Friday, 6 June 2025
ปราบปรามยาเสพติด

รอง ผบ.ตร.สั่งการมอบเงินช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะปฏิบัติหน้าที่ปะทะต่อสู้ระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งข่มขู่ใช้อาวุธมีดทำร้ายบุคคลในครอบครัว

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.(ปป)/ผอ.ศอ.ปส.ตร.)  มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการและสนับสนุน ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปมอบเงินกองทุนสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ให้แก่ ร.ต.ต.นิรันด์ วังใน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม  สถานีตำรวจภูธรเวียงแหง  จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 200,000 บาท จากกรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะปฏิบัติหน้าที่ปะทะต่อสู้ระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งข่มขู่ใช้อาวุธมีดทำร้ายบุคคลในครอบครัว บริเวณบ้านเวียงแหง หมู่ 4 ต.เวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดย ร.ต.ต.นิรันด์ฯ ได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง และจมูกถูกมีดตัดเกือบขาดเป็นแผลฉกรรจ์ (หากแพทย์ห้ามเลือดไม่ทัน จะทำให้เลือดลงปอดแล้วเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้) แพทย์จึงได้รีบทำการรักษาห้ามเลือด และเย็บจมูกส่วนดังกล่าวกลับคืน และส่งมาทำการรักษาต่อยัง รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อทำการผ่าตัดซ่อมแซมแล้วต่อโพรงจมูกให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ หลังรับการผ่าตัดต้องระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อเป็นอย่างมาก ปัจจุบันอาการบาดเจ็บดีขึ้น สามารถเข้าเยี่ยมได้ แต่ยังคงต้องใส่ท่อเพื่อช่วยพยุงทางเดินหายใจ ไม่ให้โพรงจมูกล้ม และสามารถหายใจได้ตามปกติ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนของผู้บังคับบัญชา ขอแสดงความห่วงใย เป็นกำลังใจ และขอชื่นชมการทำงานเป็นทีมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าร่วมระงับเหตุบุคคลคลุ้มคลั่ง ร่วมกับ ร.ต.ต.นิรันต์  ในการจับกุมคนร้าย และสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี ได้เป็นอย่างดี  สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่ทำให้ผู้กระทำผิดเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แม้ว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บ ขณะเข้าระงับเหตุก็ตาม  และหวังว่าเงินช่วยเหลือนี้ จะตัวช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว

นบ.ยส.24 โชว์ผลงานสรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญรอบ 6 เดือนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ของรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

(4 เม.ย. 68) เวลา 1000 น. พลโทบุญสิน  พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24) มอบหมายให้  พลตรีฉัฐชัย  มีชั้นช่วง  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่210/รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ผบ.มทบ.210/รอง ผบ.นบ.ยส.24 (2)) เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญรอบ 6 เดือน (ต.ค.67 - มี.ค.68) และหารือ ประสานงาน/บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีหน่วยงาน/ส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดนครพนม จำนวน 15 หน่วย และหน่วยงาน/ส่วนราชการนอกพื้นที่จังหวัดนครพนม ผ่านระบบประชุมทางไกล Video Conference (ผ่าน Zoom meeting) จำนวน 54 หน่วย ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7 จังหวัด 25 อำเภอชายแดนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมพระยอด กองบังคับการมณฑลทหารบกที่210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด/เข้ามาในพื้นที่ชายแดน และพื้นที่ตอนในอย่างต่อเนื่อง จากการตรวจสอบเครือข่ายและกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีการเชื่อมโยงกับบุคคลจาก สปป.ลาวและมีคนไทยในพื้นที่ชายแดนเป็นผู้ขนส่ง โดยได้รับค่าจ้างในราคาที่สูงซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญโดยพบว่าขบวนการลักลอบ ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ซึ่งพฤติการณ์ส่วนใหญ่จะนำยาเสพติดมาพักคอยในพื้นที่เมืองชายแดน ของ สปป.ลาว ก่อนจะใช้เรือลำเลียงมาตามแม่น้ำโขง บางพื้นที่จะนำยาเสพติดขึ้นไปพักคอยบนเกาะดอน ก่อนลักลอบนำเข้ามาในฝั่งไทยจะใช้วิธีการนำยาเสพติดที่อำพรางมาในรูปแบบต่างๆ (รูปปั้น สินค้าทางการเกษตร สินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริม) ไปกระจายตามพื้นที่ และให้กลุ่มลำเลียงมารับตามจุดที่นัดหมาย เพื่อขนย้ายด้วยยานพาหนะขนาดใหญ่หรือยานพาหนะส่วนบุคคลไปตามเส้นทางชนบทที่ยากต่อการตรวจสอบ ก่อนจะนำยาเสพติดมาพักคอยตามปั๊มน้ำมัน บ้านพัก หรือรีสอร์ทในพื้นที่อำเภอตอนในต่อไป

สรุปสถิติและการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ตุลาคม2567 ถึง ปัจจุบัน ดังนี้
1. มาตรการสกัดกั้น : มอบให้ กองกำลังป้องกันชายแดน เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีสถิติการซุ่มเฝ้าตรวจ 18,838 ครั้ง,ลาดตระเวนทางบก 16,351 ครั้ง,ลาดตระเวนทางน้ำ 169 ครั้ง,จัดตั้งจุดตรวจด่านตรวจ 4,656 ครั้งรายละเอียดตามจอภาพ/ เป็นผลทำให้สามารถสกัดกั้นยาเสพติดที่สำคัญในพื้นที่ ณ แนวชายแดนได้ แยกเป็นยาบ้า จำนวน 64,000,005 เม็ด, ไอซ์ น้ำหนัก 2,603 กก., เฮโรอีน น้ำหนัก 124 กก. 
2. มาตรการปราบปราม : มอบให้ ตำรวจภูธรภาค 3, ภาค 4 และตำรวจปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีการปิดล้อมตรวจค้น 231 ครั้ง ติดตามจับกุม ขยายผล และยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด จำนวน 73 คดี 
รวมผลการตรวจยึดจับกุมตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม ณ ปัจจุบัน มีการตรวจยึดจับกุม จำนวน 607 ครั้ง ผู้ต้องหา 848 ราย ของกลาง ยาบ้า 86,767,305 เม็ด,ไอซ์ 3,124.644 กิโลกรัม, เฮโรอีน 124 กก. เคตามีน 776.87 กิโลกรัม และอื่นๆ รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นมากถึง ห้าพันเก้าร้อยล้านบาทเศษ (5,936,581,800 บาท)
3. มาตรการป้องกัน : มอบให้ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก     โดยมีการปฏิบัติการจิตวิทยาและการประชาสัมพันธ์ จำนวน 1,896 ครั้ง, ฝึกอบรมพัฒนา ชรบ. จำนวน 116 ครั้ง,การปฏิบัติงานของ ชรบ. จำนวน 872 ครั้ง, การจัดระเบียบสังคม จำนวน 748 ครั้ง,  การอบรมและการสร้างชุมชนเข้มแข็ง จำนวน 66 ครั้ง
4. มาตรการบำบัดรักษา : มอบให้ สาธารณสุขจังหวัด เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีการดำเนินโครงการชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) จำนวน  2,852 ราย ดำเนินโครงการมินิธัญญารักษ์ จำนวน 1,421 ราย ดำเนินการรายงานในระบบข้อมูลการบำบัดรักษา และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ จำนวน 8,073 ราย ควบคุมตัวบุคคลคลุ้มคลั่ง จำนวน 300 ราย 
5.มาตรการบูรณาการ : เน้นให้ทุกส่วนราชการ บูรณาการร่วมกันทั้งงานด้านการข่าว และแผนงานโครงการ ต่างๆ โดยมีการดำเนินการจัดการประชุมขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหายาเสพติด 245 ครั้ง ดำเนินการประชุมโต๊ะข่าวแลกเปลี่ยนข้อมูล 106 ครั้ง กิจกรรมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด 94 ครั้ง
6. มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน : มอบให้ ส่วนบังคับบัญชา, ส่วนอำนวยการ ของ นบ.ยส.24, ปปส.ภาค 3 และ ปปส.ภาค 4 เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยมีการพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 32 ครั้ง ดำเนินการประชุมแลกเปลี่ยนข่าวสาร จำนวน 2 ครั้ง ประสานการจับกุม และส่งมอบผู้ต้องหาข้ามประเทศ จำนวน 1 ครั้ง
ซึ่งมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย ตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) หน่วยมีผลการปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม ณ แนวชายแดน โดยทำการซุ่มเฝ้าตรวจ 6,540 ครั้ง, ลาดตระเวนทางน้ำ? 64 ครั้ง, ลาดตระเวนทางบก 5,383 ครั้ง, จัดตั้งจุดตรวจด่านตรวจ 1,530 ครั้ง ทำการปิดล้อมตรวจค้น 47 ครั้ง ติดตามจับกุม ขยายผล และยึดทรัพย์สิน คดียาเสพติด จำนวน 28 คดี รวมผลการตรวจยึดจับกุมตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) มีการตรวจยึดจับกุมจำนวน 216 ครั้ง/ ผู้ต้องหา 272 ราย ของกลาง ยาบ้า 26,970,802 เม็ด,ไอซ์ 1,216.336 กิโลกรัม, และอื่นๆ

