Monday, 7 April 2025
บิ๊กโจ๊ก

'เนติบริกร' สะกิด!! 'บิ๊กโจ๊ก' ไม่ควรฟ้องนายกฯ ควรรอ 'ก.พ.ค.ตร.' ถ้าไม่พอใจค่อยไปศาลปกครอง

(25 มิ.ย.67) นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. จะยื่นฟ้อง ม.157 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หากไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ว่า มีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องส่วนตัว แต่ไม่ควรฟ้อง ที่สำคัญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังมีช่องทางที่จะบำบัดหรือได้รับการเยียวยาหลายช่องทาง ซึ่งควรจะไปใช้ช่องทางปกติ โดยสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ยื่นฟ้องเช่นกัน เช่น ทางคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่ได้เขียนเอาไว้ว่า หากใครได้รับความเดือดร้อนจากผู้บังคับบัญชาก็สามารถยื่นร้องทุกข์ได้ ต้องปล่อยให้หน้าที่ ก.พ.ค.ตร.ในการตัดสิน หากตัดสินอย่างไรให้เป็นไปตามนั้น เวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ ก.พ.ค.ตร. ฉะนั้น ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า อนุ ก.ตร.ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ต้องถูกส่งไป ก.พ.ค.ตร. เพื่อวินิจฉัยในเร็ววันนี้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ควรรอคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนควรจะรอ เว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไขเยียวยาเอง ส่วนจะนานหรือไม่นั้น มันนาน แต่ว่า ก.พ.ค.ตร.ได้รับเรื่องไว้นานแล้ว ฉะนั้น เวลาน่าจะเหลือจะประมาณ 1 เดือน เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีการอ้างมติ ครม.ปี 2482 ว่า หน่วยงานใดที่หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องทำตามนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า มีอยู่จริง ออกมาตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และใช้ตั้งแต่นั้นมา 

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะยึดความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการต่อสู้ และมีสิทธิจะชนะใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด ยิ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ยิ่งไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด และในวันที่ตนแถลงข่าวก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด แค่มาเล่าให้ฟังเท่านั้นว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดว่าอย่างไร ซึ่งในวันนั้นมีผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังเป็นแคนดิเดตผบ.ตร.ได้อยู่หรือไม่ ตนจึงตอบว่าใครก็ตามที่ดำรงตำแหน่ง พล.ต.อ. และเป็นรองผบ.ตร. ก็มีโอกาสทั้งนั้น แต่สุดท้ายจะได้เป็นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งมติ ก.ตร. และอยู่ที่นายกฯจะเสนอชื่อใคร เหมือนเช่นตอนที่เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เมื่อถามว่า แต่เป็นเหตุผลที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หยิบขึ้นมาอ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนก็เอาสิ่งที่ตนได้ประโยชน์มาอ้าง ไม่มีใครอ้างในสิ่งที่เป็นโทษ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้กลายเป็นว่า มีการเอาผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ที่มีนายฉัตรชัย เป็นประธาน ที่ทำท่าจะจบ แต่ไม่จบ เพราะมีการไปต่อยอด ฟ้องร้องกัน นายวิษณุ กล่าวว่า ก็เป็นคดีใหม่ ส่วนคดีเก่าคือ คดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเรื่องจบไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผบ.ตร. และคนอื่น ๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นธรรมดาเหมือนคดีทั่วไป ที่จบอีกเรื่องก็มีอีกเรื่องหนึ่งขึ้นไป และถือเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับองค์กร ไม่เกี่ยวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขอย้ำประโยคนี้ว่า เขาออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร.เป็นผู้ตัดสินปัญหา ก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร.ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก 

เมื่อถามว่า ตอนนี้ตกลง พล.ต.อ.สุรเชษ์ฐ สามารถกลับเข้ามาเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าดูจากวันนี้เดี๋ยวนี้ตอบได้ว่ามี แต่ถ้าต่อไป อาจมีการแก้เกมอย่างอื่นจนไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะมันยังมีช่องกฎหมายอีกเยอะ ซึ่งตามช่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่ากระบวนการไม่ชอบ และเป็นเอกฉันท์ด้วย

