Monday, 21 April 2025
ปัญหาเศรษฐกิจ

'พิชัย' ชี้ 'ประยุทธ์' จะล้มเหลวรับมือปัญหาเศรษฐกิจ จี้ แก้ปัญหาไฟฟ้าแพง แก้ข้อพิพาทของก๊าซในอ่าวไทย

'พิชัย' ชี้ 'ประยุทธ์' จะล้มเหลวรับมือปัญหาเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ค่าบาทอ่อน จี้ แก้ปัญหาไฟฟ้าแพง แก้ข้อพิพาทของก๊าซในอ่าวไทย และ ค่าความพร้อมสูงถึงปีละแสนล้านบาท แนะ แม้ปัจจุบันจะยังไม่แย่เท่าศรีลังกา แต่ทิศทางกำลังเหมือน 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เงินเฟ้อของสหรัฐเดือนมิถุนายนสูงถึง 9.1% สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ทั้งที่สหรัฐเพิ่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% แต่ก็ยังคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกอาจสูงถึง 1% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในเร็วๆนี้  ซึ่งจะส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันจะทำให้เงินตราต่างประเทศไหลออก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เงินทุนต่างประเทศจะออกไปเพื่อไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจะยิ่งทำให้ค่าเงินบาทยิ่งอ่อนลง และจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอีกได้ อีกทั้งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในหลายเดือนที่ผ่านมายิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง 

โดยล่าสุดในเดือนมิถุนายน ไทยขาดดุลการค้า 1.2 พันล้านเหรียญ หรือ 4 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมหลังจากที่ 5 เดือนแรก ไทยขาดดุลการค้าแล้ว 4,726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินทุนได้ไหลออกไปกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1 ล้านล้านบาท) แล้วตั้งแต่ต้นปี และยังมีแนวโน้มที่จะไหลออกเพิ่มอีก จนภาคเอกชนกังวลกันว่าเงินบาทที่อ่อนจะทะลุ 37 บาทต่อดอลล่าร์ในอีกไม่นานนี้ อาจจะทะลุไปถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ได้และอาจทำให้เงินเฟ้อของไทยที่กำลังจะทะลุ 8% อาจจะพุ่งทะลุไปถึง 10% ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ในขณะเดียวกัน หากไทยจะขึ้นดอกเบี้ยก็จะส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงเกือบ 15 ล้านล้านบาท หรือ กว่า 90% ของจีดีพี อีกทั้งหนี้สาธารณะมากกว่า 10 ล้านล้านบาท หรือ ทะลุ  60% ของจีดีพีแล้ว ซึ่งหากขึ้นดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มภาระขึ้นไปอีกมาก ดังนั้น ความกังวลเรื่องการระเบิดของหนี้ต่างๆในไทยเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้น ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาดอกเบี้ย ปัญหาค่าเงินบาทที่อ่อน และปัญหาการระเบิดของหนี้ จะเป็นปัญหาใหญ่ที่พลเอกประยุทธ์ต้องรับมือ ซึ่งพลเอกประยุทธ์แทบจะไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งจะให้ปัญหาทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ 

