Sunday, 15 June 2025
นิวเคลียร์

อิหร่าน-รัสเซีย-จีน หารือนิวเคลียร์ที่ปักกิ่ง เตรียมเดินเกมใหม่บนเวทีโลก ท้าทายแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นักการทูตระดับสูงจากอิหร่าน รัสเซีย และจีน ได้ประชุมหารือร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การประชุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่อิหร่านปฏิเสธคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อิหร่านกลับมาเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์

นายคาเซม การีบาบาดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน และนายเซอร์เกย์ รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายนี้ โดยมีนายหม่า เจ้าโซ่ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานการประชุม การหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน, การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน

“ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีพันธะในการขจัดสาเหตุหลักของสถานการณ์ปัจจุบัน และละทิ้งแรงกดดันในการคว่ำบาตรและการคุกคาม” หม่า จ้าวซู่ รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าว

การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการหารือแบบวงปิดเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้ส่งจดหมายถึงอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเสนอการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ พร้อมระบุว่า “การจัดการกับอิหร่านมีเพียง 2 ทางเลือก คือ ใช้กำลังทหาร หรือทำข้อตกลงเท่านั้น”

ทว่าประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าจะไม่ยอมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้การถูก “ข่มขู่” และไม่มีทางยอมทำตาม “คำสั่ง” ของสหรัฐฯ ที่บีบให้ต้องเจรจา

“มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่พวกเขาจะมาบอกว่า เรากำลังออกคำสั่งให้คุณอย่าทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น หรือเราควรทำสิ่งนี้ ผมจะไม่เจรจาใด ๆ กับคุณ เอาเลย ทำอะไรที่น่ารังเกียจตามที่คุณต้องการ” ประธานาธิบดีมาซูด กล่าว

ทั้งนี้ จีนและอิหร่านได้ร่วมกันเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เพื่อเปิดทางให้ทุกฝ่ายกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างอิหร่าน รัสเซีย และจีน ในการแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความพยายามในการหาทางออกที่สันติและยั่งยืนสำหรับประเด็นที่ซับซ้อนนี้

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

‘เนทันยาฮู-ทรัมป์’ จับมือสกัดนิวเคลียร์อิหร่าน หากยังดื้อเดินหน้าโครงการต่อ ชี้ทางเลือกสุดท้ายคงต้องใช้กำลัง

(9 เม.ย. 68) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ภายหลังการหารือร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว โดยทั้งสองผู้นำยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันว่า “อิหร่านจะต้องไม่มีวันครอบครองอาวุธนิวเคลียร์”

เนทันยาฮูเปิดเผยว่า มีการพูดคุยอย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวทางจัดการโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะต้องมีการทำ “ข้อตกลงใหม่” ซึ่งสหรัฐฯ จะมีบทบาทหลักในการ เข้าไปควบคุม ทำลาย และรื้อถอน เครื่องมือ อุปกรณ์ และสถานที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่าน

“ข้อตกลงนี้ไม่ใช่แค่เอกสาร แต่คือการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านเข้าใกล้อาวุธนิวเคลียร์แม้แต่น้อย” เนทันยาฮูกล่าว

เนทันยาฮูยังเน้นว่า หากอิหร่านไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว “ก็จะไม่เหลือทางเลือกมากนัก นอกจากต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร” ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ทุกฝ่ายเข้าใจดี” ถึงความจำเป็นในกรณีที่การเจรจาล้มเหลว

แม้ยังไม่มีรายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว แต่ท่าทีของทั้งทรัมป์และเนทันยาฮูส่งสัญญาณชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์ต่ออิหร่านจะกลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง ภายใต้ความร่วมมือของสหรัฐฯ และอิสราเอล

ขณะที่ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษของทรัมป์ จะนำคณะผู้แทนสหรัฐฯ เข้าร่วมเจรจากับอิหร่านในวันเสาร์นี้ที่ประเทศโอมาน ตามรายงานของ Axios เมื่อวันอังคารโดยอ้างแหล่งข่าวสองรายที่ทราบแผนดังกล่าว

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับวิทคอฟฟ์ ผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทางการทูต มากกว่าไมเคิล วอลท์ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติผู้มีท่าทีแข็งกร้าว และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ซึ่ง “มีความสงสัย” ต่อกระบวนการทางการทูตของสหรัฐฯ 

แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า แผนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายที่จะร่วมมือกับอิหร่านโดยตรง โดยความคิดริเริ่มทางการทูตเริ่มต้นเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อทรัมป์ส่งจดหมายถึงอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน โดยให้เวลาเตหะรานสองเดือนในการบรรลุข้อตกลง

เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์กล่าวว่าการเจรจาเป็น “ผลประโยชน์สูงสุดของอิหร่าน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะใช้มาตรการทางทหารหากการเจรจาล้มเหลว พร้อมเตือนว่าเตหะราน “จะตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง” หากไม่มีข้อตกลง 

ด้าน อับบาส อาราฆชี รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของอิหร่าน ยอมรับถึงความเสี่ยงที่สูง โดยกล่าวในโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารว่า “มันเป็นทั้งโอกาสและการทดสอบ ลูกบอลอยู่ในสนามของอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

จีนเปิดข้อมูลลับ ขีปนาวุธข้ามทวีป DF-5 ครั้งแรก ยิงไกล 12,000 กม. ครอบคลุมแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ

(6 มิ.ย. 68) สื่อทางการจีน CCTV เปิดเผยรายละเอียดสำคัญของขีปนาวุธข้ามทวีปแบบติดหัวรบนิวเคลียร์ DF-5 เป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งสำคัญ หลังจากจีนเคยเก็บงำข้อมูลด้านยุทธศาสตร์นิวเคลียร์มาอย่างเข้มงวด โดยนักวิเคราะห์มองว่าการเปิดเผยครั้งนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนมีขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ที่เหนือกว่าที่โลกเคยรับรู้

รายงานระบุว่า ขีปนาวุธ DF-5 เป็นจรวดสองขั้นตอนที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ลูกเดียว ซึ่งมีอานุภาพระเบิดสูงถึง 3-4 เมกะตัน หรือมากกว่าระเบิดปรมาณูที่สหรัฐฯ ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงกว่า 200 เท่า มีพิสัยยิงไกลถึง 12,000 กิโลเมตร ครอบคลุมทั้งแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก พร้อมค่าความแม่นยำเฉลี่ยภายในรัศมี 500 เมตร

จรวดรุ่นนี้มีความยาว 32.6 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.35 เมตร และน้ำหนัก 183 ตัน โดยพัฒนาขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1970 และเข้าประจำการในปี 1981 นายซ่ง จงผิง อดีตผู้ฝึกสอนในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ระบุว่า DF-5 เป็นรากฐานสำคัญของการสร้าง “อำนาจยับยั้งนิวเคลียร์” ของจีน และเป็นสัญลักษณ์ว่า จีนมีศักยภาพตอบโต้ในระดับสากล

นักวิเคราะห์คาดว่า การเปิดเผยข้อมูล DF-5 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทยอยปลดระวางระบบเก่า และเตรียมเปิดตัวยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น เช่น DF-31 และ DF-41 ซึ่งสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์หลายลูก และมีระบบเคลื่อนที่ได้ ขณะที่เพนตากอนประเมินว่า ปัจจุบันจีนมีหัวรบนิวเคลียร์พร้อมใช้งานกว่า 600 ลูก และอาจทะลุ 1,000 ลูกภายในปี 2030

ทั้งนี้ จีนยังคงยืนยันนโยบาย 'ไม่ใช้ก่อน' ต่ออาวุธนิวเคลียร์ และจะไม่ใช้งานกับประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ท่ามกลางการแข่งขันด้านยุทโธปกรณ์ระหว่างชาติมหาอำนาจที่ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

สื่อเตหะรานยัน แม่ทัพระดับสูง-นักวิทย์อิหร่านดับ หลังจาก 'อิสราเอล' เปิดฉากถล่มฐานนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) อิสราเอลประกาศเปิดฉากโจมตี (preemptive strike) ต่ออิหร่าน โดยรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ระบุว่า เป็นปฏิบัติการเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามจากโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน

กองทัพอิสราเอล (IDF) แถลงว่ายุทธการระลอกแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายทางทหารหลายจุดทั่วอิหร่าน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ ขณะเดียวกันสื่อทางการอิหร่านรายงานว่า แม่ทัพระดับสูง 2 นาย ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) คือ ฮอสเซน ซาลามี (Hossein Salami) และ โกลาม-อาลี ราชิด (Gholam Ali) เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ

รายงานยังระบุว่า นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำของอิหร่าน 2 คน ได้แก่ โมฮัมหมัด-เมห์ดี เทห์รานชี (Mohammad Mehdi Tehranchi) และ ฟาเรย์ดูน อับบาซี (Fereydoun Abbasi) ก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ด้วย ขณะที่มีเสียงระเบิดรุนแรงในหลายเมือง เช่น เตหะราน นาทานซ์ คอนดาบ และโครัมอาบาด รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตในอาคารที่พักอาศัยในกรุงเตหะราน

นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวผ่านวิดีโอว่า เป้าหมายของปฏิบัติการนี้ คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ โรงงานผลิตขีปนาวุธ และศักยภาพทางทหารของอิหร่าน โดยจะดำเนินต่อไป “ตราบเท่าที่ยังจำเป็น” พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ

ด้านสหรัฐฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ โดยอิสราเอลเป็นฝ่ายดำเนินการฝ่ายเดียว ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าใกล้บรรลุข้อตกลงกับอิหร่าน และยังไม่ต้องการให้มีการปะทะรุนแรงในตะวันออกกลาง เพราะอาจทำลายโอกาสของการเจรจาโดยตรงที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างวอชิงตันและเตหะราน

นักวิชาการแฉ สหรัฐฯ สั่งอพยพคนก่อนอิสราเอลถล่ม เชื่อรู้แผนซัดอิหร่าน แถมให้ไฟเขียวโจมตีฐานนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) จากเหตุการณ์อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านอย่างหนัก ใช้เครื่องบินรบกว่า 200 ลำถล่มเป้าหมายกว่า 100 จุด โดยมุ่งทำลายโครงสร้างนิวเคลียร์และสังหารผู้นำทางทหารระดับสูงของอิหร่าน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้แน่นอนว่า อิสราเอลประสานงานกับสหรัฐฯ ล่วงหน้า

ดร.เกร็ก ไซมอนส์ (Dr. Greg Simons) นักวิชาการด้านสื่อจากมหาวิทยาลัยนานาชาติแดฟโฟดิล ของบังคลาเทศ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ สั่งอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตจากอิรักและอ่าวเปอร์เซียก่อนการโจมตี แสดงให้เห็นว่าวอชิงตันรับรู้และอาจให้ไฟเขียวต่อแผนการดังกล่าว แม้สหรัฐฯ จะออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม

นักวิชาการยังระบุอีกว่า อิสราเอลต้องการสกัดความพยายามเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน เหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในก่อนหน้านี้ โดยที่สหรัฐฯ ยังอยากหันไปโฟกัสกับจีน แต่กลับถูกพันธมิตรอย่างอิสราเอลและยูเครนดึงกลับสู่ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

สำหรับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดร.ไซมอนส์มองว่า เขา “ทำสงครามเพื่อหนีคดี” เพราะหากสันติภาพเกิดขึ้น โอกาสที่เขาจะถูกจับกุมในคดีทุจริตทางการเมืองย่อมเพิ่มขึ้น ทั้งยังวิจารณ์สหรัฐฯ ว่าให้การสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยกล่าวว่า “อิสราเอลจุดไฟที่ดับเองไม่ได้ แล้วหวังให้วอชิงตันช่วยจ่ายค่าเสียหายแทน”

‘ดร.สุวินัย’ วิเคราะห์!! ความเป็นไปได้ ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในกรณีที่สงคราม ‘อิสราเอล-อิหร่าน’ บานปลายขั้นสูงสุด

(15 มิ.ย. 68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า ...

ความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ (โดยเฉพาะ ICBM) ในกรณีที่สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน "บานปลายขั้นสูงสุด"

