Friday, 23 May 2025
ประชาชน

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

'สวนดุสิตโพล' เช็กเรตติง!! ‘รัฐบาล-ฝ่ายค้าน’ วัดดัชนีการเมืองไทย ชี้!! แต้มฝ่ายค้านเพิ่ม อานิสงส์ประชาชนเห็นใจจากการถูก 'ยุบพรรค'

(1 เม.ย. 67) ‘สวนดุสิตโพล’ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนมีนาคม 2567’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,254 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 21-29 มีนาคม 2567 โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็นที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยในด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละตัวชี้วัดจะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน สรุปผลเรียงลำดับจากค่าคะแนนสูงสุดไปถึงต่ำสุด ได้ดังนี้

1. ‘ดัชนีการเมืองไทย’ เดือนมีนาคม 2567 ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 5.10 คะแนน (เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ได้ 5.16 คะแนน)

2. ประชาชนให้คะแนน 25 ตัวชี้วัด ‘ดัชนีการเมืองไทย’ โดยคะแนนเต็ม 10 เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้


3. นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนคิดว่ามีบทบาทโดดเด่นในเดือนมีนาคม 67
>>นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล 
1.เศรษฐา ทวีสิน 53.22%
2.อนุทิน ชาญวีรกูล 28.30%
3.แพทองธาร ชินวัตร 18.48%

>>นักการเมืองฝ่ายค้าน      
1.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 59.32%
2.รังสิมันต์ โรม 20.91%
3.ศิริกัญญา ตันสกุล 19.77%

4. ผลงานของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนชื่นชอบในเดือนมีนาคม 67
>>ผลงานฝ่ายรัฐบาล
1.สงกรานต์ 21 วัน ดัน Soft Power 47.51%
2.จับบ่อน ปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล 30.94%
3.ย้าย 2 บิ๊กตำรวจ 21.55%

>>ผลงานฝ่ายค้าน
1.อภิปรายงบประมาณ ปี 2567 48.36%
2.กระตุ้นเรื่องแก้ฝุ่น PM2.5 ดับไฟป่า 31.75%
3.ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม 19.89%

5. ปัญหาที่ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไข คือ

(1) ยาบ้า กัญชา ยาเสพติด 50.62%
(2) เศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพ 31.78%
(3) ฝุ่น PM2.5 มลพิษทางอากาศ 17.60%

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าดัชนีการเมืองไทยเดือนนี้ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน สาเหตุหลักอาจมาจากปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจที่ประชาชนกังวล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ได้คะแนนไม่ดีนัก 

นอกจากนี้ผลสำรวจชี้ว่าฝ่ายค้านยังคงครองใจประชาชน อาจเป็นเพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพของฝ่ายค้านในการทำงาน แต่ฝ่ายรัฐบาลเองก็เริ่มมีผลงานที่โดนใจประชาชนมากขึ้น ทั้งการผลักดัน Soft Power การจับบ่อน และแก้ปัญหาวงการตำรวจ

ด้าน ผศ.ดร.เบญจพร พึงไชย ผู้ช่วยคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า สำหรับการเมืองไทยในช่วงเดือนมีนาคมนี้ แม้จะมีประเด็นทางการเมืองเกิดขึ้นหลาย ๆ เหตุการณ์ อาทิ การทัศนาจรของอดีตนายกรัฐมนตรีไปยังที่ต่าง ๆ หรือประเด็นการอภิปรายของ สว. เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเศรษฐา แต่ผลการสำรวจมีคะแนนลดลงเล็กน้อยในภาพรวมเดือนมีนาคม 5.10 คะแนน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ได้ 5.16 คะแนน นั่นแสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่โฟกัสไปที่การแก้ไขปัญหาปากท้องว่ารัฐบาลจะทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งคะแนนเดือนนี้อยู่ที่ 4.80 เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา คือ 4.78 คะแนน ซึ่งแทบไม่ต่างจากเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังมีคะแนนลดลงจากเดิม 5.14 โดยในเดือนนี้ ได้เพียง 5.00 คะแนน ยิ่งชี้ชัดว่าการแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ยังไม่เห็นผล

