Sunday, 20 April 2025
น้ำมันเถื่อน

ผบ.ตร.สั่งจเรตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี นายพล จ. เอี่ยวพนันออนไลน์และน้ำมันเถื่อน รายงานผลภายใน 15 วัน ย้ำหากเชื่อมโยงใคร พร้อมฟันเอาผิดทุกรายอย่างเด็ดขาดทั้งอาญา วินัย

(14 ก.พ. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้มีหนังสือที่ 0001(ผบ)/32 ลง 13 กุมภาพันธ์ 2566 สั่งการไปยังจเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ปรากฎตามข่าวสื่อสังคมออนไลน์และสื่อต่างๆ กล่าวถึงข้าราชการตำรวจที่ชื่อ “สารวัตรซัว” ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ และยังกล่าวถึงข้าราชการตำรวจนามว่า “นายพล จ” ว่ามีการจัดระเบียบการพนันออนไลน์ เรียกรับผลประโยชน์ แบ่งประเภทการจ่ายต่อเดือน นอกจากนั้นยังมีการพาดพิงถึงการเรียกรับผลประโยชน์น้ำมันเถื่อน”    

“ผบ.ตร.จึงสั่งการให้ จตช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวเพื่อให้ปรากฎข้อเท็จจริง ทั้งพฤติการณ์การกระทำผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทั้งทางอาญา วินัย หรือไม่อย่างไร แล้วรายงานให้ทราบภายใน 15 วัน โดยหากมีข่าวหรือข้อมูลทางสื่อมวลชนหรือสื่อออนไลน์ในเรื่องเดียวกันเพิ่มเติม หรือมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มไปในคราวเดียวกันด้วย” โฆษก ตร.ระบุเพิ่ม

'ผบ.ตร.' สั่ง สอบ 'นายพล จ.' ปมพนันออนไลน์-น้ำมันเถื่อน ย้ำ หากพบเชื่อมโยงใคร พร้อมเอาผิดขั้นเด็ดขาดทุกราย!!

(14 ก.พ. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. กล่าวว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้มีหนังสือที่ 0001 (ผบ)/32 ลง 13 กุมภาพันธ์ 2566 สั่งการไปยังจเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ปรากฎตามข่าวสื่อสังคมออนไลน์และสื่อต่าง ๆ กล่าวถึงข้าราชการตำรวจที่ชื่อ 'สารวัตรซัว' ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ และยังกล่าวถึงข้าราชการตำรวจนามว่า 'นายพล จ.' ว่ามีการจัดระเบียบการพนันออนไลน์ เรียกรับผลประโยชน์ แบ่งประเภทการจ่ายต่อเดือน นอกจากนั้น ยังมีการพาดพิงถึงการเรียกรับผลประโยชน์น้ำมันเถื่อน”

“ผบ.ตร.จึงสั่งการให้ จตช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว เพื่อให้ปรากฎข้อเท็จจริง ทั้งพฤติการณ์การกระทำผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทั้งทางอาญา วินัย หรือไม่อย่างไร แล้วรายงานให้ทราบภายใน 15 วัน โดยหากมีข่าวหรือข้อมูลทางสื่อมวลชนหรือสื่อออนไลน์ในเรื่องเดียวกันเพิ่มเติม หรือมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มไปในคราวเดียวกันด้วย”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งปราบน้ำมันเถื่อนเต็มรูปแบบ ทั้งทางบกและทางน้ำ

จากกรณีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่มีการตรวจพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศเพื่อนบ้าน นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากราคาน้ำมันของประเทศไทยที่สูงกว่าประเทศมาเลเซียกว่าเท่าตัว ทำให้ผู้กระทำผิดสบช่องโอกาสในการหากำไรจากความต่างดังกล่าว ลักลอบนำน้ำมันมาขายให้กับลูกค้ารายย่อยในพื้นที่ เช่น ปั๊มหลอด โรงงาน รถขนส่ง หรือเรือประมงขนาดเล็ก ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีน้ำมันมากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ให้ดำเนินการปราบปรามเครือข่ายลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ศปนม.ตร. เร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิด โดยเน้นการเพิ่มการป้องกันตามชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งพบการกระทำผิดคือ สงขลา สตูล และนราธิวาส รวมทั้งพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงคือปัตตานี ยะลา ตรัง และพัทลุง เป็นต้น รวมทั้งการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กองทัพเรือ และศรชล เป็นต้น

