Friday, 6 June 2025
รัชกาลที่7

‘ในหลวงรัชกาลที่ 7’ ไม่ยินยอมให้ผู้ใด หรือคณะใดใช้อำนาจของพระองค์ โดยปราศจากการฟังเสียงของประชาชน

มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้าง #ร่างที่เป็น

2475: การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการให้อภัย

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้อง ตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจ และยึดถือของข้าพเจ้า…

“ข้าพเจ้าไม่สามารถยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้น ในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป

“แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยเด็ดขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477

เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ประกาศขายด่วน!! พระตำหนักเวนคอร์ต ในอังกฤษ ครั้งหนึ่ง ‘รัชกาลที่ 7’ เคยพำนักหลังสละราชสมบัติ

เว็บไซต์ ขายบ้านของอังกฤษ ประกาศ ขายพระตำหนักเวนคอร์ต ที่ 'รัชกาลที่ 7-สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ' ทรงประทับหลังการสละราชสมบัติ ช่วงปี 2480-2482 เผยราคาน่าสนใจ มหาเศรษฐีไทยจับต้องได้

เมื่อวันที่ (20 พ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ขายบ้านของอังกฤษ 'inigo.com' ได้ประกาศขาย พระตำหนักเวนคอร์ต (Vane Court) พระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงประทับหลังการสละราชสมบัติ ในช่วงระหว่างปี 2480-2482 ซึ่งพระตำหนักแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านบิ้ดเด็นเด็น (Biddenden) ใกล้เมืองแอชฟอร์ด (Ashford) ในจังหวัดเคนท์ (Kent) ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 200 ไมล์

โดยเว็บไซต์ได้บรรยายว่า พระตำหนักเวนคอร์ต ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชินีแห่งประเทศไทย เคยเป็นห้องโถง Wealden อันเก่าแก่ในศตวรรษที่ 15 ในหมู่บ้าน Biddenden รัฐ Kent ที่เป็นที่ต้องการ บ้านหลังนี้มีลักษณะพิเศษ โดยเจ้าของปัจจุบันต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยให้ความเอาใจใส่อย่างระมัดระวังต่อองค์ประกอบในการบูรณะ ขณะเดียวกันก็นำแง่มุมของความทันสมัยมาใช้อย่างละเอียดอ่อน บ้านหลังหลักมีพื้นที่ภายในเกิน 6,500 ตารางฟุต ประกอบด้วยห้องนอน 7 ห้อง และพื้นที่นั่งเล่นและห้องอ่านหนังสืออเนกประสงค์หลายห้อง บ้านหลังนี้อยู่ในสวนประดิษฐ์และสระน้ำอันเงียบสงบบนพื้นที่ประมาณ 5.36 เอเคอร์ พร้อมด้วยสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส และโรงจอดรถสำหรับรถสี่คัน

เว็บไซต์บรรยายด้วยว่า ระหว่างการประทับที่พระตำหนัก เวนคอร์ต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงสำราญเป็นอย่างมาก พระจริยวัตรที่ทรงโปรดปรานคือการเสด็จลงทำสวน ปลูกต้นคาร์เนชั่น ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงตัดดอกไม้มาปักแจกันไว้ตามห้องต่าง ๆ ในพระตำหนักทุกวัน อีกทั้งสองพระองค์ยังโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรดอกไม้ในสวน มีสะพานเล็ก ๆ 

