Saturday, 7 June 2025
ท่อนHookการเมือง

หลอกต้มคนตาย หลอกใช้คนเป็น ความสามารถอันโดดเด่นของพรรคล้มเจ้า

ถ้าเราจะจำกันได้ สมัยที่กลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ยังฮอต ๆ มีข่าวออกตามหน้าสื่อถึงพฤติกรรมการกัดเซาะ ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัว หนึ่งในแบ็กอัปที่คอยสนับสนุนเด็กหัวรุนแรงกลุ่มนี้อย่างเขิน ๆ ก็คือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่มีเป้าหมาย 'ล้มล้างสถาบัน' โดยหวังจะให้ระบบการปกครองแบบเก่าที่หล่อหลอมจนสร้าง 'แผ่นดินชาติ' มาจนสำเร็จ หายไปจากความทรงจำอันงดงามของคนไทย 

พรรคการเมืองพรรคนี้ โปรโมตตนเองว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะกำจัด 'นักการเมืองน้ำเน่า' ที่ชอบพูดโกหก กลับไปกลับมารายวัน อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดี 

แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่?

นอกจากวาทกรรมปลิ้นปล้อน กลิ้งกลอก ที่ฉายโชว์ให้สังคมเห็นผ่านเรื่องราวโง่ ๆ รายวัน คุณสมบัติที่ทั้ง 'บาปและเลว' อย่างโดดเด่นที่คนไทยไร้อคติรู้กันดีก็คือการเดินหน้า 'ล้างสมอง' และ 'หลอกใช้เด็ก' ให้กระทำการหมิ่นเหม่ต่อมาตรา 112 เพื่อจะสั่นสะเทือนไปถึงสถาบันที่ตนเองเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นการวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมสามนิ้วในที่สาธารณะด้วยการพูดให้ร้ายสถาบัน ก่อกวนขบวนเสด็จ ขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดมาก่อน 

ทันทีที่เด็ก ๆ โดนคดี 112 ถูกจับเข้าตะราง ก็ฉวยใช้ภาพ 'เด็กติดคุก' ว่าถูกมาตรา 112 ทำร้ายให้เด็กต้องเสียประวัติ แต่ไม่เคย 'ห้ามปราม' เวลาที่เด็กทำเลวกับสังคมเลยสักครั้งเดียว 

เมื่อศาลปล่อยตัวชั่วคราว ให้โอกาส 'เด็กเดน' ออกมาเรียนหนังสือ แต่ 'เด็กสามนิ้ว' เหล่านี้ก็เลือกจะทำผิดซ้ำ ๆ ในแบบเดิมอีก จนศาลต้องมีคำสั่งให้ 'ขังยาว' กันหลายคน เมื่อ 'เด็กชังสถาบัน' ต้องจมอยู่ในคุก พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ยังด่ากระบวนการยุติธรรมไทยว่า 'ทำร้ายเด็ก' และโทษมาตรา 112 ที่เป็นปัญหาทำให้เด็กเหล่านี้ต้องหมดอนาคต 

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หญิงสาววัยเกินเด็กคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ได้เสียชีวิตขณะติดคุก พรรคการเมืองที่กระหายการหลอกใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ ก็ยังไม่ละเว้นคนที่ตายไปแล้ว ยังอ้างว่าเพราะ 112 จึงทำให้มีคนตาย 

เฮ้อ!! คนเราถ้าจิตใจไม่ชั่วถึงขนาดตั้งใจไปหมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบัน รับประกันว่าไม่มีทางเฉียดใกล้ 

จึงมีแต่โจรเท่านั้นที่ดิ้นจะแก้กฎหมายเพื่อให้ง่ายในการล้มล้างการปกครอง ^^

โจรกบฏที่ถูกเลือกมาจากพี่น้องประชาชน หวังถอนทำลาย 112 ให้ 'สถาบันฯ' สิ้นสูญ

พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่โกหกสังคมเป็นอาชีพ นอกจากมีเป้าหลักที่หวังจะล้มล้างการปกครองของไทยให้ได้ ถึงวันนี้ก็ยังคงโป้ปดออกสื่อหลอกต้ม 'สาวกทึ่ม ๆ' ให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายมาตรา 112 ไม่เลิกรา ด้วยยอดเขาลูกใหญ่ยังโค่นล้มไม่สำเร็จ ก็ใช้วิธีขุดแซะดินรอบ ๆ เนินให้กร่อนทีละนิด ดีกว่าปล่อยเวลาชั่วไปเสียเปล่า

