Monday, 9 June 2025
รักษ์โลก

‘กสิกรไทย-อินโนพาวเวอร์’ เตรียมเปิดแพลตฟอร์ม REC  หนุนรายย่อยสร้างรายได้จากการใช้ ‘โซลาร์รูฟท็อป’

‘ธนาคารกสิกรไทย’ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจก ร่วมกับ ‘อินโนพาวเวอร์’ ผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านพลังงาน เปิดตัวแพลตฟอร์มสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) สำหรับองค์กรและประชาชนรายย่อยครั้งแรกในประเทศไทย เตรียมเปิดแพลตฟอร์มให้บริการในไตรมาส 2 ปี 67 ช่วยให้ลูกค้ารายย่อยที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสามารถขอและขายใบรับรอง REC ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย และส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืนในประเทศ

(11 มี.ค. 67) ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการใช้พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสนับสนุนหลากหลายรูปแบบภายใต้แนวคิด Go Green Together 

โดยความร่วมมือกับ บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ในครั้งนี้ จะเป็นการสนับสนุนและผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสีเขียวที่ยั่งยืน (Green Ecosystem) ผ่านการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดในภาคประชาชน ถือเป็นครั้งแรกที่ประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจะมีช่องทางการให้บริการที่ง่ายและสะดวกในการขึ้นทะเบียน REC และทำการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนผ่านบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด จากที่ผ่านมาจะเป็นการขึ้นทะเบียนให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย 

โดยคาดว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยจุดกระแสให้ประชาชนทั่วไปหันมาผลิตและใช้พลังงานสะอาดผ่านการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ให้สำเร็จ

ทั้งนี้ ธนาคารได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลในการพัฒนาบริการต่าง ๆ ให้กับโครงการฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่ 

1.) ให้บริการยืนยันตัวตนและนำส่งข้อมูลประกอบการขึ้นทะเบียน REC
2.) ออกแบบ UX/UI และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสาระสนเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟสมัครใช้บริการขึ้นทะเบียน REC 
3.) ให้บริการ Cash Management ซึ่งเป็นการพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่เชื่อมต่อระหว่างธนาคาร อินโนพาวเวอร์ และลูกค้าที่ขาย REC ให้มีรูปแบบการชำระเงินที่เหมาะสม ปลอดภัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รายย่อย และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการรับ-จ่ายเงิน

นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “อินโนพาวเวอร์ เป็นผู้ให้บริการจัดหาและซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) ครบวงจรอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ให้บริการกับองค์กรขนาดใหญ่ แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยเข้าไปช่วยรวบรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าระดับรายบุคคลและองค์กรรายย่อยที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในภาคครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีขนาดกำลังการผลิตไม่ถึง 500 กิโลวัตต์ โดยผู้ผลิตเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากและตลาดโซลาร์รูฟท็อปมีอัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 26% บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือกับธนาคารพัฒนา REC Aggregator Platform ผ่านการรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลการขึ้นทะเบียน REC เพื่อช่วยผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยสามารถยื่นขอใบรับรอง REC ได้สะดวกขึ้น และอำนวยความสะดวกในการนำ REC ที่ออกและได้รับการรับรองไปจำหน่ายแก่ผู้รับซื้อ 

โดยนอกจากจะช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถขาย REC เป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่งแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยกระตุ้นให้การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในตลาดเติบโตยิ่งขึ้น และยังช่วยให้องค์กรและประเทศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) อย่างเป็นรูปธรรม

ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) คือใบรับรองสำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่สามารถซื้อขายได้ เพื่อยืนยันที่แหล่งผลิตว่ามาจากพลังงานธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, น้ำ และลม เป็นต้น การซื้อขายใบรับรองมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดย REC สามารถนำไปใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้ในกิจกรรมที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้า (Scope 2: Indirect Emission) 

