Tuesday, 20 May 2025
ปสามสี

พระราชไมตรีระหว่าง ‘ไทย - ภูฏาน’ ท่ามกลางระเบียบโลก ที่เปลี่ยนแปลง สองประเทศเล็ก ที่เชื่อมั่นในความพอเพียง จะก้าวเดินร่วมกัน โดยไม่หวั่นไหว

กลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ภาพแห่งมิตรภาพที่งดงามได้บังเกิดขึ้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ตามคำทูลเชิญของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พร้อมด้วยการต้อนรับที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิตและวัฒนธรรมอันงดงาม

กิจกรรมที่สะท้อนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น

ตั้งแต่การเสด็จฯ ถึงสนามบินพาโรที่ยากที่สุดในโลก
การตรวจแถวกองเกียรติยศ ณ ป้อมทาชิโช
การร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ พระพุทธรูปดอร์เดนมา
ทอดพระเนตรโครงการหลวงเดเชนโชลิง และนิทรรศการผลิตภัณฑ์ชุมชน
เยี่ยมชมศิลปวัฒนธรรมภูฏาน การยิงธนู และหัตถกรรมท้องถิ่น
ตลอดจนการพบหารือกับผู้นำรัฐบาลภูฏาน

ทุกกิจกรรมไม่ได้เป็นเพียงพิธีการ แต่เป็นการถักทอสายใยแห่งพระราชไมตรีอย่างแท้จริง — สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เสมือนพี่น้องที่เข้าใจหัวใจกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำมากนัก

จับมือกัน... ท่ามกลางโลกที่สั่นไหว

ในห้วงเวลาที่ระเบียบโลกเก่ากำลังสั่นคลอน — เมื่อมหาอำนาจแข่งขันกันอย่างรุนแรง ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ประเทศเล็กและกลางต้องเลือกระหว่าง การไหลตามกระแส หรือ การวางรากฐานให้มั่นคงด้วยตนเอง

ไทยและภูฏานต่างเลือกหนทางที่คล้ายกัน คือ การพึ่งตนเองอย่างพอเพียง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด และสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการพัฒนาจากภายใน ไม่ใช่การไขว่คว้าตัวเลข GDP ที่ว่างเปล่า

การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการเยือน แต่คือ การประกาศเจตจำนงเงียบ ๆ ว่า ไทยและภูฏานจะไม่เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งในเกมโลก แต่จะยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี โดยจับมือกันไว้ เดินไปด้วยกัน บนเส้นทางที่มั่นคงจากภายในสู่ภายนอก

บทเพลงที่พูดแทนใจสองชาติ

การที่ชาวภูฏานเลือกเพลง 'จับมือไว้' ของไทย มาใช้ในการแสดงต้อนรับเสด็จ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากคือสัญญะสำคัญ — ว่าในวันที่โลกวุ่นวายที่สุด มนุษย์สองประเทศเล็กกลางหุบเขา ก็ยังสามารถ จับมือกันไว้ ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นในสันติ ความพอเพียง และการก้าวเดินร่วมกันอย่างไม่หวั่นไหว

บทสรุป
ในวันที่ความขัดแย้งและความโลภฉุดกระชากโลกให้ปั่นป่วน
สองราชอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างไทยและภูฏาน เลือกจะไม่แย่งชิงบทบาท
แต่เลือกที่จะยืนยัน — ด้วยรอยยิ้ม ด้วยมิตรภาพ และด้วยเศรษฐกิจพอเพียง — ว่าความมั่นคงที่แท้จริงนั้น ไม่ได้วัดด้วยขนาดหรืออำนาจ แต่ด้วยรากฐานของหัวใจที่ไม่หวั่นไหว

"จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน" จึงไม่ใช่แค่ทำนองเพลง แต่คือพันธสัญญาร่วมกันในโลกที่กำลังเปลี่ยน"

ตุ๊กตาถักไหมพรม 2 ตัว จาก คุณยุ้ย 'ศิริลักษณ์ ใจชื่น' เจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำราชอาณาจักรภูฏาน สะท้อนความอบอุ่น สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ระหว่างสองแผ่นดิน

(1 พ.ค. 68) ภาพตุ๊กตาถักไหมพรม 2 ตัวที่อยู่ในพระหัตถ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ตุ๊กตาคู่นี้ มาจาก คุณยุ้ย–ศิริลักษณ์ ใจชื่น เจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำราชอาณาจักรภูฏาน

