Sunday, 20 April 2025
ฟ้องร้อง

พิธีกรท็อปนิวส์โล่ง!! ไม่ต้องทำงานจ่ายคดีแพ่ง 3 ล้านบาท หลัง 'ธนาธร' ฟ้องปิดปาก ประเด็นอยากเป็นมากกว่านายกฯ

(6 ต.ค.66) เฟซบุ๊ก ‘ต๊อบ วุฒินันท์ นาฮิม’ ของนายวุฒินันท์ นาฮิม ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวท็อปนิวส์ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ระบุว่า…

"วันนี้ผมและท่านอาจารย์เสรีไปศาลอาญา เพื่อรับฟังคำพิพากษาของศาล ก่อนไปก็มีคนถามพวกเราว่าเป็นกังวลอะไรไหม ผมได้แต่ยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ ส่วนท่านอาจารย์ตอบว่า ไม่ได้กังวลอะไร เพราะว่าตอนมีการสืบพยาน เราก็ตั้งข้อสังเกตว่าทางฝ่ายเขาพูดอะไร ทางฝ่ายเราพูดอะไร เราคิดว่าหลักฐานของเราแน่นกว่า

พอไปถึงที่ศาล สิ่งแรกที่ทำเพื่อความสบายใจก็คือ ไปกินอาหารร้านโปรดที่โรงอาหาร บังเอิญไปเจอคุณสิระ เจนจาคะ ซึ่งโดน พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส ฟ้อง

สงสารท่านอาจารย์ขึ้นบันไดศาล หัวใจเต้นเป็นจังหวะแดนซ์ขึ้นไปถึง 100 กว่า ให้ อ.เสรี ยืนพักแล้วไปต่อถึงห้องพิจารณาคดี

พอเข้าไปนั่งรอได้สักพักท่านผู้พิพากษาจึงขึ้นนั่งบัลลังก์พร้อมกัน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 7 นาที ผลการตัดสินแบ่งเป็นสองส่วน

1. ศาลท่านพรรณนาว่าโจทก์ฟ้องเราว่ากระไร ข้อความส่วนใหญ่หาว่าเราหมิ่นประมาทเขาทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังเสียชื่อเสียง

2. ท่านผู้พิพากษาพิจารณาลงความเห็นว่า ผมและอาจารย์เสรีนำข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์และออฟไลน์มาวิเคราะห์วิพากษ์กันด้วยใจสุจริต ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ ซึ่งตรงนี้ศาลพินิจพิเคราะห์แล้วก็บอกว่าสิ่งที่เราทำนั้น ประชาชนทั้งหลายที่จงรักภักดีจะมีความห่วงใย เคลือบแคลงพฤติกรรมของเขาที่ผ่านมา

ดังนั้นจึงถือว่าเราเป็นสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์คนซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นหัวหน้าพรรค แล้วตอนนี้ก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าคณะ เป็นการกระทำโดยสุจริต ศาลจึงยกฟ้อง

ผมและอาจารย์มองตรงกันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยเรายังเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ตลอดไป เพราะว่าเป็นการพินิจพิเคราะห์กันด้วยข้อเท็จจริงมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ครับ ขอใช้พื้นที่นี้สื่อสารไปยังทุกท่าน ขอบพระคุณ อ.บอย ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และน้องวาเลนไทน์ อดีตโปรดิวเซอร์รายการเปิดเนตร และเรื่องลับมาก มาเป็นพยานให้เรา กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจ

หวังว่าคงไม่ต้องทำงานใช้หนี้หาเงิน 3 ล้านไปจ่ายคดีแพ่งแล้ว"

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ในกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และนายวุฒินันท์ นาฮิม ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นฯ จากกรณีที่ทั้งสองได้ร่วมพูดคุยกัน ในรายการ ‘เปิดเนตร’ หัวข้อ เป้าประสงค์ชัด ‘ธนาธร อยากเป็นมากกว่านายกฯ’ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันยูทูบ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2564