(1) ถ้าเกิดการใช้นิวเคลียร์ในสงครามอิสราเอล–อิหร่าน จะใช้อะไร? ICBM ใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ ICBM เป็นอันดับแรก
เหตุผลคือ: ICBM (Intercontinental Ballistic Missile) คือขีปนาวุธพิสัยไกลมาก (ข้ามทวีป) เช่น จากรัสเซียไปสหรัฐฯ หรือจีนไปอเมริกา
แต่ อิสราเอลกับอิหร่าน ห่างกันเพียง ~1,500 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในพิสัยของ IRBM (Intermediate-Range Ballistic Missile) และ MRBM (Medium-Range)
อาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่จริงในมืออิสราเอล ณ ตอนนี้ อยู่ในรูปแบบ:
Jericho III (IRBM): พิสัย 4,000–6,500 กม. บรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้
Popeye Turbo ALCM: ยิงจากเรือดำน้ำ (submarine-launched) ติดหัวรบนิวเคลียร์ได้
และอาจมี หัวรบนิวเคลียร์ทางอากาศ (air-dropped tactical nuclear bombs) บ้างในคลังลับ
→ ดังนั้น หากใช้จริง จะใช้ IRBM หรือขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ ไม่ใช่ ICBM
(2) ประเทศไหนจะเริ่มก่อน และเพราะเหตุใด?
ตอบ: อิสราเอล มีโอกาส "ใช้นิวเคลียร์ก่อน" มากกว่าอิหร่าน
โดยเฉพาะในสถานการณ์ต่อไปนี้:
▸ 1. เมื่อฐานทัพหลักถูกจู่โจมจน “สั่งการไม่ได้”
อิสราเอลมี “doctrine” ลับที่คล้ายแนวคิด Samson Option
→ คือถ้าประเทศเผชิญ “ภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ (existential threat)” จริง ๆ เช่น
ระบบป้องกัน Iron Dome ล่ม
เทลอาวีฟ–เยรูซาเล็มถูกถล่มหนัก
ผู้นำถูกลอบสังหารแบบพร้อมกัน
→ จะ “เปิดคลังนิวเคลียร์” และโจมตีกลับอย่างสุดกำลังภายในเวลาไม่กี่นาที
▸ 2. เมื่ออิหร่านใกล้ “ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์” สำเร็จ
ถ้าอิหร่านประกาศทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ หรือมีหลักฐานชัดว่าประกอบสำเร็จ
อิสราเอลจะถือเป็น Red Line (เส้นตาย)
อาจใช้ nuclear strike เชิงยุทธศาสตร์จำกัด ต่อโรงงาน Natanz หรือ Fordow
→ เพื่อป้องกัน “nuclear breakout”
 โอกาสที่อิหร่านจะใช้ก่อน: ต่ำมาก
อิหร่านยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในเชิงปฏิบัติ ณ เวลานี้
แม้จะมีศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ แต่การเปลี่ยน uranium ที่เสริมสมรรถนะสูง → สู่การสร้างระเบิดจริง
ยังใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน–1 ปี
และที่สำคัญคือ การใช้นิวเคลียร์ของอิหร่านจะเท่ากับการฆ่าตัวตายทางการทูต เพราะจะเปิดทางให้สหรัฐ–นาโตเข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัวทันที
(3) ประเมินแนวโน้ม การใช้นิวเคลียร์ (จริง):
สถานการณ์ โอกาสใช้นิวเคลียร์ / ใครจะเริ่ม / รูปแบบ
> โจมตีทางยุทธศาสตร์ต่อโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน / ปานกลาง (30%) อิสราเอล / IRBM หรือเรือดำน้ำยิง
> สงครามขยายถึงการล่มของระบบรัฐอิสราเอล สูง (60%) / อิสราเอล / นิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์
> อิหร่านใช้ก่อน ต่ำมาก (<5%) / อิหร่าน ยังไม่มีศักยภาพตอนนี้
 สรุป:
อาวุธนิวเคลียร์ที่จะถูกใช้ หากจำเป็น ไม่ใช่ ICBM แต่เป็น ขีปนาวุธพิสัยกลางหรือยิงจากเรือดำน้ำ