คุณยุ้ยได้ตั้งใจนำมาติดเข็ม แล้วทูลเกล้าฯ ถวายเป็นของที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีในโอกาสการเสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยความภักดีและหัวใจไทยที่สะท้อนความอบอุ่นและสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน

เว็บไซต์นอร์เวย์ เปิดบันทึกพระราชหัตถเลขา ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเขียนถึง พระธิดา ทรงทำนายตั้งแต่ปี 1907 ไว้ว่า ‘ในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพา ที่เล็กเท่านาฬิกาพก’

(1 พ.ค. 68) พอดีไปเจอบทความต่างประเทศฉบับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เป็นเรื่องราวจากเว็บไซต์นอร์เวย์ชื่อ Mykles.com ที่เล่าเหตุการณ์เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) และได้เสด็จถึงประเทศนอร์เวย์ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นดินแดนแห่งเทคโนโลยีพลังน้ำที่ก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ว่ากันว่า พระองค์ทรงเดินทางไปยังเมืองโนโทดเดิน (Notodden) เพื่อศึกษาดูงานด้านไฟฟ้า และได้พบกับวิศวกรผู้มีชื่อเสียงคือ แซม ไอเด (Sam Eyde) ผู้ก่อตั้งบริษัท Norsk Hydro ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยจากไนโตรเจนด้วยกระแสไฟฟ้า

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ — ในบันทึกพระราชหัตถเลขาที่พระองค์ทรงเขียนถึงพระธิดา (เจ้าหญิงน้อย) ที่กรุงเทพฯ พระองค์ได้เล่าถึงบทสนทนาในค่ำคืนหนึ่งว่า:
> “คงไม่เกินเลยนักหากจะทำนายว่าในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพาที่เล็กเท่านาฬิกาพก เมื่อคุณต้องการสนทนา เพียงพูดกับนาฬิกา แล้วแนบหูฟังเสียงจากอีกฝ่าย...”

หลายคนที่ได้อ่านตรงนี้อาจจะตกใจ เพราะนี่มันคือภาพของ 'สมาร์ตวอทช์' อย่างแท้จริง — แต่ถูกจินตนาการไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907!!

บทความนั้นเล่าอีกว่า พระองค์ทรงเสด็จแบบ 'in cognito' หรือไม่ได้เปิดเผยสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้สามารถสังเกตสังคมนอร์เวย์ในเวลานั้นได้อย่างลึกซึ้ง — ทั้งความยากจน ความตั้งใจของผู้คน และความมุมานะในการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์

นอกจากเรื่องโทรศัพท์พกพาแล้ว พระองค์ยังสนทนากับนักวิทยาศาสตร์นามว่า คริสเตียน บีร์เคอลันด์ (Kristian Birkeland) ถึงเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า ปืนไฟฟ้า การทำฝนเทียม และการสื่อสารแบบไร้สายด้วยพลังน้ำฟ้า — ซึ่งก็ล้ำยุคไม่แพ้กัน

บทความนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนอีกครั้งว่า พระมหากษัตริย์ไทยในอดีต มิได้ทรงเป็นเพียง 'ผู้อุปถัมภ์' เท่านั้น หากยังทรงเป็น 'นักวิทยาศาสตร์' และ 'นักพยากรณ์เทคโนโลยี' ผู้เห็นไกลเกินยุคสมัย

ในวันที่พวกเราสวมสมาร์ตวอทช์ไว้ที่ข้อมือ และคุยโทรศัพท์ผ่านนาฬิกาได้จริง ๆ นั้น... ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่กษัตริย์ไทยเคยจินตนาการไว้เมื่อ 100 ปีก่อน

บทเรียนราคาแพง จากไฟดับ ในทวีปยุโรป ไม่มีแสง ไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ‘วิทยุ’ ที่เคยถูกมองว่าล้าสมัย!! กลับกลายเป็น ‘สิ่งจำเป็นในยามวิกฤต’

(3 พ.ค. 68) ในค่ำคืนที่ไฟฟ้าทั้งระบบดับลงพร้อมกันทั่วกรุงมาดริดและหลายเมืองใหญ่ในสเปนและโปรตุเกส—ไม่มีแสง ไม่มีสัญญาณ ไม่มีอินเทอร์เน็ต—สิ่งที่กลับถูกถามหามากที่สุดไม่ใช่โทรศัพท์รุ่นใหม่ ไม่ใช่แท็บเล็ต แต่คือ วิทยุ