‘อุตฯ ฟอกหนังไทย’ ปรับตัวเดินตาม ‘BCG โมเดล’ ตามเทรนด์อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 16 มี.ค.67 ได้พูดคุยกับ ‘คุณสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน’ นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย ที่ปรึกษาและกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนัง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  ถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมฟอกหนังของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของภาคการส่งออกและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด 

โดยคุณสุวัชชัย กล่าวว่า “ภาพรวมของเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และยุโรป สงครามที่เกิดขึ้นนั้น มีผลกระทบต่อประเทศไทยพอสมควรในมุมมองของเศรษฐกิจ อย่างกรณียุโรปเองก็ประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ปศุสัตว์มีการปรับตัวสูงขึ้น วัตถุดิบมีอัตราแพงขึ้น ซึ่งเครื่องหนังเปรียบเสมือนสินค้าฟุ่มเฟือย อัตราการใช้งานก็ลดลงทำให้มูลค่าตลาดลดลง ส่วนทางสหรัฐอเมริกาและจีนเองก็มีผลกระทบอยู่เหมือนกัน ทำให้ส่งผลกระทบทั้ง Supply Chain ในระดับโลก ต้องบอกว่าเมืองไทยเรามีการส่งออกโดยได้รับคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จากทางยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศไทยเองก็ส่งออกในห่วงโซ่นี้ทำให้ได้รับผลกระทบจาก Supply Chain อยู่พอสมควร”

คุณสุวัชชัย กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยในตลาดโลกว่า “ประเทศไทยมีการส่งออก ขนมิงค์ (Mink Hair) หนังวัว ไปยังทวีปยุโรป เบาะรถยนต์ ส่งออกไปยังตะวันออกกลาง ส่วนกระเป๋าเดินทางก็ส่งออกอันดับต้น ๆ และรองเท้านำเข้ามาผลิตและประกอบเพื่อส่งออกกลับไปจำนวนมาก ส่วนจุดเด่นของเครื่องหนังไทยที่ต่างชาติยอมรับ คือ ความประณีตในการตัดเย็บ รูปแบบดีไซน์ และคุณภาพดีสม่ำเสมอ ทำให้มีคุณค่ามากขึ้น รวมถึงมีสินค้าหลากหลายรูปแบบมากกว่า เช่น หนังปลา หนังงู เป็นต้น  ซึ่งในอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยมีการนำเข้าและส่งออก อยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่ถ้ารวมกับกระเป๋าและเครื่องใช้ในการเดินทาง รองเท้า น่าจะอยู่ประมาณ 100,000 ล้านบาท”

คุณสุวัชชัย ระบุเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันทางสมาคมฟอกหนังไทยได้สร้างความร่วมมือกับทางสมาคมรองเท้า กระเป๋า เพื่อพัฒนาให้เกิด Young Designer รุ่นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อทำอย่างไรให้แบรนด์ไทยได้ครองใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ส่วนความต้องการของผู้ประกอบการต่อภาครัฐในปัจจุบัน คือ 

1.ต้นทุนการดำเนินงานลดน้อยลง 
2.ข้อกำหนดทางการค้าเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมฟอกหนัง เช่น การขยาย FTA ให้มากขึ้น, ข้อกำหนดด้านปศุสัตว์ เป็นต้น”

คุณสุวัชชัย ยังได้กล่าวถึงเทรนด์การทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมว่า “ปัจจุบันสมาคมฟอกหนังไทย ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการฟอกหนังเน้นเป้าหมายผลิตสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สินค้าต้องย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ใช้ การผลิต ออกแบบจะต้องอยู่ในการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายเริ่มพัฒนาสินค้าไปในทิศทางนี้แล้ว เช่น เมื่อผลิตสินค้าสารเคมีจะต้องไม่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม เป็นต้น”

“ปัจจุบันเราไม่ได้ใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดมลพิษแล้ว ในส่วนของภาครัฐเองก็ส่งเสริม BCG โมเดลและเริ่มผลักดันผู้ประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” คุณสุวัชชัย เน้นย้ำ