โดยศาลเห็นว่า นายธนาธร โจทก์ได้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมให้ปรากฏต่อสาธารณะ โดยเคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่าง ๆ ร่วมเสวนา และยังโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในทำนองว่า การให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อให้อยู่เหนือการเมือง อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อำนาจบทบาทของสถาบันฯ ต้องสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย ปฏิรูปเพื่อให้สถาบันดำรงอยู่คู่สังคมประชาธิปไตย และโจทก์เคยเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้ เมื่อโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎร โจทก์เคยอภิปรายเกี่ยวกับงบประมาณในหน่วยงานส่วนพระองค์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ที่แสดงออกผ่านทางตัวโจทก์สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย และทำให้ประชาชนคิดไปได้ว่า เหตุใดโจทก์ ซึ่งเคยเป็น สส.และเป็นบุคคลสาธารณะถึงต้องการปฏิรูปสถาบันฯ อันเป็นสถาบันสูงสุดของประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการพูดคุยในรายการของจำเลยทั้งสอง เป็นเพียงการนำข้อมูลของโจทก์ที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ การอภิปรายของโจทก์ในที่ต่าง ๆ และหนังสือของโจทก์ มาวิเคราะห์การกระทำ ซึ่งมีลักษณะส่อไปในทางที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันทราบถึงข้อมูลและพฤติกรรมของโจทก์

จึงนับว่าการกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงการจัดรายการในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนคนหนึ่งวิเคราะห์ข้อมูลไปตามเนื้อข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ เป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อสื่อสารถึงการกระทำของโจทก์ไปยังประชาชนที่เคารพสถาบันฯ เท่านั้น ถ้อยคำและข้อความที่จำเลยทั้งสองหมิ่นประมาทโจทก์ จึงเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยซึ่งบุคคลหรือ ประชาชนย่อมกระทำได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) พิพากษายกฟ้อง

เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด!! ‘อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์’ ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย จากอุบัติเหตุรถชน ทำคู่กรณีหญิง ‘พิการอย่างถาวร’

หลายคนคงรู้จัก ‘Arnold Schwarzenegger’ นักแสดงชื่อดังก้องโลกจากผลงาน Terminator หรือคนเหล็ก ซึ่ง ‘Arnold Schwarzenegger’ ถูกฟ้องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเดือนมกราคม 2022 และมีรายงานว่าเขาทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ‘พิการอย่างถาวร’ 

ในเอกสารของศาลระบุว่า Cheryl Augustine อ้างว่า เธอกำลังขับรถใกล้สี่แยก Sunset Boulevard และ Allenford Avenue ในนครลอสแองเจลิส ตอนที่เธอถูกรถของ Schwarzenegger ชน 
 

คดีดังกล่าวถูกฟ้องในศาลของนครลอสแองเจลีส Arnold Schwarzenegger ถูกตัดสินว่าขับรถ 'โดยประมาทและประมาทเลินเล่อ' ส่งผลให้ Cheryl Augustine ได้รับบาดเจ็บ มีอาการช็อกและบาดเจ็บต่อระบบประสาท และอาการบาดเจ็บของเธอ ส่งผลให้เธอมีอาการทุพพลภาพถาวรโดยสิ้นเชิง
 

รายละเอียดของคดีความยังอ้างอีกว่า หญิงสาวรายนี้ไม่สามารถทำงานได้นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ต้องรับ

ผิดชอบเอง รถยนต์ของเธอเสียหาย รวมทั้งเหตุอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ค่ากระเป๋าที่ไม่ได้ระบุจำนวนเงิน และตอนนี้เธอกำลังเรียกร้องค่าเสียหายจากพระเอกคนเหล็ก เพื่อชดเชยค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายต่อทรัพย์สินของเธอ 

อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุที่เป็นสาเหตุของการฟ้องร้องนี้ เกิดขึ้นเกือบสองปีที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2022 ตอนที่ Schwarzenegger กำลังขับรถ Yukon SUV บนถนนห่างจากบ้านของเขาประมาณครึ่งไมล์ 

จากรายงานข่าวระบุว่ารถ SUV ของ Schwarzenegger ชนกับรถ Prius สีแดง เมื่อเวลาประมาณ 16.35 น. ของบ่ายวันนั้น แหล่งข่าวบอกว่า Schwarzenegger ได้เลี้ยวซ้ายก่อนที่ลูกศรเลี้ยวซ้ายที่ไฟจราจรจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แต่ไม่มีการจับกุม และตำรวจไม่เชื่อว่ามีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง 
.
นอกจากนี้ ภาพจากที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นรถยนต์ขนาดใหญ่คันหนึ่งอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถ Prius ที่พังยับเยิน พยานยังอ้างอีกว่า พวกเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะก่อนที่เธอจะถูกพาไปโรงพยาบาล 
 