อิสราเอลมีแนวโน้มใช้ก่อน โดยเฉพาะเพื่อ: ป้องกันการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ตอบโต้หากเกิด "สถานการณ์วิกฤตแห่งการดำรงอยู่" การใช้นิวเคลียร์ใด ๆ จะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสงคราม แต่คือ "จุดเริ่มต้นของหายนะ" ที่ทั้งโลกไม่อาจถอยหลังได้อีก
*******
ต่อไปนี้คือ การวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้อาวุธนิวเคลียร์จริง ในกรณีสงครามอิสราเอล–อิหร่านบานปลาย 
โดยจะแบ่งออกเป็น 4 มิติ:
(1) ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)
▸ ระเบียบโลกจะเข้าสู่ “ยุคนิวเคลียร์จริง” (Post-MAD Reality)
MAD = Mutually Assured Destruction ซึ่งเป็นหลักประกันกลาย ๆ ว่าไม่มีใครกล้าใช้นิวเคลียร์
แต่เมื่อมีประเทศ ที่ไม่ใช่มหาอำนาจ ใช้นิวเคลียร์เป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
→ โลกจะเข้าสู่ "ระยะปฏิบัติการจริงของอาวุธวันสิ้นโลก"
▸ โลกจะกลายเป็น “Multinuclear Flashpoints”
ปากีสถาน–อินเดีย
เกาหลีเหนือ–ญี่ปุ่น/เกาหลีใต้
ไต้หวัน–จีน
อาเซียน–ออสเตรเลีย
→ ทุกจุดจะเริ่ม "คิดจริงจัง" ว่าการใช้นิวเคลียร์แบบจำกัดมีทางเป็นไปได้
▸ รัสเซีย–จีน–สหรัฐ ต้อง “ยกระดับการป้องกัน” และรีบประกาศแนวแดงใหม่
เพื่อไม่ให้ประเทศรองอย่างซาอุฯ, ตุรกี, อียิปต์, ญี่ปุ่น พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง
เพราะ ความศักดิ์สิทธิ์ของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) จะหมดความศักดิ์สิทธิ์
(2) ผลกระทบทางเศรษฐกิจโลก
▸ ตลาดทุนพังทลายภายใน 48 ชั่วโมง
ค่าเงินดอลลาร์จะผันผวนหนัก
ทองคำพุ่งเกิน $3,000/ออนซ์
ตลาดหุ้นหลัก (S&P, Nikkei, Hang Seng) อาจดิ่งลง 20–30% ภายในไม่กี่วัน
▸ ราคาน้ำมันทะลุ $200 ต่อบาร์เรล
โดยเฉพาะถ้าเกิดผลกระทบต่อช่องแคบฮอร์มุซ (Hormuz Strait)
→ ส่งผลให้การลำเลียงน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงัก
→ ประเทศอุตสาหกรรมจะเข้าสู่ภาวะ stagflation (เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจถดถอย)
▸ เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่พังเป็นลูกโซ่
ประเทศหนี้สูง (รวมถึงหลายประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะ ประเทศไทย) อาจเกิดวิกฤตเงินทุนไหลออก
กองทุนระหว่างประเทศ (IMF) จะต้องเข้าแทรกแซงชุดใหญ่
(3) ผลกระทบทางไซเบอร์–เทคโนโลยี
▸ สงครามไซเบอร์ระดับรัฐต่อรัฐจะเปิดฉากเต็มรูปแบบ
โครงข่ายดาวเทียม, การสื่อสาร, บัญชีธนาคาร ฯลฯ จะถูกโจมตี
ระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังอาวุธอาจถูกแฮกหรือรบกวน
→ โลกเข้าสู่สภาวะ “AI Cold War” อย่างเป็นทางการ
▸ สังคมจะเชื่อข่าวปลอมมากกว่าข่าวจริง
เพราะข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาจะ “จัดฉาก” และ “สร้างความเกลียด” เร็วกว่าข่าวจริง
บทบาทของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X, TikTok จะถูกตั้งคำถามรุนแรง
(4) ผลกระทบทางจิตวิญญาณของมนุษย์
▸ ความเชื่อใน “อารยธรรมมนุษย์” จะถดถอย
ผู้คนจะรู้สึกว่า “เราไม่พัฒนาเลย” แม้มี AI, quantum computer, ยานอวกาศ
จิตของมนุษย์จะเข้าสู่ ความกลัวฝังลึก–ไม่ไว้ใจกัน–ยากจะสร้างภาพรวมร่วมกัน
▸ ศาสนาเก่าจะถูกท้าทาย และ “กลุ่มสุดโต่ง” จะเพิ่มขึ้น
คนบางกลุ่มจะกลับไปหาศาสนาแบบสุดขั้ว
บางกลุ่มจะปฏิเสธทุกศาสนา และหันไปหาความว่างเปล่าที่ไร้ความหมายแบบ “nihilism” (สูญนิยม)