ส่วนเป้าหมายของอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย ปัจจุบันเราพยายามปรับตัวเข้าสู่ชุมชนมากขึ้น เรามุ่งเน้นไปที่ทำหนังอย่างไรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนมากที่สุด การบำบัดน้ำเสียตอนนี้มีอยู่ในเขตประกอบการของเรา ซึ่งมีบ่อหนึ่งเราปิดบ่อเลย แต่เราได้แก๊สมีเทน (Methane) และเน้นไปด้านไบโอแก๊ส (Biogas) เพื่อได้พลังงานกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นที่แรกในเมืองไทย ที่สามารถเอาสิ่งปฏิกูลเหล่านี้มาเป็นพลังงานได้ 

อุตสาหกรรมฟอกหนังไทยถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายมาตลอด อยากฝากถึงประชาชนว่า ปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมฟอกหนังเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ธุรกิจ เราเป็นหนึ่งใน 45 อุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย เราไม่ได้มานั่งแก้ตัวว่าเป็นส่วนหนึ่งของมลพิษ แต่เราพยายามที่จะปรับตัวเข้าไปในชุมชนดูแลสิ่งแวดล้อม หรือติดตามเทรนด์ในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่เข้มข้นขึ้น สำหรับการจัดการกลิ่น น้ำเสีย ปัจจุบันสามารถเช็กได้ว่ามีมากหรือน้อยอย่างไร 

“การฟอกหนังใช้กระบวนการผลิตสมัยใหม่ การใช้สารเคมีที่แตกต่างจากเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบใหม่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมฟอกหนังเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าสู่ BCG โมเดล เพื่อทำให้มลพิษลดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด” คุณสุวัชชัย กล่าวทิ้งท้าย

'บ.มะกัน' ชู 'อิฐดินเหนียว' พลังงานสีเขียวทางเลือกใหม่ เจาะภาคอุตสาหกรรม ชี้!! แค่ก้อนเดียว ก็เก็บพลังงานได้มากเท่าชุดแบตฯ Tesla Model X

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า ‘บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี’ (Rondo Energy) ในเมือง ‘อาลาเมดา’ (Alameda) รัฐ ‘แคลิฟอร์เนีย’ ได้มีการเสนอแนวคิด ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ เป็นทางเลือกใหม่ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและของโลก

‘จอห์น โอดอนเนล’ ซีอีโอ บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี อธิบายว่า “ภาคการผลิตใช้พลังงานของโลกมากที่สุด ความร้อนที่ใช้ในการผลิตสินค้า คิดเป็นหนึ่งในสี่ ของ (พลังงาน) ที่ได้จากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในโลก”

อีกทั้งยังมีความคิดเห็นว่า พลังงานหมุนเวียนจากลมและแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่ผลิตได้ไม่คงที่ จึงมีแนวคิดที่จะนำวัสดุที่ผู้คนต่างละเลยอย่าง ‘อิฐดินเหนียว’ มาทำหน้าที่เป็นแบตเตอรีกักเก็บความร้อน คล้ายกับโรงงานมีแผงลวดทำความร้อนแบบเครื่องปิ้งขนมปังฝังเอาไว้

โอดอนเนล เล่าย้อนว่า ดินเหนียวเหล่านี้เป็นวัสดุที่โลกใช้มานานกว่า 200 ปีแล้วถือว่า นำเอาวัสดุที่เคยเป็นที่นิยมจากยุค 80 มาใช้ผลิตในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับยุคปัจจุบันในศตวรรษที่ 21

สำหรับหลักการของ ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ นั้น ภายในจะมีลวดเหล็กในการสร้างและเหนี่ยวนำความร้อน ส่วนก้อนอิฐถูกออกแบบมาให้มีรูปทรงที่ซับซ้อนเพื่อกระจายความร้อนอย่างสม่ำเสมอและกักเก็บพลังงานไว้นานหลายวัน