“ยังมีวิทยุเหลือไหม?” เป็นคำถามที่ร้านขายของชำเล็ก ๆ ในมาดริดได้ยินถี่ที่สุดในช่วงไฟดับ ผู้คนพากันต่อคิวถามหาไฟฉาย แบตเตอรี่ เทียนไข และวิทยุทรานซิสเตอร์ ราวกับย้อนเวลากลับไปในยุคก่อนสมาร์ตโฟน

เรเยส พาแตร์นา แม่ลูกสองที่กำลังพาลูกกลับบ้านบอกว่า “ไม่มีอะไรใช้ได้เลย โทรศัพท์ก็เงียบ เรายังมีของใช้เด็กนิดหน่อย แต่ไม่รู้จะหาข่าวจากไหน เรามีเตาแคมป์ก็จริง แต่ไม่แน่ใจว่ากระป๋องแก๊สจะยังเหลือไหม”

บนถนนสายหนึ่งในย่านชุมชน คนขับรถจอดรถ เปิดกระจกรถ แล้วเปิดวิทยุดัง ๆ ให้คนอื่นมารวมตัวฟังข่าวด้วยกัน บางคนเอาเก้าอี้มานั่งฟัง สร้าง 'ชุมชนคลื่นเสียง' ขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

มาเรีย รามิเรซ นักข่าวจาก elDiario.es ซึ่งรายงานเหตุการณ์นี้ กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดไม่ใช่แค่การฟื้นฟูไฟฟ้าใน 12 ชั่วโมง แต่คือความสงบและสามัญสำนึกของประชาชน—กับวิทยุเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่ออีกครั้ง”

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่ในภาวะสงบนิ่งเช่นนั้น แท็กซี่ตะโกนว่า “รับเฉพาะเงินสด!” และมีคนบางกลุ่มแซงคิวหญิงตั้งครรภ์ขึ้นรถ บ่งชี้ว่าเมื่อระบบล่ม ความเป็นระเบียบก็อาจล่มสลายตาม

มานูเอล ปาสเตอร์ วัย 72 ปี ส่ายหัวพลางลากรถเข็นใส่อาหารกระป๋องกลับบ้าน “เราหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาภายในวันสองวัน ถ้าเกินกว่านั้นคนจะเริ่มตื่นตระหนก แล้วจะเกิดเรื่องเหมือนตอนโควิดอีก”

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดว่า แม้ในโลกที่ก้าวหน้าที่สุด หากไร้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งอาจหยุดชะงัก และสิ่งที่คนเคยหัวเราะเยาะว่า "ล้าสมัย" อย่างวิทยุ กลับกลายเป็นของมีค่าเหนือเทคโนโลยีใด ๆ

มันไม่ใช่แค่เครื่องส่งสัญญาณเสียง แต่มันคือสื่อกลางของความหวัง ความมั่นใจ และการเชื่อมโยงมนุษย์ในยามที่โลกดิจิทัลพังลง

ถึงเวลาหรือยังที่เราจะกลับไปมองสิ่งพื้นฐานด้วยความเคารพ ไม่ใช่เหยียดว่า “เชย”

เพราะในวันที่โลกไร้แสง สิ่งเดียวที่อาจยังพาเรากลับมาหากันได้ คือเสียงจากวิทยุเครื่องเก่า

BRN ใช้!! ‘ความเงียบ’ เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้าย ซุ่มยิง ลอบสังหาร ฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนพิการ อย่างโหดเหี้ยม

(5 พ.ค. 68) ขณะที่ประเทศไทยกำลังสลดกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ — เด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกยิงเสียชีวิต ผู้หญิงตาบอดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม — กลับมีบางเสียงในสังคมผลักดันให้รัฐไทย "เจรจา" กับกลุ่มผู้ก่อเหตุภายใต้หน้ากากคำว่า "สันติภาพ" และ "หยุดยิงชั่วคราว" 15 วัน จากกลุ่ม BRN

ข้อเสนอของ BRN ดังกล่าวถูกส่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” และ “บรรยากาศสันติภาพ” แต่ตลอดช่วงเวลากว่าสามเดือนหลังจากนั้น — แทนที่เราจะได้เห็นท่าทีสงบ — กลับเต็มไปด้วยข่าวการซุ่มยิง การลอบสังหาร และที่รุนแรงที่สุดคือการฆ่าเด็ก ผู้หญิง และผู้พิการ

นั่นคือหลักฐานชัดเจนว่า BRN ไม่ได้รอการตอบรับ — แต่ใช้ “ความเงียบ” เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้ายต่อ

1. ข้อเสนอที่ขาดความจริงใจ ไม่ใช่หนทางของประเทศไทย
“สันติภาพ” ที่ปราศจากจริยธรรม ไม่ใช่สันติภาพที่ประเทศไทยควรยอมรับ ข้อเสนอของ BRN ฟังดูหรูหราทางเทคนิค แต่ในทางคุณธรรม มันคือการขอคืนภาพลักษณ์จากสังคมโลก โดยไม่ต้องไถ่โทษให้เหยื่อแม้แต่รายเดียว ประเทศไทยจะให้รางวัลกับความรุนแรงหรือ??