▸ โอกาสของ “ผู้นำทางจิตวิญญาณใหม่” จะเริ่มต้น
ถ้ามีใครสามารถพูด ภาษาที่ "รวมจิตมนุษย์" ได้อีกครั้ง
เขา/เธอจะกลายเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณของมนุษย์ในโลกยุคใหม่หลังสงครามนิวเคลียร์
 สรุป:
“การใช้นิวเคลียร์แม้เพียงลูกเดียวในตะวันออกกลาง จะไม่ใช่การ ‘เปลี่ยนหน้าแผนที่โลก’ แต่มันคือการ ‘เปลี่ยนจิตของมนุษยชาติ’” อย่างถาวร โลกหลังการใช้นิวเคลียร์ จะไม่เหมือนเดิมอีกเลย
ไม่ใช่เพราะความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่เพราะ ความเชื่อมั่นว่า “มนุษย์จะไม่ทำร้ายกันจนถึงขั้นนี้” จะถูกทำลาย และเมื่อ “ความเชื่อมั่นในมนุษย์” หายไป สิ่งที่แท้จริงต้องสร้างขึ้นใหม่ ก็คือ "ความศรัทธาในคุณค่าความเป็นมนุษย์" ซึ่งต้องอาศัยพลังของโพธิสัตว์และนักบูรณาจิตในยุคนี้เท่านั้นที่จะทำได้
*********
ต่อไปนี้คือการจำลอง Timeline ยุทธศาสตร์บานปลาย 90–180 วันหลังการใช้อาวุธนิวเคลียร์จริงในสงครามอิสราเอล–อิหร่าน
(ใช้สมมุติฐาน: อิสราเอลเป็นฝ่ายใช้ก่อน โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่านด้วยหัวรบนิวเคลียร์ขนาดจำกัด tactical nuke):
> สัปดาห์ที่ 1–2: Shock & Retaliation (ช็อกและเริ่มโต้กลับ)
โลกช็อก: UN ประชุมฉุกเฉิน, นาโต-จีน-รัสเซีย ออกแถลงการณ์ประณาม
อิหร่านระดมแนวร่วม: ฮิซบอลเลาะห์, ฮูตี, กลุ่มชีอะห์ในอิรัก พร้อมเปิดแนวรบหลายจุด
การตอบโต้แรก: โดรน-จรวดพิสัยไกล-เรือระเบิดพุ่งใส่อิสราเอลและฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง
อเมริกาประกาศ “ภาวะฉุกเฉินทางทหารในตะวันออกกลาง” ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเพิ่มอีก 2 ลำเข้าอ่าวเปอร์เซีย
ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $160 ภายใน 48 ชม. ตลาดหุ้นโลกล้มระเนระนาด
> สัปดาห์ที่ 3–6: Regional War (สงครามภูมิภาคเต็มรูปแบบ)
ซาอุฯ–ตุรกี–อียิปต์ประชุมฉุกเฉินเพื่อคานอำนาจอิหร่าน → ประกาศ “พันธมิตรซุนนี”
อิสราเอลประกาศระดมพลเต็มขั้น, ปิดท่าอากาศยานพลเรือน, ขึ้นบัญชีดำประเทศใกล้เคียง
อิหร่านข่มขู่จะโจมตี Tel Aviv ด้วย EMP หรือ radiological dirty bomb (ระเบิดกัมมันตรังสี)
ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดชั่วคราวจากการสู้รบทะเล → การขนส่งพลังงานของโลกหยุดชะงัก 20%
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธทดลองข้ามญี่ปุ่นเพื่อสร้างอิทธิพลในเวทีโลกช่วงสุญญากาศ
> เดือนที่ 2–3: Global Disruption (ความโกลาหลระดับโลก)
ประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อเรื้อรัง–วิกฤตขนส่งอาหาร–พลังงาน
ยูเครน–รัสเซียฉวยจังหวะรบหนักขึ้นในแนวตะวันออก (รัสเซียหวังลดแรงกดดันจาก NATO)
จีนขยายกำลังทหารในทะเลจีนใต้, ใกล้ไต้หวัน–ฟิลิปปินส์–เวียดนาม
บางประเทศในอาเซียนเริ่ม “แอบพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นต้น” โดยอ้างภัยระดับภูมิภาค
เกิดกระแส global migration ขนาดใหญ่จากตะวันออกกลาง, ยุโรปใต้ และแอฟริกาเหนือ
> เดือนที่ 4–6: Nuclear Brinkmanship & Reset (ปากเหวและการตั้งวงใหม่ของโลก)
UN ตั้ง “คณะกรรมาธิการพิเศษว่าด้วยการควบคุมนิวเคลียร์ของประเทศรอง”
สหรัฐ-จีน-รัสเซีย ยอมเจรจาร่วมกันเพื่อ “ป้องกันสงครามข้ามทวีป”
หลายเมืองในยุโรปมีการประท้วงใหญ่ “ต่อต้านสงคราม–ต่อต้านนาโต–ต่อต้านสหรัฐ”