เมื่อถามย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถดำเนินการได้หากยังไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ เมื่อถามอีกว่า มีโอกาสที่จะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เขาจะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ แน่ เว้นแต่ ก.พ.ค.ตร.จะสั่งลงมา แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่เขาบอกว่า หนังสือที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ นั้นมีข้อสังเกตว่า ควรจะถูกต้องตามกระบวนการ เพราะมีตัวอย่างมาแล้วนับ 10 เรื่องที่กระบวนการไม่ถูก แล้วถูกส่งกลับมาดังนั้น ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร.และรัฐบาลเองก็ฟัง ก.พ.ค.ตร. จะเอาอย่างไรก็เอาตามนั้น

สมุทรปราการ-“บิ๊กโจ๊ก” ร่วมงานสังสรรค์สมาคมชาวใต้สมุทรปราการ ครั้งที่ 19 หารายได้จัดสร้างอาคารสำนักงานสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ 

(14 ธ.ค 67) ที่ลานอเนกประสงค์ เยื้องหมู่บ้านพฤกษา 106 ถนนตำหร-บางพลี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ทางสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ ได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์พี่น้องชาวใต้ในจังหวสมุทรปราการเป็นครั้งที่ 19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้จัดสร้างอาคารสำนักงานสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ โดยสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ ได้จดทะเบียนยกฐานะ จากชมรมชาวใต้สมุทรปราการ ซึ่งได้มีประวัติ บันทึกไว้ว่าราวปี 2540 พี่น้องชาวใต้ 14 จังหวัด ในสมุทรปราการ ได้รวมตัวกันก่อตั้งชมรมชาวใต้สมุทรปราการขึ้นมาในขณะนั้น

โดยมี นายสุรเชษฐ์ คุยยกสุย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้น เป็นประธานชมรมคนแรก และได้มีการจัดกิจกรรมสังสรรค์เพื่อหารายได้นำไปช่วยเหลือที่น้องชาวใต้ และสาธารณประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง  กระทั่งปี พ.ศ. 2556 ทางกรรมการบริหารชมรมฯ ขณะนั้นมีความประสงค์จะยกฐานะให้ชมรมชาวใต้สมุทรปราการ เป็นองค์กรที่สามารถทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างเป็นทางการมากยิ่งขึ้น จึงได้มีมติจัดตั้งเป็นสมาคมขึ้น 

มีนายไพรัตน์ จันทร์ไชยแก้ว นายเฉลิม จันทร์เภา และนายพิศิษฐ์ รมย์ทอง เป็นผู้ยื่นขอจดทะเบียนก่อตั้งสมาคม เมื่อปี พ.ศ.2550 และมีนายไพรัตน์ จันทร์ไชยแก้ว เป็นนายกสมาคมคนแรก มีกรรมการบริหารสมาคม ชุดก่อตั้งทั้งหมดรวม 15 คน  ต่อมาสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการ และพี่น้องชาวใต้และคนในจังหวัดสมุทรปราการ จนสามารถจัดซื้อที่ดินของสมาคมได้เป็นที่เรียบร้อย

ภายในงานยังได้รับเกียรติจากท่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.ในฐานะนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยมี พล.ต.ต.ปกปภพ บดีพิทักษ์ ผบก.ศฝร.ภ.6 ประธานจัดงานสังสรรค์ชาวใต้สมุทรปราการ ครั้งที่ 19 เป็นผู้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้

