Saturday, 19 April 2025
บิ๊กต่อ

‘บิ๊กต่อ’ สั่งล่าแก๊งหลอกขายไอโฟน เด็กม.6 จนเครียดผูกคอดับ พบยอดเงินรอโอนไปเมียนมา เตรียมรวมหลักฐานออกหมายจับ

(18 ต.ค.66) ความคืบหน้ากรณี น้องพลอย (นามสมมุติ) นักเรียนหญิงชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ผูกคอลาโลกในห้องนอนบ้านพัก เมื่อช่วงเย็นวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยทางตำรวจสันนิษฐานสาเหตุคาดว่าเบื้องต้นมาจากความเครียด เนื่องจากถูกแก๊งมิจฉาชีพ หลอกให้ผ่อนโทรศัพท์มือถือไอโฟน 13

ล่าสุด พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ รรท.รองผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รองผบช.สอท. สั่งการให้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มแก๊งที่หลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินทั้งขบวนการ

พล.ต.ต.ชรินทร์ กล่าวว่าจึงประสานงานกับตำรวจภูธรภาค 8 และทางบก.สส.ภ.8 เพื่อรับโอนสำนวนคดีมาให้ทาง บช.สอท. สืบสวนสอบสวนเนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและกลุ่มคนร้ายทำเป็นลักษณะขบวนการ โดยเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ทางผู้ปกครองของผู้เสียหายแจ้งความผ่านระบบออนไลน์แล้วที่สภ.เกาะทวด แล้ว

พล.ต.ต.ชรินทร์ กล่าวอีกว่าตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า กลุ่มขบวนการดังกล่าวเปิดบัญชีม้า 4 แถว โดยแถวแรกอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ พนักงานสอบสวน บช.สอท.5 อยู่ระหว่างเชิญตัวเข้ามาสอบสวนในช่วงบ่ายที่ บช.สอท. ส่วนอีก 3 แถวอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินการ

ผบก.สอท.5 กล่าวว่าส่วนยอดเงินยังอยู่กับปลายแถวที่ 4 ยังไม่มีความเคลื่อนไหว โดยกลุ่มคนร้ายเตรียมรอโอนไปปลายทางฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งภายในวันนี้พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอศาลขอออกหมายจับ

'บิ๊กต่อ' ยัน!! ไม่เห็นด้วยนำตำรวจจีนเข้ามาดูแล นทท.จีนในไทย ย้ำ!! ตร.ไม่เคยนำเสนอรัฐบาล เชื่อเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร

(13 พ.ย.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะ ถึงประเด็นเล็งนำตำรวจจีนมาร่วมลาดตระเวน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ว่า…

แนวคิดดังกล่าวไม่มีทางเกิดขึ้น และได้รับการยืนยันแล้วว่าทุกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาในราชอาณาจักร เพราะมีผลกระทบในหลายมิติ หากเริ่มต้นนำตำรวจจีนเข้ามาในประเทศไทยในวันนี้ อนาคตก็จะต้องให้ตำรวจจากชาติอื่นๆ เข้ามาด้วย และตำรวจไทยก็จะไม่มีบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสม

ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องช่วยกันพัฒนาศักยภาพของตำรวจไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวได้ แต่กระแสข่าวที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน คณะกรรมาธิการจัดทำหนังสือขอให้รัฐบาลชี้แจงประเด็นดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับทุกฝ่ายในการปฏิบัติ

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เปิดเผยสอดคล้องกันว่า ยืนยันไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาดูแลนักท่องเที่ยวจีนในไทย เพราะเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย และตำรวจไทยมีศักยภาพในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวเพียงพอ แต่กรณีที่เกิดขึ้นในอิตาลีนั้น เชื่อว่าเกิดจากปัญหาด้านการสื่อสารทางภาษา จึงมีการนำตำรวจจีนมาช่วย แต่สำหรับประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาดังกล่าว ยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ

พร้อมยืนยันว่า แนวคิดดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้เป็นผู้เสนอ หรือร้องขอไปยังรัฐบาล เชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร โดยยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยกันในประเด็นการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับทางการจีน เพราะเมื่อเกิดเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับจีน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการประสานข้อมูลคนร้ายและข้อมูลคดีกัน และที่ผ่านมามีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนดผู้ประสานงาน ซึ่งมักจะเป็นตำรวจจีนที่ดูแลสถานทูตจีนประจำประเทศไทย อาจทำให้เกิดความสับสนขึ้น

พิจิตร-บิ๊กต่อนิมนต์เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลานเข้าวัดยุติความขัดแย้งลืมอดีตมองไปข้างหน้า