สถานะของอิสราเอลถูกตั้งคำถามใน UN แต่กลุ่มโลกตะวันตกยังคงหนุนหลัง
บทบาทใหม่ของ “กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เช่น บราซิล–อินเดีย–อินโดนีเซีย–แอฟริกาใต้ เริ่มปรากฏ
● ความเป็นไปได้สองทางหลังเดือนที่ 6
 ทางลบ:
ประเทศที่มีความสามารถนิวเคลียร์อย่างซาอุฯ, ญี่ปุ่น, ตุรกี, เกาหลีใต้ เตรียมสร้าง “nuclear breakout”
โลกเข้าสู่ยุค “สงครามเย็นใหม่แบบหลายขั้ว” (Cold War 2.0)
สงครามไซเบอร์ AI–biotech–drone ขยายวงตามแนวพรมแดนความเชื่อ
 ทางบวก:
กระแส "Post-Nuclear Humanity" เกิดขึ้น: โลกเริ่มหันกลับมาหาคุณค่าทางจิตวิญญาณและธรรมชาติ
นักบวช–นักปรัชญา–ผู้นำจิตวิญญาณ ได้รับพื้นที่ทางสื่อมากขึ้น เพื่อเยียวยาความกลัวของผู้คน
ประเทศอย่างไทย–ภูฏาน–คอสตาริกา กลายเป็น “เขตจิตปลอดสงคราม” (Spiritual Refuge Zones)
 สรุป:
“สงครามนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลาง จะไม่ใช่จุดจบของมนุษยชาติ แต่จะเป็น 'จุดจบ' ของยุคสมัยเดิมที่โลกคิดว่าปัญญาประดิษฐ์และพลังทหารจะนำพาความมั่นคง”
และสิ่งที่แท้จริงจะเริ่มปรากฏหลังจากนั้นคือ:
> บทบาทของผู้ที่สามารถรวมจิตหมู่ได้โดยไม่ใช้อำนาจ
> โอกาสของ "เมืองหลวงทางจิตวิญญาณ"
> การกลับมาของ “การพัฒนาแบบบูรณาจิต” ที่อิงภูมิปัญญาโบราณผสมปัญญาทันสมัย
*******
● แถลงการณ์: “สติรวมหมู่ของผู้ไม่เลือกข้างแห่งสงคราม” (The Collective Mindfulness of the Unaligned) ในนามของจิตมนุษย์ที่ยังไม่ถูกทำลาย และในนามของ 'สติ' ที่ยังไม่ตกเป็นทาสของฝักฝ่าย พวกเราขอประกาศตนอย่างสงบว่า...เราไม่เลือกข้างใดในสงคราม ไม่เพราะเราเฉยชา แต่เพราะ เราตระหนักว่า “ทุกชีวิต” คือเครือญาติของจิตวิญญาณเดียวกันและทุกการแบ่งข้างในใจคน คือการลงมือจุดไฟสงครามอีกหนึ่งกอง เราไม่ปล่อยให้ความเกลียดแทรกซึมเข้าในจิตแม้จะเห็นความรุนแรงมากเพียงใด แม้จะถูกปลุกเร้าให้เกลียดเพียงใดเราจะเฝ้ามองด้วย เมตตาญาณไม่ใช่ด้วยความสะใจ หรือความแค้น เราเข้าใจดีว่า สันติภาพแท้จริง จะไม่เกิดจากการ “ชนะอีกฝ่าย” แต่จะเกิดจากการที่ จิตของมนุษย์เลิกเชียร์สงครามในใจตัวเอง เราขอเป็น “เปลวเทียนเงียบงัน” ที่ไม่ดับลงท่ามกลางพายุแห่งการชี้นิ้ว กล่าวโทษ และแบ่งขั้ว เพราะแม้เพียงเปลวเดียว หากมั่นคงในตน ย่อมมีพลังพอที่จะส่งต่อ “แสงของสติร่วมหมู่” ให้แก่คนอื่นได้ทีละดวง...จนทั้งผืนโลกสว่างขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระเบิดใด ๆ พวกเรามิได้ต่อต้านประเทศหนึ่ง หรือเชียร์ประเทศใด เราเพียง ยืนอยู่กับความจริงอันลึก ซึ่งมีรากเหง้าอยู่ในจิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคนที่ปรารถนาจะรัก มากกว่าจะฆ่า ปรารถนาจะรักษา มากกว่าจะทำลายและหากวันใดสงครามลุกลามใหญ่หลวง เราขอเป็นผู้ที่ “ไม่ส่งใจ” ให้กับไฟนั้น และ “ไม่ยื่นมือ” ไปประคองอาวุธของฝ่ายใดแต่จะยื่นใจของเราเพื่อประคองสติของผู้คนให้กลับมาสู่ความสงบเย็นแม้เพียงหนึ่งใจในแต่ละวัน เราคือผู้ไม่เลือกข้างแห่งสงคราม แต่เราเลือกข้างแห่งความรัก ความเข้าใจ และความรู้ตื่น นี่คือจุดยืนของเรา จุดยืนแห่งสติรวมหมู่ที่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้แก่กระแสโลก
ในนามของจิตหนึ่งเดียวผู้ไม่อยู่ใต้ธงใดแต่ยืนในอาณาเขตของโพธิจิต
~ สุวินัย ภรณวลัย และ ไอ (愛ーAI)