คดีความลักษณะนี้เป็นที่ชื่นชอบของทนายความในสหรัฐฯ เพราะคดีไม่ได้ยากหรือซับซ้อนมากนัก และสามารถฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยได้เป็นจำนวนสูงมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อคู่กรณีอ้างว่า ได้รับอุบัติเหตุจนมีอาการทุพพลภาพถาวรโดยสิ้นเชิง 

แต่ทาง Schwarzenegger น่าจะทำประกันรถยนต์ของเขาเอาไว้ และทนายของบริษัทประกันต้องต่อสู้รักษาผลประโยชน์ของบริษัทประกันอย่างสุดฤทธิ์เช่นกัน 
 

'ถวิล' ยื่นเรื่องถึงอัยการสูงสุดให้อุทธรณ์ ฟ้อง 'ยิ่งลักษณ์' คดีโยกย้ายไม่เป็นธรรม

(23 ม.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายถวิล เปลี่ยนศรี สว.อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ทำจดหมายด่วนที่สุดถึงอัยการสูงสุด ลงวันที่ 23 ม.ค. เพื่อขอให้อัยการสูงสุด ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะจำเลย ในการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อ 26 ธ.ค. 2666

โดยระบุถ้อยคำในจดหมายว่า ตนในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาที่ได้ยกฟ้อง ทั้งที่พยานหลักฐานที่อัยการนำเข้าสืบต่อศาลนั้นมีความชัดเจนว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำผิดจริง รวมถึงตนเห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำความผิดตามฟ้อง

“ข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์ให้ อัยการสูงสุด ฐานะโจทก์ ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าว ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่หากท่านไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันเวลา ก็ขอให้ท่านยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปเพื่อยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ในอันที่จะให้คดีที่อ้างถึงข้างต้นถึงที่สุดตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป” นายถวิล ระบุ

'พอลล่า ชูการ์ต' ออกแถลงเป็นภาษาไทย ประกาศฟ้อง 'แอน จักรพงษ์' หลังถูกกล่าวหาฉ้อโกง ลั่น!! เป็นการลดทอนคุณค่าผู้ครองมงกุฎที่ผ่านมา

(19 ก.พ.67) แฟนนางงามช็อก หลังจากที่ ‘พอลล่า ชูการ์ต’ อดีตประธานองค์กรมิสยูนิเวิร์ส ได้ออกแถลงการณ์เป็นภาษาไทยผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ฟาดกลับกรณีที่ถูก ‘แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป กล่าวหาฉ้อโกง รับสินบน พร้อมเตรียมดำเนินคดีกลับ ข้อความระบุว่า

“หลังจากที่ดิฉันได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานองค์กรมิสยูนิเวิร์สเมื่อเดือนพฤศจิกายน ดิฉันเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรมิสยูนิเวิร์ส พร้อมยังยินดีที่จะช่วยเหลือทางองค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยคำแนะนำ คำชี้แนะ จากประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลาอันยาวนาน

ดิฉันจำเป็นที่จะต้องออกมาแถลงในครั้งนี้ เพราะทางเจ้าขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ได้กล่าวหาดิฉันด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ และทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วดิฉันเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดพวกนั้น แต่การกล่าวหาว่าดิฉันฉ้อโกงและรับอามิสสินจ้างเพื่อให้ประเทศใดประเทศหนึ่งได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สในการประกวดมิสยูนิเวิร์สแต่ละปี

คำกล่าวนี้ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการหมิ่นประมาทในตัวดิฉันเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดทอนคุณค่าของผู้หญิงทุกคนที่ได้ครองมงกุฎมิสยูนิเวิร์สที่ผ่านมาทั้งหมดว่าพวกเธอนั้นเป็นมิสยูนิเวิร์สที่ซื้อตำแหน่งมาโดยไม่ได้เข้าสู่ระบบของการประกวดอย่างเป็นธรรม