พร้อมกันนั้น โอดอนเนลยังอธิบายเสริมว่า “อิฐ (ดินเหนียว) เพียงก้อนเดียว จะเก็บพลังงานได้มากเท่ากับชุดแบตเตอรีของ เทสลา โมเดล เอ็กซ์ (Tesla Model X)” ซึ่งในการสร้างคลังกักเก็บพลังงานหนึ่งจุด จะใช้อิฐดินเหนียวซ้อนกันประมาณ 3,000 ชิ้น

คลังกักเก็บความร้อนจากก้อนอิฐสามารถทำให้อากาศมีอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสซึ่งภาคธุรกิจสามารถนำความร้อนดังกล่าวไปใช้ได้ในการผลิตอาหาร เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้

ทั้งนี้ ผลงานแบตเตอรีดินเหนียวของบริษัท Rondo Energy ถูกนำไปใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2023 ที่โรงงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

โอดอนเนลกล่าวทิ้งท้ายว่า การทดแทนระบบเผาไหม้ด้วยการใช้พลังงานจากลมและแสงแดดจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถึงครึ่งหนึ่ง

ในเวลานี้ โรงงานฐานการผลิตขนาดใหญ่สำหรับแบตเตอรี่ก้อนอิฐตั้งอยู่ในประเทศไทย ขณะที่ บริษัทแห่งนี้มีแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ และกำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับบริษัท EDP ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ เพื่อจะทำหน้าที่จัดหาพลังงานความร้อนที่ไร้ก๊าซคาร์บอนให้กับภาคอุตสาหกรรมต่อไปด้วย

ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดพลังงานจากอิฐดินเหนียวธรรมดา ๆ นั้นอาจกำลังก้าวขึ้นมาเป็นความหวังของอนาคตของพลังงานสะอาดโลกครั้งใหม่ได้แล้ว

‘ผลวิจัย’ ชี้!! ‘เมือง-บริษัท’ กว่า 40% ทั่วโลก ยังนิ่งเฉย ไร้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(23 ก.ย. 67) เน็ต ซีโร่ แทร็กเกอร์ (Net Zero Tracker) กลุ่มความร่วมมือด้านการติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เปิดเผยว่า เมืองและบริษัทมากกว่า 40% ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

จากรายงานเผยอีกว่า แม้รัฐบาลและบริษัทจำนวนมากขึ้นให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) แต่ความตั้งใจดังกล่าวถูกเบี่ยงเบนจากสงคราม การเลือกตั้ง และความท้าทายทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นกับความเป็นจริง

กลุ่มวิจัยระบุว่า ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมนำเสนอเป้าหมายสภาพภูมิอากาศปี 2578 แก่สหประชาชาติ (UN) นั้น ผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลและบอร์ดบริหารของบริษัทต่าง ๆ กำลังพยายามเปลี่ยนเป้าหมายระยะยาวให้เป็นการดำเนินงานอย่างมีรูปธรรม แต่แผนการเปลี่ยนผ่านยังขาดความชัดเจนและรายละเอียด

รายงานดังกล่าวได้จากการสำรวจความมุ่งมั่นและแผนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จากประเทศต่าง ๆ 198 ประเทศ ส่วนภูมิภาค 706 แห่ง เมือง 1,186 เมือง และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกือบ 2,000 บริษัท โดยรายงานระบุว่า แม้จะมีบริษัท 1,750 แห่งจากทั้งหมดกว่า 4,000 แห่งให้คำมั่นอย่างเป็นทางการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ แต่ในขณะเดียวกัน พบว่า บริษัทเกือบ 1,700 แห่งยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายใด ๆ ไว้เลย ขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนไม่ถึง 60% ที่กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์เอาไว้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับรายงานของปีที่แล้ว โดยเฉพาะบริษัทจากเอเชียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เน็ต ซีโร่ แทร็กเกอร์ ระบุว่า จำนวนบริษัททั้งหมดที่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลงมาอยู่ที่ 495 แห่ง จาก 734 แห่งในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลา (Tesla) และบีวายดี (BYD) บริษัทเกมอย่างนินเทนโด (Nintendo) และบริษัทลงทุนอย่างบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway)