มีนายไพรัตน์ จันทร์ไชยแก้ว นายกสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ กล่าวให้การต้อนรับ นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับเกียรติจากนายสุดใจ จิรยาภากร ประธาน กต.ตร.สมุทรปราการ ประธานที่ปรึกษาเดินทางมาร่วมให้การสนับสนุนพร้อมทั้งมอบเงินให้กับทางสมาคมเพื่อนำไปบริหารให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด นอกจากนี้ยังมีนายอำนวย สุวรรณรักษ์ อดีตอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ที่ปรึกษา นายประสงค์ โภคเจริญดี กต.ตร.สมุทรปราการ ที่ปรึกษา นางสาวศุภลักษณ์ ปาลกะวงศ์ สมาพันธ์จิตอาสาชาวใต้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ รองประธานจัดงาน นายชาญณรงค์ รมย์ทอง เลขาจัดงานฯ พันตำรวจตรี อดุลย์ รุ่งเรือง สารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้
ทนายวิจิตร ทองนุ่น (ทนาย ใจถึงพื่งได้ )  

ผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดินวุฒิสภา ปิยพงษ์  เชื้อบ้านเกาะ(ปีเตอร์นคร)ตลอดจน คณะกรรมการบริหารสมาคมชาวใต้สมุทรปราการ คณะกรรมการฝ่ายจัดงาน สมาชิกสมาคมฯ ชมรมชาวใต้ที่ทำ MOU ร่วมกับทางสมาคมชาวใต้จังหวัดสมุทรปราการ 

และผู้ที่ให้การสนับสนุน รวมกว่า 1.000 คน เข้าร่วมงานกันอย่างคึกคักบรรยากาศภายในงานได้มีการส่งมอบธงโดย พล.ต.ต.ปกปภพ บดีพิทักษ์ ผบก.ศฝร.ภ.6 ได้ส่งมอบธงให้กับ นายธัญญารัตน์ พรหมสุทธิ์ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ในการจัดงานครั้งที่ 20 ต่อไป ในการนี้ทางสมาคม ได้เนรมิตสถานที่ให้เป็นแบบงานวัด มีการออกร้านอาหาร ของทางภาคใต้ และภาคกลางมีการจำหน่ายสินค้าภาคใต้ตลอดจนเครื่องเล่นสนามบ้านลม ตุ๊กตาปูนพลาสเตอร์ระบายสี ตักปลา และห้องเด้งดึ๋ง เพลิดเพลินไปกับวงดนตรี วงกัลปังหา วงฉลามขาว วงคนข้างถนน และวงชาวาลา

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘สนธิ’ เผย!! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถอนฟ้อง คดีหมิ่นประมาท ให้แล้วทุกคดี ชี้!! ทำพลาดที่สุดในชีวิตที่ไปฟ้อง อ้อน!! ขอให้เมตตาเหมือนเดิม

(8 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ประธานที่ปรึกษาสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ได้จัดรายการ SONDHITALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep : 279 และได้กล่าวถึง ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีใจความว่า ...

ผมโดน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ทั้งหมด 8 คดี 7 คดี ฟ้อง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ใน 7 คดีนั้นมีอยู่ 6 คดี ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ชี้ว่ามีมูล แล้ว 6 คดี ก็มีคำสั่งมาจากท่านอธิบดีว่า ให้จบภายใน 6 เดือน แล้วเขาก็ใช้คุณมินนี่ ฟ้อง อีกคดีที่จังหวัดเลย เป็นคดีหมิ่นประมาทเช่นเดียวกัน 

ซึ่งผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าสู้คดีอย่างสุดฤทธิ์ โดยที่ไม่เกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ปรากฏว่า บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องคดีทุกคดี โดยระบุว่าโจทก์และจำเลย ตกลงกันได้ แต่เนื่องจากเขาถอนฟ้อง โดยไม่ได้คุยอะไรกัน ก็กลายเป็นว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย จนกระทั่ง ‘ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้มาแจ้งว่า บิ๊กโจ๊ก ได้ถอนฟ้องหมดแล้ว ถอนฟ้องโดยไม่มีเงื่อนไข สรุปแล้วทั้ง 8 คดี ถอนฟ้องหมดเลย

และสิ่งที่ บิ๊กโจ๊กพูด สิ่งที่เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือ การมาฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล

และบิ๊กโจ๊ก ก็ได้มีโอกาสมาเข้าพบ ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ถอนฟ้องแล้ว ก็มาบอกว่า ขอโทษ และให้ช่วยเมตตาเหมือนเดิม ซึ่งคำว่าเมตตานั้น ถ้าผมเห็นว่าคุณทำผิด แล้วผมจะพูดผิด ให้กลายเป็นถูกนั้น ผมทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าคุณทำอะไรแล้ว มันก้ำกึ่ง ผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณ

'วันนอร์' จับโกหกคำโต ’บิ๊กโจ๊ก‘ พา ‘สุชาติ’ พบถึงบ้าน ยันมีหลักฐานเพียบ แต่ที่ไม่ฟ้องเพราะยังเมตตา

'วันนอร์' เย้ย 'บิ๊กโจ๊ก' หนีความจริงไม่พ้นหรอก ยันมีหลักฐานพา 'สุชาติ' พบถึงบ้าน ใครเข้าออกบันทึกภาพตลอด ชี้ยังเมตตาไม่ดำเนินคดี

(14 ก.พ. 68) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปภาพและเสียงการสนทนา ระหว่างนายวันมูหะหมัดนอร์ กับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ปฏิเสธไม่ได้ไป และไม่ได้ถ่ายคลิป ว่า การที่ไปนั้นไม่ได้เป็นความลับ เพราะมีตำรวจอยู่ ซึ่งใครจะเข้าออกจะมีการถ่ายรูปไว้อยู่แล้ว แบบนี้จะปฏิเสธว่าไม่ได้ไปได้อย่างไร โดยคลิปวิดีโอหรือภาพตามโซเชียลที่มีเผยแพร่นั้น ชัดเจนว่าอยู่กัน 3 คน ไม่ใช่อยู่กัน 2 คน ฉะนั้นไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม ความจริงก็คือความจริงหนีไม่พ้น ซึ่งตนไม่อยากจะพูดต่อเมื่อถามว่า จะนำรูปภาพที่มีมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า มีการเผยแพร่ตามสื่อแล้ว ซึ่งภาพที่เผยแพร่นั้นก็รู้อยู่แล้วว่าใครจริงใครโกหก

ส่วนคลิปที่ปล่อยมานั้นไม่ใช่เป็นการเขย่าขาเก้าอี้ประธานใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนไม่เกี่ยวอะไร แต่เขาเอาคลิปมีวัตถุประสงค์นั้นก็ไม่ทราบนั้นต้องไปถามเขาเอง ซึ่งมีคลิปยืนยันว่ามีเขาหรือถ้าต้องการพยานบุคคลก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4-5 คนที่พร้อมจะเป็นพยานและมีตำรวจไซเบอร์เรียกไปสอบถามแล้ว จะมาเรื่อยทำไมเก้าอี้ประธานไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการดำเนินการทางคดีหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ให้ความเมตตาดีกว่า แต่ถ้าหากเขาไปทำอะไรเพิ่มเติมให้ตนเสียหายหรือรัฐบาลเสียหาย เมื่อถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาใหม่ ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดที่บ้านนั้น วันที่เกิดเหตุเป็นช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งวงจรปิดที่บ้านจะบันทึกภาพได้แค่เดือนเดียว และจะบันทึกภาพทับใหม่แต่ละเดือน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะภาพถ่ายและพยานบุคคล ซึ่งจะไม่เชื่อถือได้อย่างไร เนื่องจากเป็นตำรวจท้องที่ และยังมีภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบอีก แต่ก็คงไม่ต้องถึงขั้นตรวจสอบอะไรมาก เพราะยังไม่เสียหาย

"ผมต้องป้องกันตัวเองว่า พูดจริง ไม่ได้โกหก และประธานสภาฯ โกหกไม่ได้ จริงคือจริง ไม่จริงคือไม่จริง 2 คนก็บอกว่า 3 คน เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และพยานบุคคล" นายวันมูหะมัดนอร์ ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top