เมื่อเลือกจะรับบทเป็น 'โจรรับจ้างต่างแดน' เพื่อล้มบ้านล้มสถาบันของตัวเองแล้ว ก็ต้องไปให้สุด เพราะทุกยุคสมัย 'โจรกบฏคิดคดต่อชาติ' อายุขัยมักจะสั้น ถ้าไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินโดยเร็ว ก็มีลูกกรง กับลูกปืนถามหาเท่านั้น เดิมพันนี้จึงมีทางเลือกไม่ค่อยมาก 

เห็นชัดเจนว่าการได้เข้ามาเป็น สส. กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน แต่วัน ๆ กลับไม่คิดจะใช้สติปัญญาทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านกับเมือง ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มีแต่เรื่องมัวหมองจนเป็นคดีความติดตัวต้องเดินขึ้นศาลไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ใหม่แต่ชื่อ แต่ฝีมือล้วนต่ำกว่ามาตรฐาน ผิดจากที่คุยโวเอาไว้ชนิดหน้ามือกับหลังเท้าเลยทีเดียว 

คนที่จะมาเป็นผู้แทนราษฎร สมควรต้องเป็นคนที่มีมาตรฐานทางจริยธรรมสูงกว่าคนปกติทั่วไป เพราะถูกเลือกมาจากพี่น้องประชาชนให้มาทำหน้าที่แทนเขา 

มิใช่เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง?! 

ยิ่งเป็นกฎหมายมาตรา 112 อันเกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง และผูกโยงไปถึง 'ความมั่นคง' ของชาติโดยตรง นอกจากไม่สมควรไปเกี่ยวข้องในทางหมิ่นเหม่ให้สังคมต้องมีคำถาม ยังต้องสนับสนุนกฎหมายมาตรานี้ให้มีอยู่อย่างเข้มแข็ง ต้องคอยปกป้องสถาบันให้ปลอดภัยจากกลุ่มคนที่มาอาฆาตมาดร้าย เพราะคนที่ไม่มีอคติ ไร้ความอิจฉาริษยาชีวิตของคนอื่น หรือรับงานใครมาเพื่อเดินหน้าเซาะกร่อนสถาบัน มีหรือที่จะโดนมาตรา 112 

กฎหมายมาตราไหนก็รังแกใครไม่ได้ ถ้าไม่มีใคร 'เดินแกว่งเท้าโง่ ๆ' เข้าไปหามัน 

คนไทยแบบไหนกันนะที่เอาแต่เดินหน้าใส่ร้ายกฎหมาย ที่สร้างมาไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ ถ้าไม่ใช่คนคิดชั่ว หัวใจคด ทรยศแผ่นดิน 

แล้วจะต่างอะไรจากการเป็น 'นักการเมืองก่อการร้าย'

เกลียดทหาร แต่กลับแสดงแต่พฤติกรรมที่ล่อทหารชัด ๆ 

เกิดเป็น 'นักการเมืองไทย' ต้องโกหก  ถ้าไม่โกหก ก็ไม่ใช่ 'นักการเมืองไทย'

คนรุ่นพี่ หรือรุ่นเดียวกันกับผม เราจะชินกับการโกหกคำโตของนักการเมืองไทยมาโดยตลอด ทั้งที่โกหกแบบหน้าด้าน ๆ หรือจะพยายามโกหกแบบเนียน ๆ ไม่ให้ใครจับได้ง่าย ๆ ก็ถือเป็นการโกหกประชาชนอยู่ดี คนที่กล้าอาสามาเป็น 'ตัวแทนประชาชน' มากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน แต่ก็ยังกล้าโกหกประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามา ก็หมายความว่าเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ และเนรคุณผู้มีพระคุณอย่างไม่น่าให้อภัย

ปีแล้วปีเล่าประเทศไทยจะต้องฝืนทนกับนักการเมืองหน้าเก่า ๆ ส่วนใหญ่ ๆ ที่แทบจะหาความดีกับแผ่นดินไทยไม่ได้เลย เราต้องทนกล้ำกลืนเห็นคนเหล่านี้หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมาแทะกินประเทศชาติของเราต่อหน้าต่อตา และก็รอดพ้นตารางด้วย 'คำโกหกคำโต' บ่อย ๆ

ราวกับว่าเราไม่มีใครอีกแล้วที่จะหวังพึ่งพิงได้จริง ๆ 

ในวันที่คนไทยกำลังสิ้นหวัง วันหนึ่งก็มีพรรคการเมืองที่ออกตัวว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' แสดงออกถึงความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ มีแนวคิดที่จะกำจัดนักการเมืองแย่ ๆ ในแบบที่เราคุ้นเคยในอดีตให้หมดไปจากสังคมไทย เพื่อจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น โดยโฆษณาว่า ถ้าเลือกพวกเขาให้เข้ามาเป็น สส. หรือชนะการเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล รับประกันว่า 'ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม'