เมื่อวานนี้ (15 พฤศจิกายน 2566) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , นาย ภูวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันลงพื้นที่มาที่ วัดหิรัญญาราม หรือ วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร โดยมาถึงเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. จากนั้นได้นิมนต์ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดบางคลาน พร้อมด้วยกำลังจิตอาสากว่า 200 คน  เดินหน้ามายังประตูวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งปิดประตูอยู่ จากนั้น 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ใช้โทรโข่งเจรจาพูดคุยว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องข้ามความขัดแย้งแล้วหันหน้ามาเจรจาพูดคุยกัน โดยขอให้แกนนำ คือ นางสุภา หรือชื่อเดิม นางประภานันท์ อยู่ยืด ประธานองค์กรชุมชนรักษ์วัดบางคลาน ใช้โทรโข่งบอกกับชาวบ้านที่อยู่ด้านในขอให้เปิดประตู จากนั้นคณะของ “บิ๊กต่อ” ก็ได้เดินเข้าวัดพร้อมกับ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดบางคลาน เข้าไปภายในวัดและขึ้นไปยังวิหารหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งก็มีคณะกรรมการ 18 คน ที่เป็นทั้งฝ่ายอดีตเจ้าอาวาส และฝ่ายเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ขึ้นไปนมัสการรูปหล่อหลวงพ่อเงินที่ประดิษฐานอยู่บนวิหาร โดยมี พระพรหมโมลี ปธ.9 รักษาการเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าคณะภาค 5 เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. เทศน์ให้โอวาทกับผู้ที่มาร่วมกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ครั้งใหญ่ในรอบ 9 ปี หลังจากที่มีปัญหายืดเยื้อมายาวนาน แต่ด้วยการผนึกกำลังเอาจริงของ “บิ๊กต่อ” ผบ.ตร.-ป.ป.ป. –ป.ป.ท. จึงทำให้สถานการณ์วันนี้คลี่คลายลงแล้วและเชื่อมั่นว่าความสงบจะกลับคืนสู่วัดหลวงพ่อเงินบางคลานอีกครั้ง 

จากนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตอนที่เราเข้ามาตั้งเเต่เเรก  เราก็จะเห็นพี่น้องชาวบางคลานเเละก็ในทีมที่เข้ามาเเก้ปัญหา รวมทั้งคณะกรรมการที่เราจัดตั้งไว้ 18 คน หรือเรียกว่า 18 อรหันต์ ทุกคนก็มีความร่วมมือร่วมใจกันจะเห็นได้ว่ายื้มเเย้มเเจ่มใส เห็นบรรยากาศเราก็รู้มันเป็นภาษากายที่สามารถสื่อได้ว่าไม่ได้มีความกังวลอะไรเลย มีความสุข ชาวบ้านเข้ามากอด ผมเชื่อว่าเขาไม่มาเสเเสร้งเเล้วเข้าก็อยากเห็นความสุข สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดึงความเชื่อมั่นศรัทธาของ  พุทธศาสนิกชนที่จะมากราบขอพรองค์หลวงพ่อเงิน ไม่ใช่เฉพาะชาวบางคลานหรือคนพิจิตรเท่านั้นที่จะดีใจ แต่เชื่อว่าพุทธศาสนิกชนที่เป็นคนไทย หรือจะรวมถึงชาวต่างชาติก็จะดีใจด้วย  

ตอนนี้เรากำลังเปิดบรรยากาศการท่องเที่ยวตามที่รัฐบาลวางนโยบายไว้  ผมก็ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดี เงินก็จะไหลในระบบในเศรษฐกิจของพี่น้องชาวบางคลานก็จะดีการค้าขายของเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น เราได้ทั้งห่วงโซ่เลยที่มันเป็นวงจร  ผมคิดว่าชาวบ้านก็ต้องรักษาตรงนี้ไว้ ผมว่าคนข้างนอกคนบางคลานต้องช่วยกัน เพราะคนนอกมาช่วยทำให้มันดีขึ้นฉะนั้นคนบางคลานต้องรักษาไว้มันไม่มีอะไรเอาไปได้  เเต่สิ่งศรัทธาพุทธศาสนาเราเป็นการสืบทอดพุทธศาสนามันเเป็นหน้าที่ทุกหลายหน่วยช่วยกันไม่ใช่เฉพาะตำรวจเท่านั้น แต่รวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  

“บิ๊กต่อ”กล่าวย้ำว่า หลังจากวันนี้กำลังตำรวจจะยังไม่ถอนตัวออกจากวัด แต่จะวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ส่วนหนึ่งให้ช่วยดูแลความสงบภายในวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จนกว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก

“บิ๊กต่อ” ยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำโครงการอุปสมบทนาคหมู่ เนื่องในโอกาสปีมหามงคล 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปี 2567 โดยจะนำตำรวจมาบวชที่วัดหลวงพ่อเงินบางคลานแห่งนี้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทอดทิ้งวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน หรือหนีหายไปไหน? พร้อมทั้งจะดูเเลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการจัดระเบียบภายในวัดให้เรียบร้อยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมากราบไหว้นมัสการหลวงพ่อเงินวัดบางคลานแห่งนี้ อีกด้วย

‘บิ๊กต่อ’ สั่งเด้ง 8 ตร.คดีเว็บพนันมินนี่ เข้า ศปก.ตร. ให้ขาดจากตำแหน่งเดิม

(24 ก.พ. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่มีข้าราชการตำรวจ 8 นายตกเป็นผู้ต้องหา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำร้องขอของอัยการ ขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ที่เข้าไปให้คำแนะนำสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 106/2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 543/2566 ลงวันที่ 27 กันยายน 2566 ให้ข้าราชการตำรวจ จำนวน 8 ราย ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุกรณีที่มีข้าราชการตำรวจถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจเกิดความเสียหายต่อทางราชการนั้น

เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมกับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และการอำนวยความยุติธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 93/2567 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าวมีกรณีกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 จึงให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ รวมจำนวน 11 ราย

ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมดูแลการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจที่ช่วยราชการ พร้อมทั้งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมต่อไป

‘บิ๊กต่อ’ ขาดทุนยับ แต่ยูเทิร์นกลับไม่ยาก ฟาก ‘บิ๊กโจ๊ก’ โกยกำไร หลุดบ่วงผู้ต้องหา

บันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์...วันเดียว 3 คำสั่ง...จากปลายปากกาของนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย…นายเศรษฐา ทวีสิน ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องเห็นด้วยจำนวนมาก แต่ก็มีบางส่วนตะโกนสวนว่า…ตลก ทำไปได้ไง...

เป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 20 มี.ค. 2567

คำสั่งแรก ที่ 106 /2567 ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผบ.ตร. และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ‘บิ๊กโจ๊ก’ รองผบ.ตร. ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี

คำสั่งที่สอง ที่ 108/ 2567 ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ‘บิ๊กต่าย’ รองผบ.ตร. รักษาราชการ ผบ.ตร.

คำสั่งที่สาม ที่ 109/2567 ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ โดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทย เป็นประธาน

การเด้ง ผบ.ตร. เข้ากรุในอดีตมีมากมายหลายคน...แต่หนนี้เป็นประวัติศาสตร์ก็ตรงที่เป็นการ ‘เด้งคู่’ หรือ ‘แพ็คคู่’ ซึ่งเมื่ออ่านระหว่างบรรทัดของคำสั่งดูแล้ว วิญญูชนย่อมสดับตรับฟังได้ข้อสรุปเหมือนกันว่า…

‘บิ๊กต่อ’ เละเป็นโจ๊ก ขาดทุนย่อยยับ ขาเชียร์ออกอาการหงุดหงิดในลีลาภาวะผู้นำที่เนิบนาบของท่านไปตาม ๆ กัน

ส่วน ‘บิ๊กโจ๊ก’ ที่เป็นผู้ต้องหาโดยแท้โกยกำไรอื้อซ่า...จากผู้ต้องหายกชั้นเป็น ‘คู่ขัดแย้ง’ ถึงขั้นประกาศสละอดีตลืมความขัดแย้ง…เซทซีโร่...

งานนี้กรรมการนอกสนามบอกว่า...บิ๊กโจ๊กชนะ

แต่ก็นั่นแหละ ศึกครั้งนี้ต้องดูกันยาว ๆ อย่างน้อยก็อีก 3-4 เดือน ว่าใครจะเด๊ดสะมอเร่ย์…บิ๊กโจ๊กเองก็ยังถูกหมายเรียกคดีสมคบฟอกเงินไล่ล่า… วันนี้ (22 มี.ค.) เป็นหมายใบที่สอง บอกให้ไปรายงานตัววันที่ 26 มี.ค. แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าช่วงนั้นบิ๊กโจ๊กอยู่ระหว่างลาไปอังกฤษ

ส่วน ‘บิ๊กต่อ’ มองมุมไหนก็พูดได้ว่าไม่เกิน 3 เดือนได้กลับปทุมวัน ทำหน้าที่ ผบ.ตร. จนเกษียณ 30 ก.ย. 2567

แต่สายข่าวที่น่าเชื่อระบุว่า...คนที่ชนะที่แท้จริงคือคนที่ชี้แนะชี้นำนายกฯ ให้ตัดสินใจ ซึ่งสายข่าวไม่ลังเลที่จะระบุว่าเขาคือคน…จันทร์ส่องหล้า..คนนั้น ซึ่งบัดนี้น่าจะมีโผอยู่ในใจแล้วว่า ต.ค. ปีนี้จะให้ใครขึ้น ผบ.ตร.