ในทางตรงกันข้าม ผลงานของฝ่ายค้านกลับได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 5.52 เป็น 5.56 คะแนน ซึ่งอาจมาจากความเห็นใจของประชาชนกรณีการยุบพรรค ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการที่จะให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นจะต้องแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดมีคะแนนถึง ร้อยละ 50.62  อาจเป็นเพราะประเด็นข่าวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเกิดขึ้นบ่อยครั้งในรอบเดือนที่ผ่านมา คงต้องจับตาดูกันว่าปัญหาในประเด็นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปสำหรับเดือนหน้า

ตำรวจช่วยบรรเทาภัยแล้ง “รรท. ผบ.ตร.” สั่งการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน “ผบช.ตชด.” ให้ ตชด.ทั่วประเทศ ส่งรถบรรทุกน้ำ คลายทุกข์ คลายร้อนให้ประชาชน พร้อมลงพื้นที่ร้อยเอ็ดตรวจเยี่ยม ตชด.23 ช่วยชาวบ้าน

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( ผบช.ตชด. )  เดินทางตรวจเยี่ยมกำลังพล ชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 23 ( กก.ตชด.23 )  ที่นำรถบรรทุกน้ำสะอาด ออกแจกจ่ายบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้กับพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ชุมชนวัดบ้านป่ายาง และหมู่บ้านข้างเคียง  เทศบาลตำบลขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด  

พล.ต.ท.ยงเกียรติ ฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ) สั่งการให้ ตชด.ระดมสรรพกำลังเข้าบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเผชิญอากาศร้อนจัด ส่งผลให้หลายจังหวัด ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน และเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้ง ตนจึงได้สั่งการให้ ผกก.ตชด.ทุกหน่วยทั่วประเทศ จัดกำลังพล และรถบรรทุกน้ำ ออกให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ประสบภัยแล้ง แจกจ่ายน้ำแก่ประชาชน อย่างทันท่วงที และเหมาะสมเพียงพอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนในเบื้องต้น ให้มีน้ำใช้อุปโภค บริโภค  และให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและส่วนราชการในพื้นที่ เข้าให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

‘พลเมืองสหรัฐฯ’ เสียชีวิตจากน้ำมือ 'ตำรวจ' สูงเป็นประวัติการณ์ปี 2023 สะท้อน!! วิธีแก้ปัญหาเกินกำลังกว่าเหตุ ซ้ำ!! ยังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานข้อมูลข่าวสารแห่งคณะรัฐมนตรีจีนออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งระบุว่า สหรัฐฯ พบจำนวนประชาชนถูกตำรวจสังหารมากสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีก่อน นับตั้งแต่เริ่มติดตามข้อมูลทั่วประเทศเมื่อปี 2013

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากแมปปิง โพลิส ไวโอเลนซ์ (Mapping Police Violence) กลุ่มวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่ง ระบุว่าตำรวจในสหรัฐฯ สังหารประชาชนเมื่อปีก่อนอย่างน้อย 1,247 ราย หมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือตำรวจโดยเฉลี่ยประมาณ 3 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ระบบความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจนั้นไร้ประโยชน์

รายงานอ้างอิงหนังสือชื่อ ‘การจับกุมความเป็นพลเมือง : ผลพวงประชาธิปไตยของการควบคุมอาชญากรรมของอเมริกา’ (Arresting Citizenship: The Democratic Consequences of American Crime Control) ระบุว่า หน่วยงานตำรวจอเมริกันชิงชังพลเมืองที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายของพวกเขา และกลไกในการให้ตำรวจรับผิดชอบต่อการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายนั้นแทบไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งนี้ แม้ว่าปัญหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐฯ แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลัง

‘กลุ่มภาคีฯ’ จี้ ‘ปดิพัทธ์’ ขอโทษ โบ้ยคนคว่ำนิรโทษเป็นไอโอ ด้าน 'หมออ๋อง' โชว์พริ้ว!! ไม่เคยพูดว่าประชาชนเป็นไอโอ