2. หยุดยิง 15 วัน หรือหยุดเพื่อตั้งลำยิงใหม่?
ข้อเสนอ “หยุดยิงสองฝ่าย” โดยตั้งทีมติดตามจาก CSO และ NGO ที่ไร้ความชัดเจนในจุดยืน อาจเป็นเพียงกลไกให้ BRN ซุ่มสะสมกำลังใหม่ พื้นที่หยุดยิงคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่สำหรับประชาชน

3. ความเงียบของทางการไทย คือหลักประกันว่าประเทศนี้ไม่อ่อนข้อให้ความตาย
การที่ไทยยังไม่ตอบรับตลอด 3 เดือน ไม่ได้แปลว่าไม่ใส่ใจ แต่เป็นการแสดงจุดยืนอย่างมีหลักการ เพราะความเงียบไม่ควรถูกตอบแทนด้วยกระสุนที่ยิงใส่เด็กวัย 9 ขวบ หรือคนชราที่ไร้อาวุธ

4. หาก BRN จริงใจ – หยุดยิงโดยไม่ต้องต่อรอง
ประเทศไทยไม่ใช่ผู้เริ่มความรุนแรง และไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายยื่นมือก่อน หาก BRN ต้องการเจรจาจริง — ขอให้ปลดอาวุธ หยุดทุกการกระทำอันเป็นภัยต่อประชาชน และแสดงความเสียใจกับเหยื่อ เสียก่อน

5. ยื่นข้อเสนอแล้วฆ่าเด็ก = เจตนาไม่บริสุทธิ์
การที่ BRN ยื่นข้อเสนอหยุดยิง แต่กลับดำเนินความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อเป้าหมายที่อ่อนแอที่สุดของสังคม คือ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อแนวคิด “สันติภาพ”

หากยังมีใครพยายามผลักให้ประเทศไทยยอมอ่อนข้อในสถานการณ์เช่นนี้ — จงอย่าหลอกตัวเองว่านั่นคือสันติภาพ แต่คือการเปิดประตูให้กับการทำร้ายซ้ำอีกครั้ง

‘NailName’ ขอโทษ!! ‘สนธิ’ กรณีจุดเริ่มต้น สงครามเหลืองแดง หลังออก!! คลิป YouTube บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ตรวจสอบ

(17 พ.ค. 68) รายการ 'แฮชแท็ก' จากช่อง YouTube NailName ออกมาแสดงความรับผิดชอบและกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หลังจากที่คลิปวิดีโอตอน '#สนธิ vs ทักษิณ: ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง' ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์

คลิปดังกล่าวพยายามอธิบายเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยมีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

ในคลิปขอโทษล่าสุด เนม – รติศา วิเชียรพิทยา ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวยอมรับความผิดพลาดในการนำเสนอข้อมูลและขอโทษต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการเผยแพร่ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของรายการและเคารพต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในคลิปนั้นมีใจความว่า …

"ตามที่ข้าพเจ้า เนม รติศา วิเชียรพิทยา หรือ nailname เผยแพร่คลิปวิดีโอ ชื่อหัวข้อ #สนธิ vs ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ใน YouTube ช่อง NailName ซึ่งเนื้อหาในคลิปวิดีโอดังกล่าว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานหรือข่าวใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่า คุณสนธิไปยืมเงินคุณทักษิณ โดยปรากฏข่าวว่าคุณสนธิปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนรักกับคุณทักษิณ และมีบุคคลอื่น เคยขอโทษคุณสนธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏข้อมูลไว้ในคลิปวิดีโอดังกล่าว โดยเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้คุณสนธิได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ข้าพเจ้ารับทราบแล้วจึงขออภัยและขอโทษมาด้วยความจริงใจ ต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และขอบคุณคุณสนธิยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่เอาความ มา ณ โอกาสนี้"

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงบทเรียนสำคัญในวงการสื่อออนไลน์ ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบุคคลและองค์กรได้อย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top