Sunday, 20 April 2025
ภาษีสหรัฐ

ทรัมป์สั่งขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% กระทบทุกประเทศ มีผลบังคับใช้ 4 มี.ค. จ่อดันต้นทุนสินค้าสหรัฐแพงขึ้น

(11 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลกเป็น 25% โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับประเทศใด ซึ่งมาตรการนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง

ทำเนียบขาวระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้า อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการนี้อาจจุดชนวนให้เกิดข้อพิพาททางการค้ากับนานาประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ของโลก

แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังต้องนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในปริมาณมากจากประเทศอย่างแคนาดา เม็กซิโก และบราซิล แต่มาตรการนี้จะทำให้การนำเข้าสินค้าดังกล่าวมีต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ ในอดีต สหรัฐฯ เคยกำหนดภาษีนำเข้าเหล็กจากจีนในอัตราเพิ่มเติม 25% และภาษีอะลูมิเนียม 10% ตั้งแต่สมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง และอัตราภาษีดังกล่าวยังคงมีผลต่อเนื่องในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั่นหมายความว่า การนำเข้าเหล็กจากจีนในปัจจุบันต้องเผชิญภาษีรวมไม่ต่ำกว่า 50% และไม่น้อยกว่า 25% สำหรับอะลูมิเนียม

แม้ว่ามาตรการภาษีจะมุ่งเป้าไปที่จีน แต่ในความเป็นจริง จีนไม่ได้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมมายังสหรัฐฯ โดยตรงเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่มักถูกส่งไปแปรรูปในประเทศที่สามก่อนเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

แน่นอนว่าการขึ้นภาษีจะส่งผลให้ราคาเหล็กและอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อผู้ผลิตที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้ ขณะที่ผู้บริโภคปลายทางอาจต้องแบกรับราคาสินค้าที่แพงขึ้นตามไปด้วย

แม้ว่ามาตรการนี้จะถูกบังคับใช้กับทุกประเทศ แต่ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณว่า อาจพิจารณายกเว้นภาษีให้กับออสเตรเลียเป็นกรณีพิเศษ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ

ทรัมป์ยังเปิดเผยว่า เขากำลังพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้ายานยนต์ ยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงชิปคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจขยายวงกว้างของความตึงเครียดทางการค้ากับพันธมิตรหลายประเทศ เมื่อนักข่าวถามถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจเผชิญมาตรการตอบโต้จากนานาประเทศ ทรัมป์ตอบสั้น ๆ ว่า “ผมไม่สนใจ”

ทรัมป์เผยหลายประเทศแห่โทรหาพร้อมยื่นข้อเสนอ วอนขอทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ หลังรัฐบาลเดินเกมกดดันสำเร็จ

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 เม.ย. 68) ว่า ผู้นำจากหลายประเทศกำลังพยายามทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประกาศภาษีศุลกากรใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในเช้าวันพุธ (9 เม.ย. 68)

โดยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำของคณะกรรมการรัฐสภาพรรครีพับลิกันแห่งชาติ ทรัมป์กล่าวถึงการตอบสนองจากผู้นำต่างประเทศว่า

“ผมบอกคุณได้เลยว่า ประเทศเหล่านี้กำลังโทรมาหาผม พร้อมมาจูบก้นผม พวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะทำข้อตกลง แล้วพูดว่าได้โปรด ได้โปรดท่าน ทำข้อตกลงเถอะ ผมจะทำให้ทุกอย่างครับท่าน” 

คำพูดของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวในการต่อรองการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับ จีน ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาษีที่มีอัตรา 104% สำหรับสินค้านำเข้าบางประเภท ขณะที่ ประเทศอื่นๆ รวมทั้ง สหภาพยุโรป กำลังเผชิญกับภาษีที่สูงถึง 50%

สำหรับการขึ้นภาษีนี้มีเป้าหมายไปที่สินค้าที่หลากหลายประเภทจากทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิด สงครามการค้าระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ทั่วโลก โดยเมื่อมาตรการภาษีใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้ ตลาดหุ้นในเอเชีย ได้ร่วงลงอย่างหนัก โดย ดัชนีนิเคอิ ของญี่ปุ่นร่วงลงกว่า 5% ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกง และดัชนีเวทเตทไต้หวัน ร่วงลงมากกว่า 4% และ 5% ตามลำดับ

ในสุนทรพจน์เดียวกัน ทรัมป์ยังได้เปิดเผยแผนการเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับการนำเข้า ผลิตภัณฑ์ยา โดยกล่าวว่า

“เราจะจัดเก็บภาษียาของเรา และเมื่อเราทำเช่นนั้น ยาเหล่านั้นจะรีบไหลกลับเข้ามาในประเทศของเราอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเราเป็นตลาดขนาดใหญ่”

มาตรการภาษีนี้สะท้อนถึงการพยายามควบคุมตลาดยาในประเทศและการรักษาผลประโยชน์ภายในประเทศ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อราคายาและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์สำหรับประชาชนก็ตาม

จีนยื่นร้องเรียน WTO กรณีสหรัฐฯ ขึ้นภาษี 125% ชี้ละเมิดกฎการค้า พร้อมประณามมะกันมีพฤติกรรม ‘กลั่นแกล้ง-รังแก’