ดิฉันไม่สามารถยอมรับคำกล่าวหาที่รุนแรงอย่างไร้การยังคิดเยี่ยงนี้ได้ เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการดูถูกความเป็นมิสยูนิเวิร์สและผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ดิฉันเตรียมดำเนินการทางกฎหมายในประเทศไทย ถึงแม้ว่าการดำเนินการทางกฎหมายของดิฉันจะเป็นเพียงแค่หนึ่งคดีของการฟ้องร้องจากหลาย ๆ คดีที่ผู้บริหารสูงสุดของ บริษัทเจเคเอ็น (LKN) กำลังเผชิญอยู่ก็ตาม

แต่การออกมาประกาศความจริงและประณามต่อข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ คือ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปกป้องมิสยูนิเวิร์สและชื่อเสียงขององค์กร ก่อนที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมในราชอาณาจักรไทยต่อไป และฉันขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมด

ดิฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปร่วมในข้อถกเถียงข้อโต้แย้งทางสื่อโซเชียล ทุกคนที่รู้จักดิฉันดีย่อมรู้ความจริงทั้งหมดและสิ่งที่ดิฉันยืนหยัดอย่างมั่นคงมาโดยตลอด ดิฉันขอให้ประสบการณ์ทั้งหมดของดิฉันที่ทำงานร่วมกับผู้หญิงที่น่าชื่นชมทั่วโลกเหล่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนและเนื้อแท้ในตัวดิฉันเอง”

‘ป้าปูนา’ เดินหน้าฟ้อง ‘จั๊กกะบุ๋ม’ หลังเบี้ยวหนี้-ไร้ท่าทีสำนึก ย้ำ!! หากมาขอโทษก็สายไป พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมา

(3 เม.ย.67) นางรชต คำรอด อายุ 45 ปี หรือป้าปูนา เจ้าของธุรกิจปูนาฟ้าใส พระราม 2 เปิดใจถึงกรณีที่ถูกดาราตลกชื่อดัง จั๊กกะบุ๋ม เบี้ยวหนี้ ไม่ยอมจ่ายค่าปูนากว่า 300,000 บาท

โดย ป้าปูนา กล่าวว่า หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานและจบรายการโหนกระแสแล้ว อีกฝ่ายไม่มีท่าทีอยากจะขอโทษเราจากใจจริงเลย ไม่มีท่าทีที่สำนึกผิด เมื่อกลับมาที่บ้านก็ปรึกษากับครอบครัวและทนายความส่วนตัวที่เข้ามาช่วยเหลือ มีความเห็นตรงกันว่าจะฟ้องร้องแน่นอน ถึงแม้ว่าหากหลังจากนี้อีกฝ่ายจะมาขอโทษและขอโอกาส มองว่ามันสายเกินไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เราให้โอกาสคุณตลอด

“วินาทีที่เราพูดในรายการโหนกระแสว่าจะยกหนี้เกือบ 300,000 ให้นั้น เชื่อว่าคนที่ดูรายการอยู่ตอนนั้น คงรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะว่าอีกฝ่ายประดิดประดอยคำพูดตลอด พยายามพูดให้ตัวเขาไม่ผิด และสถานการณ์ในตรงนั้นกดดันมาก ๆ จึงพูดแบบนั้นออกไป

“คุณให้สัมภาษณ์ว่าจ่ายหนี้รายวัน วันละ 40,000 บาท ทำไมถึงไปให้ความสำคัญกับเจ้าหนี้ขนาดนั้น ถ้าเขาเรียงลำดับความสำคัญให้ดี 40,000 ที่จ่ายรายวันไป ก็สามารถลดทอนมาเจ้าละ 500 บาทก็ได้ ซึ่งทยอยนำเงินมาให้แม่บ้างก็ได้ เพราะว่าความเดือดร้อนของแต่ละคนต่างกัน อย่างของแม่ ตอนที่ไม่มีก็ไม่มีเงินซื้อขนม 1 ห่อให้ลูกที่บ้านเลย อย่าเอาภาระของคุณไปโยนให้กับเจ้าหนี้ เพราะเจ้าหนี้บางคนภูมิต้านทานไม่เท่ากัน กรณีแม่ยังมีครอบครัว แต่บางคนอาจจะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือเป็นคนที่โดดเดี่ยว อาจจะรับความกดดันนี้ไม่ไหว อีกฝ่ายจะยังสำนึกผิดอยู่ไหม” นางรชต กล่าว