มีบ่อน้ำที่ทรงเลี้ยงเป็ดเทศไว้หลายพันธุ์ ชาวบ้านในละแวกนั้นก็ได้เข้าเฝ้าฯ ทั้งสองพระองค์บ่อย ๆ เพราะแทนที่จะทรงสั่งซื้อของและให้ร้านในเมืองไปส่งที่พระตำหนัก แต่กลับทรงจักรยานตามถนนเล็ก ๆ เพื่อทรงจับจ่ายจากร้านในหมู่บ้าน โดยสัปดาห์หนึ่ง จะซื้อที่ร้านหนึ่ง อีกสัปดาห์ก็ซื้อของที่อีกร้าน รวมทั้งยังทรงทำหน้าที่เป็นมูลนาย (Squire) ประจำหมู่บ้าน ทรงเป็นองค์ประธานพระราชทานถ้วยรางวัลในการประกวดดอกไม้ งานแข่งม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านมั่นใจว่า พระองค์จะไม่กลับไปที่ประเทศสยาม เพราะทุกครั้งที่เห็นพระองค์ทรงพระดำเนินไปตามถนนในหมู่บ้านกับสุนัขพันธุ์แอร์เดล ที่ชื่อว่า แซม เขาเชื่อว่า พระองค์โปรดที่จะประทับในประเทศอังกฤษอย่างเงียบ ๆ มากกว่า

จากนั้นบรรยายส่วนต่าง ๆ ของบ้านทั้งภายในภายนอก หมดทุกซอกทุกมุม รวมถึงบริเวณโดยรอบของบ้านอย่างละเอียด ภายหลังเจ้าของบ้านปัจจุบันของพระตำหนัก เวนคอร์ต ทำการรีโนเวทบ้านหลังนี้ใหม่ โดยยังคงเอกลักษณ์บ้านเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด แต่สอดแทรกความโมเดิร์นเข้าไปได้อย่างลงตัว โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 3,950,000 ปอนด์ หรือ 173,618,300 บาท

29 ธันวาคม 2453 รัชกาลที่ 6 สถาปนา 'โรงเรียนมหาดเล็กหลวง' ต่อมาได้กลายเป็น 'วชิราวุธวิทยาลัย'

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2453 รัชกาลที่ 6 พระราชทานกำเนิด 'โรงเรียนมหาดเล็กหลวง' ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น 'วชิราวุธวิทยาลัย' โดยมีวัตถุประสงค์ในการทดลองจัดการศึกษาของชาติและให้การศึกษาแก่ราษฎรเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต นอกจากนี้ยังพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนนี้

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี รับทราบการจัดการศึกษาของชาติ โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2453 พระองค์ทรงพระกรุณาให้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับมหาดเล็กข้าหลวงเดิมในพระบรมมหาราชวัง ก่อนที่จะพระราชทานชื่อใหม่ว่า 'โรงเรียนมหาดเล็กหลวง'

พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เงิน 100,000 บาทเพื่อเป็นทุนของโรงเรียน และในภายหลังได้พระราชทานที่ดินสวนกระจังจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนถาวร ซึ่งมีการออกแบบโดยเอ็ดเวิร์ด ฮิลลี่ และพระสมิทธเลขา

โรงเรียนมหาดเล็กหลวงดำเนินการตามหลักการของระบบการศึกษาของอังกฤษ แต่พระราชดำริของพระองค์คือการสร้างเยาวชนที่มีคุณธรรมและพร้อมรับภาระในอนาคต แทนที่จะเน้นผลการเรียนเพียงอย่างเดียว

หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตในปี 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมโรงเรียนราชวิทยาลัยเข้ากับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง และพระราชทานนามใหม่ว่า 'วชิราวุธวิทยาลัย' เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์

วชิราวุธวิทยาลัยได้รับการจัดตั้งเป็นโรงเรียนประจำชายล้วน และยังคงมีตึกที่พักนักเรียนที่เรียกว่า 'คณะ' ซึ่งแบ่งเป็นคณะต่าง ๆ ปัจจุบัน ดำเนินการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 

12 มกราคม พ.ศ. 2476 ในหลวง ร. 7 และพระบรมราชินี เสด็จประพาสยุโรป นับเป็นการอำลา ‘แผ่นดินสยาม’ ครั้งสุดท้าย

วันนี้เมื่อ 92 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จประพาสยุโรป และประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจในโลก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ทั้งนี้ในห้วงระยะ เวลา 10 ปีที่ พระองค์ทรงครองราชย์ เรื่องที่ดูหนักหนาสาหัสที่สุด คือ การปฏิวัติที่เกิดขึ้นโดยคณะราษฎร์ ในปี 2475 ซึ่งขณะนั้นทั้งสอง พระองค์ ทรงประทับอยู่ที่ พระราชวังไกลกังวลได้ มีคณะตัวแทนคณะราษฎร์ กราบบังคับทูลเชิญทั้งสองพระองค์เสด็จ กลับพระนคร 