‘เต็ดตรา แพ้ค’ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ ชู ‘วัสดุ-เครื่องจักร-เทคนิค’ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ในอุตฯ อาหาร-เครื่องดื่ม

(26 ก.ย. 67) เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำด้านโซลูชันการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ อาหารชั้นนำของโลก ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของโซลูชันที่ยั่งยืนสำหรับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ ‘ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค’ ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับวิธีการที่ธุรกิจต่าง ๆ สามารถนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติใหม่มาใช้เพื่อพัฒนาการดำเนินงานและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของข้อกำหนดและกฎระเบียบด้านความยั่งยืน

สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรฐานระดับโลกในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ด้วยแนวทางที่ครอบคลุม โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และขยะบรรจุภัณฑ์ (PPWR) กฎระเบียบนี้ได้มีการกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันเรื่องขยะบรรจุภัณฑ์ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้บรรจุภัณฑ์ ส่งเสริมการใช้ซ้ำ การรีไซเคิล และตั้งข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในตลาดสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังเน้นการใช้แนวทางตามวงจรชีวิตของขยะบรรจุภัณฑ์และผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์  อีกด้วย

เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการแห่งชาติฉบับที่ 2 เกี่ยวกับแผนงานขยะพลาสติก 2022-2027 ประเทศไทยได้พัฒนาร่างพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยอิงตามหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) ซึ่งมุ่งหวังให้ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการนำบรรจุภัณฑ์กลับมาจัดการอย่างถูกวิธีโดยเน้นการนำบรรจุภัณฑ์มาแปรรูปใช้ใหม่ (รีไซเคิล) และการนำโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมาใช้ ในขณะเดียวกัน ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อความยั่งยืนก็มีเพิ่มมากขึ้น 

ข้อมูลล่าสุดจาก NielsenIQ เผยว่า 74% ของผู้บริโภคในประเทศไทยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่ผ่านมา  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต้องให้การสนับสนุนความพยายามในด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและยั่งยืนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย

งานสัมมนาออนไลน์ ‘ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค’ ในครั้งนี้ คุณแพรพร อมรภาณุพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านบรรจุภัณฑ์ และคุณปฏิญญา ศิลสุภดล ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด ได้บรรยายให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในการนำโซลูชันความยั่งยืนมาเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินงานเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่เกิดขึ้น รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับสากลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเชื่อมโยงกับการลดคาร์บอน การรีไซเคิล และการจัดการขยะ โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเต็ดตรา แพ้ค ในการช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยใช้แนวทาง 4 ขั้นตอนที่ครอบคลุม ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง การกู้คืนการใช้พลังงานและน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการทำให้กระบวนการผลิตเกิดความเป็นกลางทางสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เต็ดตรา แพ้คได้นำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรทั้ง 3 โซลูชันที่จะสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งในระดับประเทศและระดับสากล พร้อมรักษาความสามารถด้านการแข่งขันในระยะยาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ดังนี้

1.โซลูชันบรรจุภัณฑ์ของเต็ดตรา แพ้ค มีการจัดหาทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีความรับผิดชอบ โดยกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ได้รับการรับรองจากองค์การจัดการด้านป่าไม้ หรือ เอฟเอสซี (FSC™) อีกทั้ง บรรจุภัณฑ์ยังสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด และออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในขณะที่ยังคงมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์สูงสุด เต็ดตรา แพ้ค มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการแนะนำฝาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เพิ่มการใช้วัสดุที่ได้จากการรีไซเคิล และวัสดุที่เป็นทรัพยากรหมุนเวียนจากพืชที่ปลูกทดแทนได้ รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เต็ดตรา แพ้ค ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับ แบรนด์ Lactogal ประเทศโปรตุเกส ในการวางขายผลิตภัณฑ์ในกล่องเครื่องดื่มกล่องแรกของโลกที่ใช้ชั้นปกป้องทดแทนที่ผลิตจากเยื่อกระดาษ ซึ่งทำให้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุหมุนเวียนมากถึง 90% และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 33% 