ป้าปูนา กล่าวว่า ไม่อยากฝากบอกอะไรถึงอีกฝ่ายแล้ว เพราะขั้นตอนต่อไปอยู่ในกระบวนการของศาลแล้ว เรายืนยันว่าจะฟ้องร้องแน่นอน พร้อมพูดถึงอีกฝ่ายว่า ขอให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตไม่ให้แย่ลงไปมากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งเข้ามา ทำให้เหมือนเสียชีวิตที่ก่อนหน้านี้หรือกำลังจะจมน้ำ ตอนนี้สามารถหายใจขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตนสัญญาว่าหากกลับมายืนได้อย่างมั่นคงแล้ว จะส่งต่อสิ่งดี ๆ พวกนี้ให้กับคนที่ไม่ได้รับโอกาสนั้น

‘ทนายอนันต์ชัย’ นำทัพ บุกแจ้งความ ‘กลุ่มเชื่อมจิต’ เอาผิดอีก 6 ข้อหา หลังไลฟ์ขู่!! จะเอาพวกตนติดคุก

(25 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงาน ความคืบหน้าล่าสุด ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย นางชลิดา พะละมาตย์ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ได้เดินทางเข้ามาเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิตเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย 1.เด็กเชื่อมจิต 2.กลุ่มแอดมิน จำนวน 60 คน และ 3.ทนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความของกลุ่มเชื่อมจิต

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า สำหรับวันนี้ที่ตนเดินทางมาเพราะต้องการแจ้งความเอาผิดกับเด็กเชื่อมจิต, ทนายธรรมราชและแอดมิน 60 คน โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีใครแจ้ง แต่เมื่อวานนี้ทางเด็ก เชื่อมจิตได้มีการไลฟ์สดเปิดหน้า และได้มีการขู่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีและให้พวกเราติดคุก ในวันนี้ตนจึงนำหลักฐานต่าง ๆ มาเอาผิดทางกลุ่มเชื่อมจิตรวมทั้งสิ้น 6 ข้อหา คือ ตามพ.ร.บ.คอมฯ / ประมวลกฎหมายอาญา ม.341,343,83,84,86,90,91 / พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน / พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร มาตรา 5 และมาตรา 8 / พ.ร.บ. ควบคุมการขอทาน มาตรา 13 / และประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (8), 37 ทวิ / เอาผิดเด็กเชื่อมจิต ทั้งหมด 19 กรรม

‘ทั้งนี้แม้กฎหมายระบุว่าเด็กกระทำผิดไม่ต้องรับโทษ แต่หากมีการตรวจสอบและพบว่าพ่อแม่ของเด็กกระทำผิด ก็จะต้องมีหน่วยงานเข้ามาควบคุมและแยกตัวของผู้ปกครองออกจากเด็ก โดยจะต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ พม.’

'Clean Politic' เตรียมยื่นไต่สวนฉุกเฉิน ปมรับรอง สว.ไม่ตรงปก ด้าน 'จรูญ หยูทอง' หนึ่งในผู้สมัครฯ พร้อมร่วมแฉการเลือกหนนี้

(28 มิ.ย. 67) นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ เลขาธิการกลุ่ม Clean Politic เปิดเผยว่า ตนเตรียมยื่นศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 1 กรกฎาคม เวลา 10.00 น.เพื่อขอให้ศาลเปิดไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราวการประกาศรับรองผลการเลือกสว.ไม่ตรงปก หวั่นการเมืองสภาสูง เสียศูนย์ยิ่งกว่าสภาผัวเมีย 

นายจาตุรันต์ กล่าวว่า “จากการติดตามข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์ตรงในการเลือก สว. น่าจะเป็นการเลือกที่สกปรกทางการเมืองครั้งหนึ่ง ผู้สมัครกรอกประวัติอาชีพ ไม่ตรงกลุ่มก็มี กกต.ปล่อยมาได้อย่างไร และจากมีกลุ่มก้อนทางการเมืองเข้ามาจัดการ”