และพระองค์ได้เสด็จกลับมาเป็นพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ จากนั้นในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476 พระองค์ได้เสด็จเยือนยุโรป และนั่นถือเป็นการอำลาแผ่นดินสยามครั้งสุดท้ายของพระองค์และในหลวงรัชกาลที่ 7 เนื่องจากขณะที่ พระองค์ทรงรักษาพระเนตรจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในประเทศอังกฤษ ได้ทรงขัดแย้งกับคณะรัฐบาล จึงตัดสิน พระราชหฤทัยสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ณ พระตำหนักโนล ในขณะ ที่สองพระองค์มิได้เป็นคิงส์แห่งสยาม นับเป็นช่วง เวลาที่สงบสุข ณ พระตำหนักเวนคอร์ต ประเทศอังกฤษ

ในหลวง เสด็จฯ เชียงใหม่ ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา สะท้อนสัมพันธ์แนบแน่นสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

รู้หรือไม่? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา ในการเสด็จประพาสเชียงใหม่

การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปยังจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการพระราชกิจและการสืบสานประเพณีสำคัญของชาติ ทั้งยังตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

พิธีบายศรีทูลพระขวัญ: การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของเจ้านายฝ่ายเหนือ

หนึ่งในจุดเด่นของการเสด็จฯ ครั้งนี้คือพิธีบายศรีทูลพระขวัญ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่เจ้านายฝ่ายเหนือจัดขึ้นอย่างวิจิตรเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์ พิธีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของล้านนา แต่ยังแสดงถึงความจงรักภักดีและความผูกพันของเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชาติ

พิธีบายศรีที่จัดขึ้นครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งนำขบวนรำบายศรีด้วยความสง่างาม สื่อถึงบทบาทอันสำคัญของเจ้านายฝ่ายเหนือในฐานะผู้สืบทอดประเพณีและตัวแทนความภาคภูมิใจของล้านนา การรำบายศรีไม่เพียงเป็นการต้อนรับพระมหากษัตริย์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สืบทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน เจ้าวงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ ประมุขสายสกุล ณ เชียงใหม่ และเจ้าอาวรเทวี ณ ลำพูน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ผูกข้อพระหัตถ์ขวาและซ้ายในหลวงและพระราชินี

บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และล้านนา
เหตุการณ์นี้ชวนให้นึกถึงการเสด็จประพาสเชียงใหม่ในอดีต เช่น รัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งพระองค์ได้รับการต้อนรับด้วยขบวนช้างจำนวน 80 เชือกที่ตกแต่งอย่างวิจิตร พร้อมการแสดงรำและดนตรีพื้นบ้านล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือในเวลานั้นได้มีบทบาทสำคัญในการต้อนรับและแสดงความจงรักภักดีแด่พระมหากษัตริย์แต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

ความสำคัญของการจัดการประเพณีที่ยั่งยืน การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการกิจกรรมและประเพณีอย่างยั่งยืน ไม่เพียงเพื่อธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา แต่ยังตอกย้ำถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างเจ้านายฝ่ายเหนือกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นของชาติ

ดังนั้น การเสด็จประพาสเชียงใหม่ครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสืบสานประเพณีและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่มีมายาวนาน ทั้งในด้านวัฒนธรรม ความจงรักภักดี และการบริหารจัดการกิจกรรมสำคัญของชาติ

25 กุมภาพันธ์ 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 นับเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นอย่างสมพระเกียรติ พระราชพิธีนี้ถือเป็นโบราณราชประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์และแสดงถึงพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ กระบวนการในพระราชพิธีได้รับอิทธิพลจากคติความเชื่อทางศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา ซึ่งมีรากฐานมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม พ.ศ. 2468 โดยมีลำดับพระราชพิธีดังนี้ การเตรียมพระราชพิธี, พระราชพิธีเบื้องต้น, พระราชพิธีบรมราชาภิเษก, พระราชพิธีเบื้องปลาย และ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร

สำหรับกำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระมหามณเฑียร เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 

ช่วงเช้า (09.15 น.)พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์เต็มยศทหารเรือ ทรงสายสะพานนพรัตนราชวราภรณ์ เสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งบรมพิมานโดยกระบวนราบ ประทับพระราชยานกง เสด็จไปยังหมู่พระมหามณเฑียร เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

พิธีสรงพระมุรธาภิเษก (09.53 น.)ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นพระภูษาเศวตพัสตร์และทรงสะพักขาวขลิบทองคำ ประทับบนตั่งไม้อุทุมพรหุ้มผ้าขาวในมณฑปพระกระยาสนาน พระราชครูวามเทพมุนีและพราหมณ์พิธีกราบบังคมทูลเชิญเสด็จสรงน้ำพระมุรธาภิเษก ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญที่แสดงถึงการเปลี่ยนพระราชสถานะเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์

จากนั้นเสด็จขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งอัฐทิศภายใต้พระบวรเศวตฉัตร ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีพิชัยสงครามประจำวันพฤหัสบดี ทรงรับน้ำอภิเษกจากราชบัณฑิตและพราหมณ์ทั้งแปดทิศ ต่อด้วยการเสด็จประทับบนพระที่นั่งภัทรบิฐภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เพื่อทรงรับพระสุพรรณบัฏ เครื่องขัตติยราชวราภรณ์ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องขัตติยราชูปโภค รวมทั้งพระแสงอัษฎาวุธจำนวน 19 รายการ

เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ซึ่งเป็นคำปฏิญาณของพระมหากษัตริย์ในการครองแผ่นดิน ความว่า

“ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชภาระครองแผ่นดินโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่ราชอาณาเหนือท่านทั้งหลายกับโภคสมบัติ เปนที่พึ่ง จัดการปกครองรักษาป้องกัน อันเปนธรรมสืบไป ท่านทั้งหลายจงวางใจอยู่ตามสบาย เทอญฯ”

ในวันเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเป็นพระบรมราชินี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พร้อมกับการเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งเป็นพระราชพิธีครั้งแรกในรัชกาล

อีกหนึ่งความสำคัญคือ การบันทึกภาพยนตร์ "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" เป็นภาพยนตร์ข่าวที่ผลิตโดยกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง ซึ่งจัดทำขึ้นโดยได้รับพระบรมราชานุญาตเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจเก็บไว้เป็นที่ระลึก ภาพยนตร์ชุดนี้บันทึกเหตุการณ์สำคัญในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปลายปี พ.ศ. 2468 ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกภาพยนตร์ในพระราชพิธีสำคัญที่จัดขึ้นตามโบราณราชประเพณีของไทย

2 มีนาคม พ.ศ. 2477 รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ ในขณะประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

วันนี้เมื่อ 91 ปีก่อน ... 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 คืออีกหนึ่งวันสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่อยากให้คนไทยทุก ๆ คนจดจำ สำนึก และตระหนักซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย เพราะนี่คือวันที่รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ โดยขณะนั้นพระองค์ได้ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จากคณะราษฎรส่งผลให้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีไปประทับที่ประเทศอังกฤษ และแต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 โดยในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ ปรากฏข้อความที่ใช้อ้างอิงกันเสมอในเวลาต่อมา ดังนี้

"... ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร ... บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ..."

อนึ่ง พระองค์ทรงกลับไปใช้พระนามและพระราชอิสริยยศเดิม ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา รวมระยะเวลาในการครองราชย์ได้ 9 ปี ขณะมีพระชนมายุได้ 41 พรรษา โดยไม่ทรงตั้งรัชทายาทเพื่อพระราชทานวโรกาสให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คัดเลือกพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เอง คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้อัญเชิญเสด็จ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุ 9 พรรษา ซึ่งพระองค์เป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ที่ 1 ในลำดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top