

3.หรือว่าพรรคก้าวไกลไร้น้ำยาจริงๆ มีแต่จะยกเลิก ม.112 ระวังถ้าเป็นแบบนี้สักวันหนึ่งจะโดนโห่ไล่ลงเวที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top