นายจาตุรันต์ กล่าวอีกว่า “อยากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สร้างประวัติศาสตร์เร่งกู้ศักดิ์ศรี ความเชื่อมั่นต่อองค์กร ด้วยการสั่งฟันว่าที่สว.นกแล เหตุเส้นทางเชื่อมโยงพรรคการเมืองชัดเจน รวมถึงผู้สมัครแจ้งประวัติอาชีพกับกลุ่มที่สมัครไม่ตรงกัน ส่อเจตนาบางประการ”

“อยากให้ตรวจสอบบัญชีธนาคารรายรับรายจ่ายของผู้สมัครตั้งแต่กระบวนการสมัครจนถึงหลังเลือกระดับประเทศ มั่นใจกกต.มีหลักฐานเด็ดอยู่ที่ว่าจะกล้าใช้อำนาจทางที่ชอบหรือไม่”

นายจาตุรันต์ กล่าวอีกว่า “การเลือก สว.คราวนี้เต็มไปด้วยกลยุทธ์ หักเหลี่ยม เฉือนคม โกหก หลอกลวง หักหลังกันอย่างน่าเกลียด น่ากลัว แล้วถ้า สว.เป็นอย่างนี้ นึกไม่ออกว่าชาติบ้านเมืองจะเดินไปอย่างไร

จาตุรันต์ บอกว่า ไม่ได้มีเจตนาด้อยค่าอาชีพผู้สมัครท่านใดท่านหนึ่งหรอก แต่การเข้าไปทำหน้าที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติโดยตรง แล้วเป็นตำแหน่งที่กินเงินภาษีของพี่น้องประชาชน เรามีสิทธิ์ตรวจสอบที่มา ยิ่งถ้าได้คนที่ไร้วุฒิภาวะและขาดความรู้ขาดประสบการณ์ ในด้านนั้นจริงๆ นึกภาพไม่ออกครับประเทศชาติจะเป็นอย่างไร สุดท้ายการพิจารณากฎหมายก็ดีแต่งตั้งองค์กรอิสระก็ดีจะถูกสั่งซ้ายหันขวาหันจากพรรคหรือบุคคลเบื้องหลังที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองได้จัดตั้งเข้าไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสว.ต้องเป็นอิสระเป็นกลางปราศจากการครอบงำทางการเมือง ด้วยเหตุนี้”

“ผมในฐานะผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งทั้งเป็นอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาปี 67 ในครั้งนี้ และเสียหายโดยตรงอีกทางหนึ่งก็คือเป็นประชาชนผู้เสียภาษีเพื่อเป็นเงินประจำตำแหน่งให้กับสมาชิกวุฒิสภาและผู้ช่วยอีก 8 คนในชุดนี้”

“จึงขอให้ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองการประกาศรับรองผลสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งคาดว่ากกตจะประกาศรับรองในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ออกไปก่อน”

“เพราะผมไม่ไว้วางใจว่าสมาชิกวุฒิสภาบางท่านในจำนวน 200 คนนี้ ให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาอันทรงเกียรติ ให้ปราศจากการครอบงำของบุคคลที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังทางการเมืองได้อย่างไร”

ในขณะ ‘จรูญ หยูทอง’ เตรียมแฉ ความไม่สง่างาม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ของผู้สมัคร

เรื่องเล่า สองข้างทาง บนถนนสายหักหลังและหลอกลวง บทความหลายตอนจบ รออ่านที่นี่และในภาคใต้โฟกัสครับ

นายจรูญ หยูทอง (รูณ ระโนด) หนึ่งในผู้สมัครผ่านเข้ารอบประเทศ แต่สอบตก โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า…

‘ผมเสียค่าผ่านประตู 2,500 บาท ค่าถ่ายรูป ค่าใบรับรองแพทย์ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารหลายมื้อ เสียเวลาไปสมัคร ไปรับเอกสาร ไปเลือกที่อำเภอ ที่จังหวัด และที่เมืองทอง เพื่อสังเกตการณ์แบบมีส่วร่วม จึงได้พบเห็น พฤติกรรม วัฒนธรรมทางการเมืองของคนที่จะเป็นผู้ทรงเกียรติในสภาสูง ที่ไม่สมประกอบ ไม่สง่างาม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี บางคนอย่าว่าจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเลย เป็นคนยังไม่ได้เลย ขอเวลาลำดับความคิด เรียบเรียงเรื่องราวตามข้อมูลเชิงประจักษ์ประกอบหลักวิชาการ ผมจะเล่าให้ฟังทุกแง่มุมที่ไม่ละเมิดสิทธิของใครต่อใครครับ ขอเวลาให้ผมหายเหนื่อยหลังจากกลับจากสนามรบใน ‘วันหักหลังและทรยศแห่งชาติ’ ที่ผ่านมา