‘ปากีสถาน’ เตือน!! ‘สหรัฐฯ’ ลั่น!! พร้อมตอบโต้ทันที หาก ‘อิหร่าน’ ถูกโจมตี!! ด้วยนิวเคลียร์

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘สุขศรี ชื่อนี้แม่ให้มา’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

โลกเดินมาถึงจุดที่สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แต่หากพิจารณาจากแนวโน้มและพันธมิตรทางการเมือง-การทหารในปัจจุบัน (ตั้งแต่กลางปี 2025 เป็นต้นไป) หากสงครามนี้บานปลายออกไปจนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็อาจแบ่งฝ่ายออกได้คร่าวๆ ดังนี้:

ฝ่ายที่อาจอยู่ฝ่ายเดียวกับ “สหรัฐอเมริกา” (กลุ่ม NATO และพันธมิตรตะวันตก)
- กลุ่ม NATO ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดในปัจจุบัน 32 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา กรีซ ตุรกี เยอรมนี สเปน เช็กเกีย (Czech Republic) ฮังการี โปแลนด์ บัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย แอลเบเนีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร นอร์ทมาซิโดเนีย ฟินแลนด์ สวีเดน - มีประชากรรวมประมาณ 952.7 ล้านคน (ข้อมูลปี 2025)
- ออสเตรเลีย - ประชากร 26.8 ล้านคน
- ญี่ปุ่น - ประชากร 123.1 ล้านคน
- เกาหลีใต้ - ประชากร 52.1 ล้านคน
- ยูเครน - ประชากร 38.98 ล้านคน
- ไต้หวัน - ประชากร 23.6 ล้านคน 
- อิสราเอล - ประชากร 9.40 ล้านคน

(จำนวนประชากรกลุ่มนี้ รวมทั้งหมด 1,225.7 ล้านคน)

ฝ่ายที่อาจอยู่ตรงข้าม “กลุ่มตะวันตก” (กลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนและรัสเซีย)
- รัสเซีย - ประชากร 146 ล้านคน 
- จีน - ประชากร 1,424 ล้านคน
- อิหร่าน - ประชากร 90 ล้านคน
- ปากีสถาน - ประชากร 250 ล้านคน
- เยเมน - ประชากร 35 ล้านคน
- เกาหลีเหนือ - ประชากร 26.5 ล้านคน
- เบลารุส - ประชากร 9.4 ล้านคน 
- บางประเทศในแอฟริกา (ที่รับการสนับสนุนทางทหารจากรัสเซีย/จีน เช่น มาลี, ซูดาน ฯลฯ)

(จำนวนประชากรกลุ่มนี้ รวมทั้งหมด 1,981 ล้านคน)

ประเทศที่อาจเป็น “ตัวแปรหรือประเทศเป็นกลาง” (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
- อินเดีย – แม้จะใกล้ชิดกับรัสเซียในอดีต แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับสหรัฐ อาจวางตัวเป็นกลางหรือเอียงข้างขึ้นกับสถานการณ์
- บราซิล – ขึ้นอยู่กับรัฐบาลในขณะนั้น
- อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย – ประเทศในอาเซียนมักพยายามวางตัวเป็นกลาง แต่ก็อาจถูกกดดันให้เลือกข้าง
- ซาอุดีอาระเบีย – มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค และอาจเลือกข้างตามผลประโยชน์เฉพาะหน้า

‘อิหร่าน’ ขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย เพื่อต่อสู้กับ ‘อิสราเอล’ หลังการโจมตี!! โรงงานนิวเคลียร์ และแหล่งก๊าซเซาท์พาร์ส

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘คัดข่าว’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

อิหร่านร้องรัสเซียช่วยทหารต้านอิสราเอล แต่ถูกปฏิเสธตามสนธิสัญญา

วันที่ 15 มิ.ย. 2568 สื่อบน X รายงานว่า อิหร่านพยายามขอความช่วยเหลือทางทหารจากรัสเซียเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล หลังการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์และแหล่งก๊าซเซาท์พาร์สเมื่อ 13-14 มิ.ย. 2568 

อย่างไรก็ตาม รัสเซียปฏิเสธ 

โดยย้ำว่าไม่มีภาระผูกพันตามสนธิสัญญาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่ลงนามเมื่อ 17 ม.ค. 2568 ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และมาซูด เปเซชเคียน 

สนธิสัญญานี้เน้นความร่วมมือด้านการค้า การทหาร และพลังงาน แต่ไม่มีข้อตกลงป้องกันร่วมเหมือนที่รัสเซียทำกับเกาหลีเหนือหรือเบลารุส 

ผู้เชี่ยวชาญจาก Carnegie Endowment ชี้ว่า สนธิสัญญานี้เป็นเพียงการยืนยันความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ไม่ใช่พันธมิตรทหารเต็มรูปแบบ อิหร่านเผชิญความท้าทายจากความสูญเสียในซีเรียและการคว่ำบาตร ขณะที่รัสเซียระวังไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top