(10 เม.ย. 68) รัฐบาลจีนยื่นเรื่องร้องเรียนฉบับใหม่ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) หลังสหรัฐฯ ประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 50% กับสินค้านำเข้าจากจีน โดยถือเป็นการยกระดับมาตรการ 'ภาษีตอบโต้' ที่เคยประกาศใช้มาก่อนหน้านี้

โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า มาตรการภาษีล่าสุดของสหรัฐฯ นั้น “ละเมิดกฎเกณฑ์ของ WTO อย่างร้ายแรง” และถือเป็น “ความผิดพลาดมหันต์ที่ต่อยอดจากความผิดพลาดเดิม” พร้อมทั้งประณามว่าสหรัฐฯ มีพฤติกรรมที่ 'กลั่นแกล้งและรังแก' โดยดำเนินการอย่างลำพังฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงกติกาสากล

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนหลายสิบประเทศเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งรวมไปถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึงร้อยละ 125 ส่งผลให้สงครามการค้าโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทรัมป์กล่าวว่าภาษีศุลกากรมีความจำเป็นเพื่อยุติการขาดดุลการค้าครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ กับหุ้นส่วนทางการค้าหลายราย โดยจีนเป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุด

จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84 เปอร์เซ็นต์ จาก 34 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สหภาพยุโรปจะเปิดตัวมาตรการตอบโต้ครั้งแรก โดยส่วนใหญ่จะมีอัตราภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ ในสัปดาห์หน้า

“แม้ว่าจีนจะคัดค้านสงครามการค้า แต่จีนจะปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนอย่างมั่นคง” จีนกล่าวในแถลงการณ์ต่อสมาชิก WTO ระหว่างการประชุมว่าด้วยการค้าสินค้า

บรรดาสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) จำนวน 20 ประเทศ รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ สหภาพยุโรป และแคนาดา ต่างออกแถลงการณ์ร่วมในที่ประชุม WTO ซึ่งจัดขึ้นที่นครเจนีวาในวันพุธ แสดงความวิตกกังวลต่อผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง

สมาชิกองค์การการค้าโลกหลายประเทศแสดงจุดยืนต่อที่ประชุมในเจนีวา โดยมีบางรายระบุว่ามาตรการภาษีตอบโต้ซึ่งกันและกันของสหรัฐฯ ขัดต่อหลักการพื้นฐานของ WTO และอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก เจ้าหน้าที่การค้าประจำเจนีวาเผยว่า สมาชิกบางประเทศชี้ว่า การขึ้นภาษีดังกล่าวจะผลักดันต้นทุนให้เพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม บั่นทอนห่วงโซ่อุปทาน และสร้างผลกระทบต่อทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ขององค์การการค้าโลกเปิดเผยต่อสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า คำร้องเรียนล่าสุดของจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งยื่นเมื่อวันพุธ เป็นการดำเนินการแยกต่างหากจากคำขอปรึกษาหารือทวิภาคีที่จีนได้ยื่นไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา

สำหรับการยื่นคำขอปรึกษาหารือถือเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการยุติข้อพิพาทภายใต้กรอบของ WTO โดยเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างเป็นมิตรภายในระยะเวลา 60 วัน หากการเจรจาไม่บรรลุผล จีนสามารถยกระดับข้อพิพาทโดยยื่นคำร้องต่อหน่วยงานระงับข้อพิพาทของ WTO เพื่อให้มีการตั้งคณะผู้พิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ

‘นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง’ เรียกผู้เชี่ยวชาญหารือด่วน เตรียมต่อกรกับภาษีทรัมป์ ย้ำผู้ประกอบการปรับตัวตามสถานการณ์ เป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนเดินหน้าต่อไป

(10 เม.ย. 68) นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง ของจีนได้เป็นประธานการประชุมสัมมนากับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึงแผนการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึงความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมภายนอก และหาทางเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจจีน โดยผู้เข้าร่วมได้เสนอแนะแนวทางในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ รวมทั้งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับความยากลำบากจากปัจจัยภายนอก แต่ผู้เข้าร่วมประชุมต่างเห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีจุดแข็งหลายประการ อาทิ ความยืดหยุ่นที่แข็งแกร่งและศักยภาพมหาศาลในการฟื้นตัว

นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงกล่าวว่า แม้ปีนี้จะมีสถานการณ์พิเศษและการท้าทายต่างๆ แต่จีนสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงและสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนด้วยความสงบที่มั่นคง พร้อมทั้งสามารถรักษาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีได้

นายกรัฐมนตรีจีนยังกล่าวเสริมว่า จีนจะใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการทำงานด้านเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพในไตรมาสที่สองและในอนาคต โดยจะดำเนินนโยบายมหภาคเชิงรุกมากขึ้น รวมถึงนำนโยบายใหม่ๆ มาใช้เมื่อสถานการณ์เหมาะสม

นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงการขยายอุปสงค์ภายในประเทศเป็นกลยุทธ์ระยะยาว และกระตุ้นความมีชีวิตชีวาของธุรกิจทุกรูปแบบอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง มีความหวังว่าผู้ประกอบการจะปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง และขับเคลื่อนการเติบโต รวมถึงเสริมสร้างและยกระดับวิสาหกิจของตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top