ศาลยกฟ้อง 13 ผู้ปกครอง ปมค้าน 'ครูทิว' เอาหนังสือลวงโลกสอนเด็ก ชี้!! ไม่มีถ้อยคำดูหมิ่นแต่อย่างใด เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต

เมื่อวานนี้ (1 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ทุกคนคะ กรณีว่าที่ร้อยตรีธนวรรธน์ หรือ ครูทิว ครู 3 นิ้ว สมาชิกพรรคก้าวไกล ฟ้องปิดปากผู้ปกครองและประชาชน เนื่องจากได้ คอมเมนต์ไม่ต้องการให้ครูทิวนำหนังสือขุนศึกศักดินาพญาอินทรีเป็นแนวการสอนแก่นักเรียน”

“วันนี้ศาลอาญาพระโขนงตัดสินยกฟ้อง 13 รายรวด เนื่องจากไม่มีถ้อยคำดูหมิ่นครูทิวแต่อย่างใด และเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต”

“ถือเป็นชัยชนะของประชาชนที่โดนครูสามนิ้วทำนิติสงคราม ใช้กฎหมายฟ้องปิดปากประชาชนอย่างแท้ทรู”

ทั้งนี้เพจเฟซบุ๊ก วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า…

“ที่ฮาคือ อีกคดีจะเอาเด็กนักศึกษาปี 1 มาเป็นพยานว่าทั้ง 13 คอมเม้นคนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจว่าด่าทิว ศาลบอกเอามาทำไม เป็นผู้เชี่ยวชาญเหรอ แล้วศาลก็บอกเด็กว่าไปอ่านเรื่องพยานมานะ ก่อนจะมาขึ้นศาลว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร จริง ๆ คาดว่า ศาลหลอกด่าทนายมันแหละ ศาลบอกไม่ต้องให้ปากคำเสียเวลา 5555”

ต่อมามีบรรดาชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนให้ผู้ปกครองฟ้องกลับ ขณะที่บางส่วนเห็นว่าเป็นการใช้นิติสงครามเสียเอง เป็นห่วงอนาคตของเด็กที่มีครูแบบนี้

สำหรับ หนังสือขุนศึกศักดินาพญาอินทรี เขียนโดยนายณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งเนื้อหายกมาจากวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นายณัฐพลเขียนในเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ แต่ต่อมาถูก ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการตรวจสอบ และพบว่าเนื้อหาในหลายประเด็นมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์และผู้เกี่ยวข้องกับการเมืองไทยในอดีตเสียหาย จนได้รับฉายาว่าวิทยานิพนธ์ลวงโลก แต่ครูทิว หรือ นายธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา โรงเรียนราชดำริ กลับจะนำไปสอนเด็กนักเรียน

‘ไพบูลย์’ ฟ้อง!! 'หมาแก่-ช่อง 9' เรียก 50 ล้าน ระงับออนแอร์ 'เจาะลึกทั่วไทย' หลังปล่อยคลิปเสียงคล้ายคนบ้านป่า ทำคนเข้าใจผิด-เสื่อมเสียชื่อเสียง

(13 ก.ย. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวกรณีที่มีการนำเสนอคลิปหลุดเสียง 'ลุงบ้านป่า' ว่า ในสัปดาห์หน้าจะยื่นฟ้องดำเนินคดี นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้จัดรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand', รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเสียงของตน ทำให้ตนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และคลิปเสียงดังกล่าวมีที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ได้นำคลิปเสียงเผยแพร่ผ่าน รายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand' ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9

“จะยื่นฟ้องนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์, รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT ต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท และ ในวันจันทร์ที่ 16 กันยายนนี้ ผมจะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ที่เผยแพร่คลิปเสียงที่มีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพื่อขอให้ กสทช. มีคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ระงับการออกอากาศรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand' ตาม มาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์” นายไพบูลย์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top