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

เลย-มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24 แถลงปฏิบัติการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe  ยึดยาบ้า  5.5 ล้านเม็ด 

(27 เม.ย. 68)  เวลา 13.30 น. ที่กรมทหารพรานที่ 21 ต.ศรีสองรัก อ.เมืองเลย จ.เลย พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24) พร้อมด้วยนายชัยพจน์  จรูญพงศ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ร่วมกันแถลงข่าวปฏิบัติการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ในพื้นที่อำเภอชายแดน ของจังหวัดเลย  โดยมี  พล.ต.ต.วีระเดช เลขะวรกุล  ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย นายกิตติคุณ  บุตรคุณ  รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย  พันเอก สุพรเทพ ไชยยงค์ ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 3 ( ร.8 )  นางสาวภูมารินทร์  คงเพียรธรรม  ปลัดจังหวัดเลย  พันเอกอินทราวุธ  ทองคำ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21  นายสุชิน จันทร์ป่าน นายอำเภอปากชม และหัวหน้าส่วนราชการ  เข้าร่วมแถลงข่าว

โดยเมื่อวันที่  25  เมษายน 2568 เวลา  02.00  น. กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2109 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 สืบทราบจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบขนย้ายยาเสพติดเข้ามายังฝั่งไทย บริเวณพื้นที่บ้านปากมั่ง ตำบลหาดคัมภีร์ อำเภอปากชม จังหวัดเลย จึงได้ประชุมวางแผนการปฏิบัติ ร่วมกับ ชป.505 กกล.สุรศักดิ์มนตรี ,จนท.สภ.ปากชม จากนั้นได้วางกำลังซุ่มเฝ้าตรวจพบ เรือกีบ 1 ลำ แล่นเข้ามายังฝั่งไทยมีกลุ่มชายฉกรรจ์ ประมาณ 5 คน  กำลังแบกกระสอบสีดำขึ้นจากเรือมาวางริมถนน จากนั้นได้มีรถยนต์กระบะถอยเข้ามาเพื่อทำการขนกระสอบสีดำขึ้นท้ายกระบะ จนท.ชุดซุ่ม จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ พบเห็นว่าเป็น จนท. จึงได้กระโดดลงน้ำแม่โขงหลบหนีไปได้ แต่จนท.สามารถควบคุมตัวไว้ได้ 2 คน ต่อมาจึงได้ประสานหน่วยที่เกี่ยวมาร่วมทำการตรวจสอบกระสอบสีดำ พบเป็นกระสอบบรรจุยาบ้ารวม ทั้งหมดประมาณ 15 กระสอบ พบเป็นยาเสพติดทั้งหมด 5,566,000 เม็ด  พร้อมทั้งนำส่งผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด ให้ สภ.ปากชม เพื่อทำการขยายผลในส่วนที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กรณีที่มีการตรวจยึดจับกุมในครั้งนี้ นบ.ยส.24 ในพื้นที่ 7 จังหวัด 25 อำเภอ พื้นที่ตามแนวชายแดน ในห้วงที่ผ่านมานั้น มีสถิติการจับกุมในพื้นที่อำเภอชายแดนของจังหวัดเลย  จำนวน 186 ครั้ง ผู้ต้องหา 240 ราย โดยมีของกลางยาบ้ามากถึง 14,898,762 เม็ด, ไอซ์ 993 กิโลกรัม และเคตามีน 250 กิโลกรัม การจับกุมในพื้นที่รับผิดชอบของ หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งหมด 7 จังหวัด 25 อำเภอ จำนวน 696 ครั้ง ผู้ต้องหา 974 คน โดยมี ของกลางยาบ้ามากถึง 104,955,437 เม็ด, ไอซ์ 4,084 กิโลกรัม, เฮโรอีน 124 กิโลกรัม, เคตามีน 777 กิโลกรัม, และอื่นๆ (ยาอี 3,490 เม็ด,  happy Water 1,156 ซอง, ฝิ่น 1 กรัม) รวมมูลค่ามากถึงเจ็ดพันกว่าล้านบาทเศษ