ทั้งนี้แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังผลิกผันได้ตลอด เรื่องที่น่ากังวลคือปัญหาการปรับราคาค่าไฟฟ้าที่จะพุ่งสูงขึ้นมากจากหน่วยละ 4 บาทเป็นหน่วยละ 5 บาท สร้างความสั่นสะเทือนและความกังวลไปทั่ว ทั้งค่าใช้จ่ายของประชาชนที่จะเพิ่มขึ้นและความสามารถแข่งขันของไทยที่จะลดลง เพราะคงไม่มีใครอยากจะมาลงทุนในประเทศที่ค่าไฟฟ้าแพงมหาโหด แนวทางที่จะแก้ไขก็ต้องเข้าไปแก้กันที่สาเหตุของปัญหาคือ การหาข้อยุติในข้อพิพาทระหว่างบริษัทที่รับสัมปทานเดิม เชฟรอน และ บริษัทที่รับสัมปทานใหม่ ปตท. สผ. และ มูตาบารา ในการส่งมอบสัมปทาน และ ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการรื้อถอนแท่นขุดเจาะก๊าซในทะเลที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงและอาจถูกฟ้องร้องได้ในกรณีที่การรื้อถอนอาจจะทำให้เกิดมลภาวะในทะเลและชายฝั่งได้ ทั้งนี้เพื่อที่นำก๊าซจากอ่าวไทยขึ้นมาได้ หลังจากที่ไม่สามารถนำก๊าซธรรมชาติจำนวนมากขึ้นมาได้จากปัญหาข้อพิพาทดังกล่าว จึงต้องทำให้ไทยต้องนำเข้า ก๊าซ LNG ที่มีราคาแพงกว่า 30 เหรียญต่อหน่วยเข้ามาทดแทน และทำให้ราคาค่า FT ของค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูงมาก 

นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกินถึง 50% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมให้กับโรงงานผลิตไฟฟ้าแต่ไม่ได้ส่งไฟฟ้ามียอดถึงเดือนละกว่า 8,000 ล้านบาท หรือ ปีละประมาณแสนล้านบาทซึ่งสูงมาก เป็นความผิดพลาดในนโยบายการผลิตไฟฟ้าของพลเอกประยุทธ์ และ ปัจจุบันยังมีการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้ากันอยู่เลย แม้กำลังผลิตจะยังล้นเกินนี้ดังนั้น พลเอกประยุทธ์จะต้องหาทางเจรจาลดค่าความพร้อมนี้ และ หยุดการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าไว้ก่อนชั่วคราวได้แล้ว จนกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะมีเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงต้องทำเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น

‘สรรเพชญ’ หวัง ‘รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง’ แก้ปัญหาปากท้อง-เศรษฐกิจจริงจัง เตือน!! อย่าริทำอะไรเสี่ยงผิดกฎหมาย พรรคฝ่ายค้านจับตาดูผลงาน

(16 ส.ค. 67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนและพรรคประชาธิปัตย์ มีมติงดออกเสียงกับการเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ นายสรรเพชญ ได้ให้เหตุผลว่า การลงมติงดออกเสียงในครั้งนี้เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าและไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพราะมีการเสนอชื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพียงชื่อเดียว อีกทั้งเพื่อให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ได้เข้าแถลงนโยบายกับรัฐสภาและทำหน้าที่ก่อน หลังจากนั้นจึงจะดำเนินการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล 

นายสรรเพชญ กล่าวว่า ตนมีความหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องต่าง ๆ ที่คั่งค้างของรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปรึกษาหารือผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นปัญหาที่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ร้องเรียนและสะท้อนผ่านมายังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรง ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการ คือ การเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ประชาชน นอกจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที สิ่งที่เป็นโจทย์หลักและท้าทายความสามารถของรัฐบาลทุกชุด คือ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ กำลังซื้อของประชาชนกำลังถดถอยเพราะรายได้สวนทางกับรายได้ ปัญหาปากท้อง หนี้สินครัวเรือนอันมหาศาลของประชาชน ทั้งเรื่องราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผงชูรส หรือราคาสินค้าทางการเกษตรที่เกษตรกรขายมีราคาตกต่ำ แต่เมื่อถึงมือของประชาชนกลับมีราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีความลำบากมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพ 

นอกจากนี้ ปัญหาที่กำลังทดสอบความสามารถของรัฐบาล คือ การแก้ไขปัญหาที่ประชาชนไม่สามารถประกอบอาชีพเหมือนเดิมได้ เห็นได้จากการปิดตัวของร้านค้าต่าง ๆ ที่ได้ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก ทั้งการสู้เรื่องต้นทุนไม่ไหว และสำคัญกว่านั้น คือ การเข้ามาของสินค้าจีน ทุนจีน ที่เข้ามาผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ขายราคาถูก ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไปไม่รอดหลายราย ซ้ำยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คอลเซ็นเตอร์ ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน ที่เกือบ 1 ปี ที่มีรัฐบาลเพื่อไทยเป็นแกนนำไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ 

ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ไม่ให้บานปลายไปมากกว่านี้ ควบคู่กับการเร่งมาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนและการฟื้นความเชื่อมั่นจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งรัฐบาลต้องหาทางออกในเรื่องนโยบายแจกเงินผ่านระบบดิจิทัลที่ประชาชนได้ลงทะเบียนไปแล้วรัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่อย่างไร 

นายสรรเพชญ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้รัฐบาลทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าริอาจทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย การเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องหรือปล่อยให้ใครมาครอบงำนายกรัฐมนตรี และตนจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านและคอยจับตาดูการทำงานของรัฐบาลต่อไป

‘ดุสิตโพล’ เผยประชาชนคาดหวัง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง ชี้!! ต้องทำงานร่วมกัน ซื่อสัตย์ โปร่งใส ให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น

(25 ส.ค. 67) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘ความคาดหวังของประชาชน ต่อ ครม.ชุดใหม่’ ระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,164 คน สำรวจผ่านทางออนไลน์และภาคสนาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างอยากให้ ครม. ชุดใหม่ควรต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก ร้อยละ 74.43 และคาดหวังว่าจะทำงานดีขึ้น กระทรวงต่าง ๆ ร่วมมือกันทำงานได้ดีขึ้น ร้อยละ 70.30 โดยมองว่า “ความซื่อสัตย์และจริยธรรม” ทางการเมืองเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคัดเลือก ครม.ชุดใหม่ ร้อยละ 84.19 การปรับ ครม. ครั้งนี้คาดหวังว่าน่าจะส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ร้อยละ 46.39 สุดท้ายการปรับ ครม. จะส่งผลต่อสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไรนั้น ยังคาดการณ์อะไรไม่ได้ ร้อยละ 30.50

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลโพลไม่ว่าจะกี่ครั้งของรัฐบาลนี้ ประชาชนยังคงให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน โดยมีความหวังว่าครม.ชุดใหม่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซื่อสัตย์ โปร่งใส เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล แม้ประชาชนจะมีความหวังแต่ก็ยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมืองจะไปในทิศทางใด เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจพร พึงไชย ผู้ช่วยคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่าการเมืองไทยไม่มีอะไรแน่นอน สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา สิ่งที่ประชาชนต้องการและคาดหวังอย่างยิ่ง คือ ความเชื่อมั่นว่าคนที่เข้ามาบริหารประเทศจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยที่ถดถอยมาอย่างยาวนาน สอดคล้องกับผลสำรวจที่สะท้อนว่า ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ถึงร้อยละ 74.43 และสิ่งที่ตามมาจากปัญหาเศรษฐกิจ คือ ปัญหาปากท้องที่ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่รายรับกับสวนทาง สำหรับประเด็นการปรับครม.ชุดใหม่นี้ ประชาชนหวังว่าจะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการคัดเลือกรัฐมนตรีที่จะเข้ามาสานต่อนโยบายการทำงานของรัฐบาลมีผลต่อความมั่นใจของประชาชน ทั้งนี้ ความซื่อสัตย์และจริยธรรมทางการเมืองเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญ เพราะการเมืองไทยช่วงสิบปีที่ผ่านมาล้วนประสบกับปัญหานี้มาโดยตลอด ซึ่งส่งผลต่อความไร้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลหรือแม้กระทั่งฝ่ายค้านเอง อย่างไรก็ดี โฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ย่อมเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่าการเมืองไทยจะหลุดพ้นจากวังวนของปัญหาจริยธรรมนักการเมืองได้หรือไม่ คงต้องติดตามกัน ห้ามกระพริบตาเลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top