2.โซลูชันการผลิตของเต็ดตรา แพ้ค มีโซลูชันการผลิตที่ล้ำสมัยซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพ ทั้งยังช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต เครื่องจักรได้รับการพัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องโฮโมจีไนเซอร์ของเต็ดตรา แพ้ค รุ่นใหม่ที่มีอายุการใช้งานของชิ้นส่วนอะไหล่เพิ่มเป็นสองเท่า ลดการใช้น้ำ และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% นอกจากนี้ยังมีเครื่องแยกไขมัน ที่ใช้เทคโนโลยี AirTight สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 40% และลดการใช้น้ำได้ถึง 20%

3.โซลูชันบริการทางเทคนิคของเต็ดตรา แพ้ค ให้บริการทางเทคนิคแบบครบวงจรโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงาน ตัวอย่างเช่น การประเมินและวางแผนการ บำรุงรักษาเครื่องจักรและการซ่อมบำรุง การให้บริการจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน ที่ช่วยผู้ผลิตตั้งแต่การวางแผนลดการใช้พลังงานและน้ำ รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและของเสียในโรงงานทั้งหมด ซึ่งช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

"เราเล็งเห็นว่าผู้บริโภคและหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ มีความตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ โซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้คได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน และในขณะเดียวกัน ก็ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" คุณปฏิญญา ศิลสุภดล ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน บริษัทเต็ดตรา แพ้ค ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าว

"โซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้คช่วยให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยสามารถเตรียมพร้อมสำหรับตลาดและกฎระเบียบต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยล่าสุดในงานสัมมนาออนไลน์ 'ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค' เราได้ให้ข้อมูลของโซลูชันแบบครบวงจร ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุหมุนเวียนที่ปลูกทดแทนได้ นวัตกรรมในการผลิต ตลอดจนการยกระดับความ สามารถในกระบวนการผลิต ที่จะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในตลาด" คุณแพรพร อมรภาณุพันธ์  ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทเต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

เต็ดตรา แพ้ค มุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านการดำเนินธุรกิจไปสู่แนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนอย่างราบรื่น และลดการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ยังพร้อมสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการตลาดและนวัตกรรมล่าสุดเพื่อตอบสนองต่อกฎระเบียบหรือข้อบังคับใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความมุ่งมั่นนี้สอดคล้องกับพันธกิจหลักของเต็ดตรา แพ้คในการส่งมอบบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืนที่สุดในโลก พร้อมนำนวัตกรรมมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารทั่วโลก เพื่อปกป้องอาหาร ผู้คน และโลกใบนี้

การสัมมนาออนไลน์ ‘ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค’ สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านทาง https://event.on24.com/wcc/r/4695197/FE405E93B45974992841C3B9AE595758 

‘ดร.ธรณ์’ ชี้ญี่ปุ่นพิสูจน์แล้ว ทำบ้านเมือง-ที่เที่ยวสะอาด มีวินัยจัดการน้ำใสไร้ขยะ นักท่องเที่ยวก็พร้อมกลับมา

(21 พ.ค. 68) ดร.ธรณ์ ธำรงนาาสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ว่า…

มองทางน้ำทิ้งไหลลงจากเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่นด้วยความสุขใจ น้ำใสๆ ไหลลงมาเจอน้ำใสๆ ไม่มีขยะหรือน้ำสีดำกลิ่นฟุ้งกระจาย นี่คือตัวอย่างดีเยี่ยมของการท่องเที่ยวยั่งยืน

ผมชอบขับรถเที่ยวภูเขาญี่ปุ่น เพราะป่าสีเขียวรอบด้านคือความสุขที่ได้รับ

ป่าไม้หลายแห่งมีสัมปทานการตัดไม้ มีระบบอย่างดีดูแลเป็นมาตรฐาน ไม่มีป่าแหว่งถูกถางเป็นไร่เลื่อนลอย ไม่มีควันไฟบนยอดเขา อากาศสดชื่นบริสุทธิ์