โดยทางบกมีรายสำคัญ ได้แก่ กลุ่มเจ้ฟางซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มค้าน้ำมันเถื่อนกลุ่มนี้ จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มของเจ้ฟางซึ่งมีรถบรรทุกสินค้าเป็นเครือข่าย แต่ละคันจะดัดแปลงถังน้ำมันให้มีขนาดใหญ่ และมีช่องเก็บน้ำมันได้มากขึ้น

โดยรถบรรทุกเหล่านี้ จะเข้าไปส่งสินค้าที่ชายแดนประเทศมาเลเซียทุกวัน วันละนับสิบรอบ เมื่อรถขนสินค้าเสร็จ ก็จะเติมน้ำมันจนเต็มถังที่ดัดแปลง และขับกลับออกมาจากชายแดนมุ่งหน้าไปยังโกดังในตำบลทุ่งลุง ซึ่งอยู่ห่างพรมแดนประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อไปรอถ่ายให้กับรถปิ๊กอัพ ที่จอดรออยู่ในโกดังชายป่า บริเวณริมถนนกาญจนวนิช ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 
        
ชุดปฏิบัติการ ศปนม.จึงได้บุกเข้าไปจับกุมนายนี อุสมาน / นายอีบ  หมัดยูโชะ ขณะกำลังถ่ายน้ำมันจากรถขนส่ง ให้กับรถปิ๊กอัพดัดแปลงที่โกดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ตำบลทุ่งลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบ รถกระบะ Toyota สีบรอน 2คัน ทะเบียน 3ฒธ 1065 และ 3ฒธ 7065 ตีตู้ทับ ภายในบรรทุกถังน้ำมันดีเซล 2 พันลิตร 

โดยกล่าวหาว่า  มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 203

ทหารเรือ จับเรือขนน้ำมันเถื่อนกว่าแสนลิตร กลางทะเล ทำลายเศรษฐกิจชาติ

กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) และ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ( ศรชล.ภาค 1) บูรณาการร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง แถลงข่าวการจับกุม และร่วมตรวจสอบเรือบรรทุกน้ำมันผิดกฎหมาย ณ ท่าเรือกลางอ่าว กองบัญชาการกองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ตามที่ ทัพเรือภาคที่ 1 บูรณาการร่วมกับ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 และประสานการข่าวกับกรมข่าวทหารเรือ ร่วมกันทำการปฏิบัติการด้านการข่าวเชิงรุก จนนำไปสู่การมอบหมายภารกิจสั่งการให้ เรือ ต.992 จากกองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 1 ดำเนินการตรวจสอบและจับกุม เรือบรรทุกสินค้าทั่วไปดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน ที่มีพฤติกรรมลักลอบขนน้ำมันผิดกฎหมาย บริเวณใต้ เกาะทะลุ จังหวัดระยอง ผลการปฏิบัติ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2567 เวลา 19.30 น. ได้ทำการจับกุมเรือชื่อ บ.ดิวันมารีนทัวร์ มีไต๋รวมลูกเรือ จำนวน 3 คน และจากการตรวจสอบจากชุดสหวิชาชีพ พบของกลางเป็นน้ำมันดีเซลหลบเลี่ยงภาษี จำนวน 104,000 ลิตร โดยได้ควบคุมเรือดังกล่าว ไปยังท่าเรือ กลางอ่าว กองบัญชาการ กองเรือยุทธการ  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ก่อนในวันนี้ พลเรือโท สุระศักดิ์  สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1(ผบ.ทรภ.1) และ  ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1  (ผอ.ศรชล.ภาค 1) ได้แถลงข่าวการจับกุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1, สำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิตร, สำนักเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา แล ะสาขาระยอง, สำนักงานประมงจังหวัดชลบุรี, สถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ, ชุดเฉพาะกิจปราบปรามน้ำมันเถื่อนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กรมศุลกากร ซึ่งจะบูรณาการร่วมกันตรวจสอบเรือดังกล่าวและที่มาของน้ำมันเพื่อขยายผลต่อไป ทั้งนี้ การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือที่ให้ดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายในทะเลอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