ในมุมวิเคราะห์...เต็งจ๋า ผบ.ตร. ตามหน้าไพ่ต้องบอกว่า…

ปีนี้ตัดบิ๊กโจ๊กออกจากคู่ชิงไปได้ เหลืออีก 3 บิ๊ก บิ๊กต่ายเต็งหาม ถ้าสองเดือนที่รักษาการโชว์ฟอร์มเข้าตากรรมการ จันทร์ส่องหล้าก็ต้องส่องต่ายให้ได้ดี

มีประเด็นที่ยังกระพริบตาไม่ได้อยู่นิดเดียวก็ตรงที่ เดือน เม.ย.นี้ สีกากีที่ชื่อ พล.ต.ท.ประจวบ วงษ์สุข ผช.ผบ.ตร. คนเมืองเหนือที่มีกระแสข่าวว่า ‘เจ๊แดง’ คนเดิมสนับสนุนอยู่นั้น จะได้ขึ้นรองผบ.ตร. หรือไม่...ถ้าได้ขึ้นก็แทบจะฟันธงได้ว่างานนี้โผพลิก…บิ๊กจวบมาแน่...

แต่ถ้า เม.ย. ไม่มีอะไร...บิ๊กต่ายก็คงเข้าป้าย แต่มีข้อแม้ว่าสองเดือนนี้ห้ามเหยียบเปลือกกล้วยลื่นล้มเด็ดขาด…!!

'ศาลฯ' ยกฟ้อง!! 'พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ - บิ๊กต่อ' พร้อมทีมสอบสวนคดี ตร.เอี่ยวเว็บพนันออนไลน์ หลัง 'เขมรินทร์' นายตำรวจคนสนิท 'บิ๊กโจ๊ก' ยื่นฟ้อง ชี้!! ไม่มีพยานหลักฐานว่ากระทำผิด

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยกฟ้อง ชั้นตรวจฟ้อง ‘ธนา ชูวงศ์’ กับตำรวจ 244 นาย ชุดพนักงานสอบสวนคดี ตำรวจพัวพันเว็บพนัน หลัง ‘เขมรินทร์ พิสมัย‘ ตำรวจลูกน้อง ’บิ๊กโจ๊ก‘ ยื่นฟ้อง ชี้ ที่โจทก์อ้างไม่ได้ทำผิด เป็นข้อต่อสู้ในคดี ไม่ใช่เหตุนำมาฟ้องจำเลยกับพวก ระบุ การขอออกหมายจับ ไม่ระบุอาชีพ-ยศ-ตำแหน่ง ไม่ใช่สาระสำคัญ

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษาในชั้นตรวจฟ้อง คดีที่ อท.244/2566 ที่พันตำรวจเอกเขมรินทร์ พิสมัย เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.กับชุดพนักงานสอบสวน รวม 244 คน (มีพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล อยู่ด้วย) เป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ, พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริงฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91,157, 162 (4), 179, 200 พรป. ป.ป.ช.พ.ศ. 2561 มาตรา 4, มาตรา 172

ประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งหมด ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, จำเลยที่ 2 เป็นผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, จำเลยที่ 3 เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, จำเลยที่ 4 เป็นผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี รักษาราชการแทนผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ, จำเลยที่ 5 เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รักษาราชการแทนจเรตำรวจ, จำเลย ที่ 6 เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, จำเลยที่ 7 เป็นผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ, จำเลยที่ 8 เป็นรองผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ, จำเลยที่ 9 เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, จำเลยที่ 10 เป็นผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2, จำเลยที่ 11 เป็นผู้บังคับการปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, จำเลยที่ 12 เป็นผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ, จำเลยที่ 13 เป็นผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 5, จำเลย ที่ 14 เป็นผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1, จำเลยที่ 15 เป็นสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 

โดย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 11 และที่ 16 ถึงที่ 105 เป็นพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566 ภาคผนวก ก, จำเลยที่ 106 ถึงที่ 242 เป็นคณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566 ภาคผนวก ข, จำเลยที่ 243 เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจำเลยที่ 244 เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 244 จึงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 

ประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำความผิด โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 4 ที่ 8 ที่ 106 และที่ 108 สั่งการให้จำเลยที่ 205 ที่ 192 ที่ 176 ที่ 180 ที่ 182 ที่ 181 ที่ 224 ที่ 172 ที่ 188 ที่ 187 ที่ 152 และที่ 242 ร่วมกันจับกุมโจทก์กับพวก 

โดยจำเลยที่ 4 สั่งการให้จำเลยที่ 60 และที่ 192 ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอออกหมายจับโจทก์กับพวก โดยปกปิดไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง, จำเลยที่ 60 ลงลายมือชื่อในคำร้องขอออกหมายจับโดยไม่มีอำนาจ และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่า โจทก์กับพวกมีพฤติการณ์หลบหนีและยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, จำเลยที่ 8 ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอออกหมายค้นบ้านพักของโจทก์กับพวก และพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล เป็นเหตุให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, จำเลยที่ 29 นำตัวโจทก์ไปฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในเวลาใกล้ปิดทำการ และคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว 

โจทก์กับพวก ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับจำเลยที่ 244 เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวน แต่จำเลยที่ 244 เพิกเฉย ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่โจทก์กับพวกโดยมิได้มีพยานหลักฐานใหม่ จึงเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่มิชอบ และขัดแย้งกับข้อกล่าวหาเดิม กับเป็นข้อกล่าวหาที่ซ้ำซ้อน ทำให้โจทก์กับพวกหลงต่อสู้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 11 ที่ 16 ถึงที่ 105 ร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อปรักปรำโจทก์กับพวก 

เห็นว่า ที่โจทก์อ้างว่า ไม่ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิด การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมไม่ชอบ มีการปรุงแต่งเรื่องราวนำมากล่าวหาโจทก์กับพวก ล้วนแต่เป็นข้อต่อสู้ที่โจทก์ต้องนำไปพิสูจน์ว่าโจทก์กับพวกมิได้กระทำความผิด มิใช่ข้อที่จะนำมาฟ้องจำเลยกับพวกในคดีนี้ และการวินิจฉัยสั่งคดีของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนนี้มิใช่การวินิจฉัยว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) มีความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเช่นกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ทั้งเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะเรียกบุคคลใดมาเป็นพยานหรือไม่ก็ได้ หรือจะรวบรวมหรือไม่รวบรวมพยานหลักฐานใดเข้าไว้ในสำนวนการสอบสวนก็ได้ และการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนั้นหมายความว่า ข้อกล่าวหาเดิมยังคงอยู่ มิใช่ต้องตกไปเพราะพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ตามที่โจทก์เข้าใจ ส่วนที่ข้อกล่าวหาเดิมจะขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับข้อกล่าวหาใหม่หรือไม่ ก็เป็นข้อกฎหมายที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย 

สำหรับการยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับและหมายค้น ต่างศาลกัน เป็นเพราะศาลที่มีอำนาจออกหมายจับ คือศาลที่มีเขตอำนาจชำระคดีหรือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการจับ ส่วนศาลที่มีอำนาจออกหมายค้น คือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น 

ส่วนการยื่นขอออกหมายจับโดยไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง ในหมายจับนั้น เห็นว่า ยศของข้าราชการตำรวจเป็นเพียงการแสดงถึงจำนวนปีที่รับราชการเท่านั้น อีกทั้งฐานความผิดที่ระบุในหมายจับ ก็เป็นฐานความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กับทั้งการที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ จะพิจารณาออกหมายจับตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของผู้ร้องที่เสนอมาตามสมควร ซึ่งเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่าการระบุยศ ตำแหน่ง หรืออาชีพ ที่มิได้เกี่ยวข้องกับฐานความผิด ดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น ส่วนจำเลยที่ 60 ที่มียศร้อยตำรวจเอก จึงเป็นการลงชื่อในคำร้องขอออกหมายจับที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว  

สำหรับการนำตัวโจทก์กับพวกไปฝากขังต่อศาลในเวลาใกล้ปิดทำการ การคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และเหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวกับคำร้องขอฝากขังนั้น 

เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เหตุถึงขนาดที่จะฟังว่าจำเลยกับพวกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 

การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อจำเลยที่ 244 (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์) เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่า จำเลยที่ 244 ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการอย่างใดในหน้าที่ อันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 

ส่วนข้อกล่าวอ้างอื่นๆ ได้แก่ การค้นบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ เป็นเหตุให้ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ดี การโอนคดีไปอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ก็ดี และการนำพยานหลักฐานเดิมมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ก็ดี ล้วนแต่เป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ลำพังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง 

พิพากษายกฟ้อง!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top