(18 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา กลุ่มภาคีราชภักดี เดินทางมายื่นหนังสือ ต่อนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่หนึ่ง เพื่อยืนยันตนเองว่า ในการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. … ซึ่งเป็นที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564 โดย น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 36,723 คน ที่มีเสียงโหวตไม่เห็นด้วยถึง 64.66 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ไอโอ

นายอัครวุธ บุรณพนธ์ กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน กล่าวว่า พวกตนมายืนยัน ให้นายปดิพัทธ์เห็นโดยตรงว่ากลุ่มไอโอ ที่พูดมานั้นมีตัวตน ได้ใช้ชื่อและเลขบัตรประชาชนในการแสดงความคิดเห็นใน พ.ร.บ.ดังกล่าว ฉะนั้นรองประธานสภาฯ ที่เป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริงต้องวางตัวเป็นกลาง รวมถึงอยากให้ตรวจสอบว่าตรงไหนเป็นไอโอ ใครเป็นคนทำ ขอให้ตรวจสอบมาเพราะตนก็อยากทราบเหมือนกัน ตนใช้สิทธิในฐานะราษฎรให้นายปดิพัทธ์ขอโทษประชาชน ที่พูดว่าพวกเขาเป็นไอโอ แต่หากตรวจสอบแล้วพวกเราผิดจริง มีเหตุที่ทำให้มองว่าเป็นไอโอก็สามารถดำเนินการได้เต็มที่ เพราะถือว่าเป็นภัยความมั่นคงที่ต้องทลายทิ้ง หากทำได้จะสนับสนุนเต็มที่ แต่หากพูดโดยไม่คิด หรือคิดว่าพวกตนเป็นฝ่ายขวา และมองว่าพวกของตัวเองเป็นฝ่ายซ้ายจะไม่มีทางบรรจบกันได้ ยืนยันว่าพวกเราไม่ใช่ไอโอ

ด้านนายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในวันที่ 11 และ 12 มิ.ย. ว่ามีความผิดปกติในเว็บไซต์หลายประการด้วยกัน เช่น การใช้ การใช้งานถึง 5,000 ครั้ง ใน ip address คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง เราได้ตรวจสอบทั้งระบบเพราะเกรงว่าประชาชนไม่เชื่อใจเว็บไซต์นี้ และจะส่งผลต่อการใช้งานในครั้งต่อ ๆ ไป ทั้งนี้เราไม่ได้กล่าวหาว่าประชาชนที่มาแสดงความคิดเห็นนั้นเป็นไอโอ 

ซึ่งทางรัฐสภาจะเก็บทุกความคิดเห็นอย่างยุติธรรมที่สุดโดย ไม่ตัดสินว่าเป็นใครเป็นพวกไหน หรือเข้ามาด้วยจุดประสงค์อะไร ขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจได้ว่าเราไม่มีการเลือกปฏิบัติ เรารายงานไปตามจริง แต่ต้องยอมรับว่าเว็บไซต์ของรัฐสภามีข้อผิดพลาดมากมายที่ทำให้ไม่เชื่อมั่น ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนในสิ่งที่เกิดขึ้น คำแนะนำของประชาชนนำไปสู่การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดี

“ผมขอโทษที่เว็บไซต์ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ขอโทษ เพราะไม่เคยพูดว่าพวกท่านเป็นไอโอ”

รรท.รอง ผบ.ตร. เร่งรัดขับเคลื่อนงานความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือ มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชน

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อเร่งรัดขับเคลื่อนงานความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือ ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งให้ความสำคัญในการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุผลสำเร็จ เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างสูงสุดนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมาย พล.ต.ท.ประจวบฯ ขับเคลื่อนงานความมั่นคงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ร่วมพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยมี นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน โดย พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้บรรยายพิเศษ หัวข้อ “นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” และพบปะสมาชิกสันนิบาตเทศบาลจังหวัดเชียงใหม่ และผู้นำท้องถิ่นภาคเหนือ กว่า 1,200 คน ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมแสวงหาแนวทางและใช้กลไกความร่วมมือเครือข่ายผู้นำท้องถิ่นและประชาชน ร่วมป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ปัญหาความมั่นคง ชุมชนต้องเข้มแข็งและยั่งยืน            

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ส.ต.อ.ชินวุฒิ มันทนา ผบ.หมู่ กก.ตชด.33 ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ถูกยิงบริเวณช่องท้องและต้นขา จำนวน 2 นัด ขณะเข้าจับกุมคดียาเสพติด บริเวณบ้านห้วยตุ๊บ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา และพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ พร้อมมอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญ ตลอดจนกำชับให้หน่วยงานต้นสังกัดเร่งรัดสิทธิประโยชน์ให้ได้รับครบถ้วนโดยเร็ว

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ผู้แทนกองทัพภาคที่ 3, สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5, สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3, จังหวัดเชียงใหม่, ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 6, กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3, กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5, กองบังคับการตำรวจทางหลวง และกองบังคับการตำรวจน้ำ ได้ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือ ณ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 โดยได้กำชับการป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ สกัดกั้นขบวนการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาพื้นที่ชั้นใน ตลอดจนการสกัดกั้นทางน้ำ ในส่วนพื้นที่ชั้นใน ต้องบูรณาการกับฝ่ายปกครอง และสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 ในการจับกุมผู้ค้า ขยายผลจับกุมทั้งขบวนการ และใช้มาตรการยึดทรัพย์ โดยชุมชนต้องร่วมมือกันทำให้ชุมชนเข้มแข็งปลอดยาเสพติด และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

พล.ต.ท.ประจวบฯ ยังได้กำชับการแก้ไขปัญหาการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ต้องปราบปรามขบวนการรับตัวจากชายแดน ซุกซ่อนมากับรถเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน ทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรอง มีรถนำคล้ายกับขบวนการขนยาเสพติด ซึ่งจากสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมา ทำให้มีการหลบหนีเข้ามาหางานทำในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เกิดปัญหาด้านความมั่นคง อาชญากรรมต่าง ๆ จึงต้องเร่งจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวโดยเร็ว พร้อมทั้งเร่งรัดปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติทุกรูปแบบ กลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มทุนสีเทา ซึ่งมักใช้พื้นที่ตามแนวชายแดนประเทศไทยเข้า - ออก ไปประเทศเพื่อนบ้านทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อกระทำผิดกฎหมาย เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ เป็นต้น ต้องพิจารณารื้อถอนเสาสัญญานอินเตอร์เน็ต ตรวจค้นแหล่งพักพิงสำหรับใช้เป็นที่กระทำผิด การจับกุม ขยายผล และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ในมาตรการยึดทรัพย์ พร้อมทั้งกวดขันการลักลอบขนสินค้าหนีภาษี และของเถื่อนต่างๆ อีกทั้งได้เน้นย้ำไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์โดยเด็ดขาด

อีกทั้งยังได้แถลงผลการจับกุมรายสำคัญในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ได้แก่ สภ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จับกุมยาบ้า 1 ล้านเม็ด ขยายผลจับกุมเครือข่าย 7 ราย ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 10 ล้านบาท , กองร้อย ตชด.327 ตรวจยึดยาบ้า 3 ล้านเม็ด , บก.สส.ภ.5 จับกุมผู้ต้องหาลักลอบตั้งโรงงานผลิตอาวุธปืน กลางเมืองพะเยา เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบังหน้า ตรวจยึดอุปกรณ์การผลิตและส่วนประกอบอาวุธปืนกว่า  269 ชิ้น เงินหมุนเวียนกว่าล้านบาท และจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย ติดตั้งเครื่อง Simbox ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 12 เครื่อง ซึ่งสามารถโทรศัพท์หลอกลวงเหยื่อได้วันละไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ขอบคุณหน่วยร่วมบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยตำรวจทุกหน่วย กองกำลังชายแดน ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ท้องถิ่นและภาคประชาชน และหน่วยสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมบูรณาการทำงานด้านความมั่นคงในทุกมิติ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการปฏิบัติจะบรรลุผลสำเร็จ เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย สังคมมีความสงบเรียบร้อย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ร่วมกับกระทรวงแรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา บริการประชาชน