แม่น้ำใสไหลผ่านตัวเมืองในหุบเขา ไหลเข้าใสแค่ไหน ไหลออกใสแค่นั้น น้ำจากโรงแรมบ้านเรือนร้านอาหารถูกบำบัดอย่างเยี่ยมยอด ด้วยระบบที่ดีและผู้คนในท้องถิ่นที่ช่วยกัน

ขยะตัวเองดูแลด้วยตัวเองนะจ๊ะ ที่นี่หาถังขยะสาธารณะยากมาก คุณกินคุณใช้คุณสร้างขยะ คุณต้องรับผิดชอบต่อขยะของคุณ

ขณะที่บ้านเราเริ่มประสบปัญหานักท่องเที่ยวน้อยลง ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อม คนมาเที่ยวคนจ่ายตังค์ ย่อมอยากเห็นสิ่งที่สดใสเยียวยาจิตใจ ไม่ใช่มานั่งมองกองขยะริมทางหรือทำหน้าเศร้าดูน้ำสีดำ

เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับการท่องเที่ยวยุคต่อไป แต่เราคงไปไหนได้ไม่ไกล หากเราไม่คิดจะ 'เปลี่ยน' สภาพแวดล้อมของแหล่งเที่ยวเราให้ดีขึ้น

เราไปต่อไม่ได้ หากคิดเพียงแค่ 'เปิด' ที่เที่ยวใหม่ๆ มาให้คนถลุง

ซึ่งเหลืออีกไม่มาก ถลุงได้อีกหน่อยเดียว อีกไม่นานก็หมด

จึงอยากให้กำลังใจชุมชนท่องเที่ยวทั้งหลาย พยายามปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมด้วยตัวเอง เป็นไข่มุกเปล่งประกายท่ามกลางก้อนกรวด ไข่มุกจะยิ่งงดงามและดูดีมีราคา ทำได้/ไม่ได้ไม่ทราบ แต่ทราบว่าถ้าทำได้ การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าจะเกิดอย่างแท้จริงครับ

‘จีน’ เปิดตัวแผงโซลาร์เซลล์กลางทะเลแบบยึดเสาเข็มแห่งแรก ผลิตไฟฟ้าได้ 400 เมกะวัตต์ ลดคาร์บอนได้กว่า 5 แสนตันต่อปี

(5 มิ.ย. 68) จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบยึดเสาเข็มกลางทะเลเป็นแห่งแรกของประเทศ โดยตั้งอยู่ที่เมืองจาวหย่วน มณฑลซานตง ดำเนินการโดยบริษัท CGN New Energy Holdings มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเต็มระบบ 400 เมกะวัตต์ และเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบแล้วเมื่อ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา

ตลอดทั้งปี โครงการนี้จะผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ย 694 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ลดการใช้ถ่านหินได้กว่า 2 แสนตัน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 5.35 แสนตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้บนพื้นที่กว่า 9,700 ไร่ โครงการนี้ตั้งอยู่ในทะเลลึก 8.5–11 เมตร ห่างจากฝั่ง 2–6 กิโลเมตร และครอบคลุมพื้นที่ทะเลกว่า 3,200 ไร่

ความท้าทายของสภาพแวดล้อมทางทะเล อาทิ หมอกเกลือ ลมแรง และกระแสน้ำ ทำให้ต้องใช้วัสดุและเทคโนโลยีขั้นสูงในการพัฒนาโครงการ โดยบริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะ 3 ด้าน ได้แก่ แผงโซลาร์เซลล์เฉพาะทาง โครงสร้างฐานเสาเข็ม และระบบการตอกเสาในทะเล พร้อมสร้างเรือตอกเสารุ่นใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 5 เท่า

โครงการนี้ประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้า 121 ชุด เชื่อมต่อกับสถานีไฟฟ้าบนฝั่งผ่านระบบสายส่งขนาด 35 กิโลโวลต์ รวม 16 วงจร ความสำเร็จของโครงการนี้ถือเป็นต้นแบบสำคัญที่สามารถขยายผลไปสู่โครงการพลังงานสะอาดอื่นในพื้นที่ชายฝั่งของจีนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top