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

เชียงใหม่-ผบช.ภ. 5 แถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหา 3 รายยาไอซ์ 350 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน อ.วังชิ้น จว.แพร่ พร้อมขยายผล

(13 พ.ค. 68) เวลา 14.00 น. ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย
ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร  ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย  รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ  ผบก.สส.ภ.5 และ พล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้  ผบก.ภ.จว.แพร่
 ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผอ.ปปส.ภาค 5

แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สภ.นาพูน จว.แพร่ บูรณาการร่วมหน่วยเกี่ยวข้อง จับกุมผู้ต้องหา 3 คน รถยนต์กระบะตู้ทึบ 3 คัน ไอซ์ จำนวน 350 กิโลกรัม สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 04.00 – 10.00 น. ที่ด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน อ.วังชิ้น จว.แพร่ ต่อเนื่อง ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จว.พิจิตร
ผู้ต้องหา จำนวน 3 คน  นายพลวัตรฯ  อายุ 33 ปี ภูมิลำเนา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา นายจักรกฤษฯ อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา อ.สิรินร จว.อุบลราชธานี นายสุวรรณรัตน์ฯ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนา อ.เมืองนครราชสีมา จว.นครราชสีมา
ของกลาง ไอซ์ จำนวน 14 กระสอบ บรรจุกระสอบละ 25 ห่อ รวมประมาณ 350 กิโลกรัม รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บร 695 สระแก้ว มีนายพลวัตรฯ ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นคนขับ ใช้บรรทุกยาเสพติด รถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บห 7088 ร้อยเอ็ด มีนายจักรกฤษฯ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีเทา ทะเบียน 3ฒย 2701 กรุงเทพฯ มีนายสุวรรณรัตน์ฯ ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นคนขับ ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 04.00 น. ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน  อ.วังชิ้น จว.แพร่ ตั้งด่านตรวจพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บร 695 สระแก้ว มีนายพลวัตรฯ เป็นผู้ขับขี่  ขับมาจากเส้นทาง จว.แพร่ มุ่งหน้าไป จว.สุโขทัย จึงเรียกทำการตรวจค้น พบกระสอบลายพราง จำนวน 14 กระสอบ มีไอซ์ บรรจุอยู่กระสอบละ 25 ห่อ รวมประมาณ 350 กิโลกรัม บรรทุกอยู่ในกระบะตู้ทึบจึงจับกุมตัวพร้อมของกลาง

ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการขยายผลพบว่ามีรถยนต์กระบะ ตู้ทึบ อีก 2 คัน นำ/สำรวจเส้นทาง
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้สืบสวนขยายผลไปจับกุมนายจักรกฤษฯ พร้อมรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บห 7088 ร้อยเอ็ด และนายสุวรรณรัตน์ฯ พร้อมรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน 3ฒย 2701 กรุงเทพฯ ที่ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณ ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จว.พิจิตร นำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้ต้องหารับว่าเคยลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง ไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.เชียงแสน จว.เชียงราย จะเอาไปส่งในพื้นที่ อ.ธัญบุรี จว.ปทุมธานี จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และนำบัญชาข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – 12 พ.ค.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 13,752 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 142 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 131 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 8,786 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 1,100 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 64 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับยาเสพติด มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 395 ล้านบาทเศษ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top