วันที่ 9 สิงหาคม 2567 นางเธียรรัตน์ ประธานมูลนิธิ ฯ เปิดเผยว่า ในวันนี้ มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือกับกระทรวงแรงงาน ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาส วันคล้ายวันเฉลิมพระชมมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยมอบหมวกกันน็อค ที่ได้รับการสนับสนุนจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ น้ำดื่มจาก กลุ่มไทยสมายล์บัส และขนมขบเคี้ยวสนับสนุนจาก บริษัท ไบ่ลี่ เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด เพื่อมอบให้กับพี่น้องประชาชน และนักเรียน ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้กว่า 5,000 คน 

กิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาส วันคล้ายวันเฉลิมพระชมมพรรษา  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  12 สิงหาคม 2567 ในวันนี้  จัดขึ้นโดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี ท่านผู้หญิงภรณี มหานนท์ ผู้แทนจากหน่วยราชการในพระองค์  เป็นประธานในพิธีเปิด และ พล.ต.ท. นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภาค 7 พร้อมด้วย นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้การต้อนรับ ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 

ภายในงานมีกิจกรรม มากมาย อาทิ การฝึกอาชีพอิสระ การทำกระเป๋าผ้าพิมพ์เทียน การทำพวงกุญแจหินมงคล การทำกระเป๋าสตางค์หนัง บริการตัดผม และการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งพี่น้องประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงต่างให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก สามารถนำความรู้ไปต่อยอดในการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้ 

'อลงกรณ์' ตอบโจทย์วันนี้ประชาธิปัตย์ยังไม่มีมติร่วมรัฐบาล แจงยุทธศาสตร์ใหม่ปชป. ปลดแอกจากทุนการเมืองพร้อมเปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ประชาชน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับประเด็นปมสมาชิกบางคนวิจารณ์พรรคในทางลบว่าไม่พัฒนาและไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลซึ่งกำลังเป็นที่จับตาช่วงการฟอร์มรัฐบาลในขณะนี้ โดยมีข้อความว่า

“….ผมอ่านข่าวสมาชิกพรรคและอดีตสมาชิกพรรค 4-5 คนแสดงความเห็นไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย บางท่านวิจารณ์พรรคว่าไม่ได้พัฒนาตัวเองย่ำเท้าอยู่กับที่ ซึ่งในด้านหนึ่งผมดีใจที่แต่ละท่านยังสนใจและมีความห่วงใยในพรรคประชาธิปัตย์ แต่อีกด้านก็ไม่สบายใจที่มีการใช้ถ้อยคำด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่ไม่เคยมาช่วยพรรคทำงานในยามที่พรรคตกต่ำจึงขอทำความเข้าใจในส่วนการพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับอุดมการณ์ การพัฒนาพรรคและการร่วมรัฐบาล ดังนี้

1.พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นปฐมอุดมการณ์ของพรรคและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการปรับปรุงสำนักงานใหญ่ ระบบบริหารจัดการและสถานที่ทำงานให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารพรรคและการบริการประชาชน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร การรับสมัครสมาชิกพรรคแบบออนไลน์ การยกระดับการสื่อสารทุกโซเชียลแพลตฟอร์ม 

3.มีการจัดทำยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เป็นครั้งแรกโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ขณะนี้ยกร่างยุทธศาสตร์ฯ.เสร็จแล้ว
4.ลดอิทธิพลของนายทุนการเมืองและการทุจริตในระบบการเมืองฉ้อฉลโดย
หัวหน้าพรรคแต่งตั้งคณะกรรมการ001ทำหน้าที่รณรงค์ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอุดหนุนเงินภาษีให้พรรคประชาธิปัตย์เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง

5.เปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ของประชาชนตามนโยบายโอเพ่นเฮ้าส์(Open House)โดยเปิดพรรคจัดกิจกรรม“ลานพระแม่ ฟอรั่ม”และ“เดโมแครต ฟอรั่ม”ที่พรรคประชาธิปัตย์และในภูมิภาคด้วยระบบออนไลน์และอินไซท์
6.ยกระดับความเป็นสถาบันทางการเมืองด้วยการจัดตั้ง“เดโมแครต อะคาเดมี่”(Democrat Academy)โดยเริ่มโครงการหลักสูตรผู้บริหารการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่การเมืองที่สุจริตมีประสิทธิภาพและก้าวหน้าทันสมัยจะเริ่มต้นรุ่นแรกในเดือนตุลาคมนี้

สุดท้ายเป็นประเด็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลมีการวิเคราะห์คาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน

คำตอบอยู่ที่มติของที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.พรรค จนถึงวันนี้ยังไม่มีการประชุมใด ๆ สำหรับวันข้างหน้าไม่ว่าพรรคจะมีมติอย่างไร ผมและสมาชิกพรรคถือปฏิบัติเช่นเดียวกับท่านชวนคือเคารพมติพรรคไม่ว่าจะมีความเห็นพ้องหรือเห็นต่างเมื่อมีมติพรรคก็จบ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยในพรรคของเรา

อลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์
22 สิงหาคม 2567“

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชื่นชมตำรวจในพื้นที่ทุกหน่วย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยว

วันนี้ ( 23 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติแก่ข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และคณะ โดยมี พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การท่องเที่ยวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และเป็นรายได้หลัก ของประเทศ ซึ่งเมืองพัทยานับเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ดังนั้น การดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจึงนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง มาตรการป้องกันเหตุและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติของสถานีตำรวจภูธรพัทยา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ มีแผนปฏิบัติและรายละเอียดที่ชัดเจน จึงขอชื่นชมผู้เกี่ยวข้องทุกนาย 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก คือ การได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งจากการที่ได้เห็นความสัมพันธ์อันดี และการทำงานที่สอดประสานระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และสถานีตำรวจภูธรพัทยา เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรพัทยา สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น ได้รับความร่วมมือที่ดี และตรงกับความต้องการของประชาชน และประการที่ 2 คือ ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน “ขวัญ เป็นอำนาจรบ ที่ไม่มีตัวตน” หากผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจและสวัสดิการที่ดีก็จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว ให้มีขวัญกำลังใจที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายถือปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากล ที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา” ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและสังคม

'เสี่ยเท้ง' แจงดรามาไม่แจกของน้ำท่วม เพราะอยู่ในช่วง 180 วันก่อนเลือกตั้ง

(28 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยถึงดรามาพรรคประชาชนไม่แจกของน้ำท่วม ว่า เป็นข้อเท็จจริงในเชิงกฎหมาย ภายใน 180 วันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ไม่สามารถแจกของได้ ตัวแทนของพรรคประชาชนก็ต้องระมัดระวัง แต่ที่ตนพูดในเวทีปราศรัยไม่ได้หมายความว่าการแจกของเป็นสิ่งที่ผิด

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูงานต่าง ๆ ของสส.ในพรรค ช่วงวิกฤตที่ประชาชนต้องการจริง ๆ พวกข้าวสารอาหารแห้งก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะฉะนั้นการแจกของก็ดูที่ความเหมาะสมความต้องการของประชาชน ไม่ใช่แจกเพื่อระบบอุปถัมภ์ ให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกว่าต้องตอบแทน

ส่วนที่มีคนเอาไปเทียบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่องค์กรอิสระ ซึ่งกกต.หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปดูว่าพรรคอื่นทำผิดหรือไม่ผิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top