ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ พุ่งทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูงลิ่ว ในขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวโทษว่า มันเป็นผลกระทบจากปฏิบัติการรัสเซียรุกรานยูเครน
รายงานข่าวระบุว่า ราคาหน้าสถานีบริการสำหรับน้ำมันเบนซินธรรมดา เพิ่มขึ้นเป็น 4.60 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (157.17 บาท) เมื่อวันพฤหัสบดี (26 พ.ค.) และทรงตัวอยู่ในระดับดังกล่าวในวันศุกร์ (27 พ.ค.) จากข้อมูลของสมาคมรถยนต์แห่งอเมริกา (AAA) ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบสัญญาสหรัฐฯ เวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด ดีดตัวขึ้นกว่า 51% ในปีที่แล้ว
พวกผู้ขับขี่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางรัฐที่ราคาพุ่งสูงอยู่ก่อนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ราคาเบนซินแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ เกือบๆ 6.08 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (207.74 บาท) ส่วนฮาวายและวอชิงตัน ก็ทุบสถิติสูงสุดของแต่ละรัฐเช่นกัน เฉลี่ยแล้ว 5.43 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (ราว185.53 บาท) และ 5.22 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (178.36 บาท) ตามลำดับ
ส่วนราคาดีเซลยังคงอยู่ระดับสูงเช่นกัน ค่าเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 5.53 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (ราว 188.95 บาท) ต่ำกว่าเล็กน้อยจากสถิติสูงสุดตลอดกาล 5.57 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกนักวิเคราะห์เตือนว่าราคาดีเซลที่ดีดตัวสูงขึ้นจะก่อความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากเชื้อเพลิงชนิดนี้ใช้กับรถบรรทุกและรถไฟ ที่ส่งมอบสินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทั้งหมด และใช้กับอุปกรณ์ด้านการเกษตรที่ใช้ในการผลิตอาหารของสหรัฐฯ
ฟิลิป เวอร์เลเกอร์ จูเนียร์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงานระดับอาวุโส ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทม์ส ว่า "ประชาชนควรต้องกังวลอย่างที่สุด" หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน เขาประมาณการว่าราคาดีเซลจะแตะระดับ 10 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ในช่วงปลายฤดูร้อนปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