คำว่า 'ไม่เหมือนเดิม' ก็คงจะสื่อความหมายว่า ต้องดีขึ้น ดีในแบบที่ 'นักการเมืองรุ่นเก่า' ไม่เคยทำได้ นั่นคือไม่ทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ไม่สนับสนุนกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบภายในบ้านเรา ไม่สมคบคิดกับต่างชาติเพื่อมาทำลายสถาบันหลักของประเทศตัวเอง จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และพร้อมจะเป็น 'แบบอย่างที่ดี' ให้กับเยาวชนคนรุ่นถัดไป 

แต่...เปล่าเลย ไม่มีสิ่งใดเฉียดใกล้สิ่งที่ 'นักการเมืองรุ่นใหม่' เคยโฆษณาเอาไว้

เพราะตั้งแต่ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่ออกตัวว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' เรากลับเห็นพฤติกรรมเลว ๆ ที่ไม่ต่างจาก 'นักการเมืองรุ่นเก่า' แต่บางเรื่องก็เลวร้ายกว่า เช่นการล้างสมองเด็ก อาศัยเด็กเป็นเครื่องมือให้กระทำผิด 112 เพื่อสั่นสะเทือนสถาบันที่ตนเองเกลียดชัง หนีการเกณฑ์ทหาร ทำอนาจารกับผู้ร่วมงาน มีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ทั้งหมดเกิดจาก 'นักการเมืองรุ่นใหม่' ทั้งสิ้น 

ยังไม่นับเรื่องโกหกสังคม พูดไม่หมด หรือพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้กับสิ่งที่ตนเองเกลียดชังนั้น มีให้เห็นตามหน้าสื่อแทบทุกวัน

ช่างไม่กระดากใจ หรืออายความเป็นคนกันบ้างเลย

มาตรา 112 คนดีๆ ไม่สะท้าน มีแต่ 'ผีห่าซาตาน' ที่ต้องกลัว

หากจะพูดเป็นประสาชาวบ้านเปรียบเปรยให้เข้าใจง่าย ๆ กฎหมายมาตรา 112 ก็คือ 'ยันต์ปราบผี' ดี ๆ นี่เอง มีฤทธิ์ในทางปกป้องบ้านเรือน และผู้คนที่คิดดีต่อแผ่นดิน เพื่อให้ประเทศชาติดำรงอยู่อย่างมั่นคง 

ขึ้นชื่อว่าคนปกติธรรมดาที่คิดดี ทำดี ปฏิบัติในทางชอบธรรม ไม่คิดเบียดเบียนทำร้ายใคร จะไม่มีใครต้องเกรงกลัว หรือเกี่ยวข้องให้ชีวิตต้องพานพบกับความยากลำบากเลย 

ตายแล้วเกิดใหม่อีก 100 ชาติ ก็จะเป็นเหมือนเดิม!!

คงมีแต่พวกฝีเปรต ผีห่า ผีบาป ผีบ้า ผีสามนิ้ว ผีกลัวติดคุก ผีลืมชาติกำเนิด ผีเนรคุณแผ่นดิน ผีสาดสีธงชาติ ผีขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว ผีล้มสถาบัน ผีหมิ่นเบื้องสูง ผีขี้ข้าตะวันตก ผีหนีการเกณฑ์ทหาร ผีลิงหลอกเจ้า ผีเบาปัญญา ผีกลิ้งกลอก ผีปั่นหัวเด็ก ผีหลอกใช้พวกอยากมีตัวตน ผีพูดอย่างทำอีกอย่าง ผีไม่กล้ายอมรับความจริง ผีโกหกไปเรื่อย ๆ และผีปากกล้าแต่ขาสั่นเท่านั้นที่ต้องหนาวสะท้าน สั่นไหว เพราะกลัว 'ยันต์ปราบผี' มาสะกด ไม่ให้ต้องผุดต้องเกิดอยู่ใน 'คุกตะรางขังผี' แบบยาว ๆ 

สุจริตชน คนบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่ทำตัวเป็นผีชั่ว ก็ไม่ต้องกลัวอำนาจของ 'ยันต์ปราบผี' นี้เลย กลับจะต้องช่วยกันปกป้อง รักษา ดูแลไม่ให้ 'ยันต์ศักดิ์สิทธิ์' ถูกพวกผีร้ายมาฉีกทำลายให้สูญสิ้นไป 

เป็นเรื่องง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่าทำไมขึ้นชื่อว่าคนถึงอยากให้มี 'ยันต์ปราบผี' ติดข้างฝาไว้ในทุกบ้าน เพราะบ้านไหนมียันต์ บ้านนั้นก็ไม่ใช่ผีดังที่กล่าวมา