ชลบุรี-ตำรวจน้ำสัตหีบ เข้าแจ้งความ เรือของกลาง 3 ลำ คดีน้ำมันเถื่อนหาย

วันนี้ 12 มิ.ย.67 ที่ สภ.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร.ต.ท.สันติชล หุมอาจ รองสารวัตรสอบสวน สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งความจาก จนท.ตำรวจน้ำสัตหีบ ว่า เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนจำนวน 3 ลำ ของกลางในคดี ที่ถูกควบคุมให้ทอดสมออยู่ในอ่าวสัตหีบ ได้หนีหายไป เมื่อกลางดึกของวันที่ 11 มิ.ย.67 และคาดว่าน่าจะมุ่งหน้าไปทาง จ.ตราด และเข้าไปในเขตทะเลประเทศเพื่อนบ้านแล้ว

จากการสอบถามทราบว่า เมื่อวันที่ (12 มิ.ย.67) เวลาประมาณ 06.00 น. พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน. (ตร.น้ำสัตหีบ) ได้รับแจ้งว่า เรือของกลาง จำนวน 3 ลำ ประกอบด้วย 1. เรือ เจ.พี. มีของกลาง น้ำมันเถื่อนประมาณ 80,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ 7 คน  2. เรือซีฮอต มีน้ำมันเถื่อนประมาณ 150,000 ลิตร ลูกเรือ 6 คน และ 3. เรือดาวรุ่ง มีน้ำมันเถื่อนประมาณ 100,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ จำนวน 5 คน ได้หายไปจากจุดทิ้งสมอ สืบเนื่องจาก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย.67 มีพายุเข้าในพื้นที่ อำเภอสัตหีบ มีกระแสลมแรง ทำให้สะพานตำรวจน้ำ ไม่สามารถรองรับนำหนักเรือของกลาง ที่จอดอยู่บริเวณหัวสะพานทั้งหมดได้ จึงให้เรือของกลางฯ ทั้ง 3 ลำ ออกไปลอยลำเพื่อทำการทิ้งสมอ ในระยะปลอดภัย ห่างจากสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ ประมาณ 100 เมตร

และในเวลา 08.00 น. ของวันที่ 12 มิ.ย.67 พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน. พร้อมด้วย ข้าราชการตำรวจ ในสังกัด ส.รน.3 กก.5 บก.รน.(ตำรวจน้ำสัตหีบ) ได้นำเรือตรวจการณ์ 815 และ เรือตรวจการณ์ 632 ออกทำการค้นหา เพื่อติดตามเรือของกลาง จำนวน 3 ลำ กลับมา 

เมื่อเวลา 11.00 น. เรือตรวจการณ์ 815 และ 632 ยังคงทำการค้นหา ปัจจุบันยังไม่พบเรือ ของกลาง จำนวน 3 ลำ แต่อย่างใด โดยเรือทั้งหมด ถูกตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (กก.2 บก.ปอศ.) จับกุมเมื่อวันที่ 17 มี.ค.67 ที่ผ่านมา      

โดยเรือน้ำมันเถื่อนของกลางทั้งหมด จอดรวมกันในวันที่เกิดเหตุและได้เกิดพายุลมแรง จึงให้นำเรือทั้งหมดออกไปจอดทอดสมอห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ตำรวจที่เข้าเวรยังมองเห็นเรือดังกล่าวเปิดไฟ เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 11 มิ.ย.67 กระทั่งช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. เรือทั้งหมดได้ดับไฟ จนกระทั่งช่วงเช้าจึงพบว่าเรือหายไปแล้ว จึงมสแจ้งความร้องทุกข์เพื่อเป็นหลักฐานต่อไป

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งคลี่คลายคดีอย่างเร็วที่สุด โดยให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกค้นหา ทั้งทางเรือและทางอากาศ เนื่องจากของกลางหายเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะอยู่ในความควบคุมของตำรวจ โดย พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. ได้ตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงให้เร็วที่สุด และหาผู้กระทำผิดมารับผิดชอบต่อไป

สำหรับเรือทั้ง 3 ลำ ที่หายไปในครั้งนี้ เป็นเครือข่ายของ 'โจ้ น้ำมันเถื่อน' หรือ 'โจ้ ปัตตานี' ซึ่งเป็นขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในภาคใต้ ที่หลบหนีหมายจับคดีน้ำมันเถื่อนหลายคดีอยู่ในต่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top