แต่บางคน บางบ้าน ก็ชอบและแอบเชียร์ผี ขณะเดียวกันก็แขวน 'ยันต์ปราบผี' ไว้ในบ้านให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดคำถามขึ้นในใจเล่น ๆ แท้จริงคือชอบตีสองหน้า หวังเข้าได้กับทุกฝ่าย หาก 'สังคมคน' พบเห็นก็จะได้ต้อนรับเพราะคิดว่าเป็น 'พวกเดียวกัน' แต่ลับหลังก็แอบสนับสนุนเหล่าผี ๆ ให้กระทำย่ำยี 'ยันต์ปราบผี' ให้สิ้นซาก

ผี...ที่ว่าน่าถอยออกห่างแล้ว คนที่แอบสนับสนุนผี แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ย่อมสกปรกกว่าเป็นร้อยเท่า และไม่น่าคบค้าสมาคมให้เสียเวลา

จาก 24 มิถุนายน 2475 ถึง 24 มิถุนายน 2567 ตลกร้าย 92 ปี ที่ 'โจรห้าร้อย' บางคนสร้างไว้

คนทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูง ก็คงจะแปลความหมายของคนที่เป็น 'โจรห้าร้อย' กับ 'นักปฏิวัติ' ได้ง่าย ๆ ด้วยความหมายของคนสองประเภทนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว 

'นักปฏิวัติ' คือ คนที่จะลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบตามความเชื่อของตนเองที่คิดว่าจะดีกว่า เช่น การปฏิวัติระบอบการปกครอง เพื่อยกเลิกระบอบเดิมไปใช้ระบอบใหม่ 

สำหรับประเทศไทย เกิดการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นเพียงครั้งเดียวนั่นคือ ‘การปฏิวัติสยาม’ โดยเกิดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติการปกครองโดยเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กลายเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแทน 

อย่างไรเสีย ตามความเชื่อของนักปฏิวัติแต่ละยุคสมัย จะถูกหรือผิด? จะทำสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่? นักปฏิวัติที่ดีจริงก็จะไม่มีทางมีพฤติกรรมเช่น 'โจรห้าร้อย' ยกเว้นจะอาศัยการปฏิวัติเป็นฉากหน้า แต่พฤติกรรมลับ ๆ ต่ำ ๆ อันแสนจะไร้เกียรติที่ซ่อนเนียน ๆ อยู่ฉากหลังคือ 'ความโลภ' การกระหายในทรัพย์สินเงินทอง เพชรนิลจินดา รวมถึงที่ดินของบุคคลอื่น

'โจรห้าร้อย' จะมีแต่ความตะกละตะกลาม ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง มองหาแต่ความมั่งคั่งร่ำรวยจากการปล้นสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตน 

นานถึง 92 ปีแล้ว ที่เราต่างเข้าใจกันดีว่าประเทศไทยของเราถูก 'นักปฏิวัติ' กลุ่มหนึ่งร่วมมือกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับระบอบการปกครองของไทยมาจนถึงปัจจุบัน และแน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้แบ่งแยกผู้คนออกเป็นสองฝั่งตลอดมา ทั้งฝั่งที่เห็นดีงามกับนักปฏิวัติ กับอีกฝั่งที่คิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัย 

แต่สิ่งที่สามารถสรุปได้ในทันทีก็คือ คนเรา ถ้าคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไม่ดี และเราอยากรื้อถอนทำลาย เราก็ต้องทำเป็นให้เห็นว่า 'เราดีกว่า' โดยมิให้สังคมกังขาว่าเรานั้นดีจริงหรือไม่? แต่เท่าที่เห็นเป็นหลักฐานชัดที่สุดก็คือ การแฝงเป็นโจร เพื่อปล้นเอาทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของเราใส่กระเป๋าของตัวเองเสียมากกว่า  

92 ปี แม้บางคน อาจจะคิดว่ามาจากน้ำมือของนักปฏิวัติที่คิดดีเพื่อชาติ แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย มันเป็นแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ อยากมั่ง อยากมี และอยากใหญ่ เหมือนคนที่สูงศักดิ์กว่า แต่ดันเกิดมาแล้ว 'มีบุญไม่เท่าเขา' เท่านั้น

การปล้นจึงเป็นทางออกของเหล่า 'โจรห้าร้อย' บางคน 

ไม่มีอะไรซับซ้อนให้ต้องคอยนึกย้อน 'สดุดี'

เมื่อเหล่า 'ก๊วนสามนิ้ว' พากัน 'หนีคดี' 'พรรคล้มล้างการปกครอง-ปลุกปั่น' เงียบกริ๊บ!!

หลายท่านคงจะทราบกันดีแล้วว่า พรรคบาปหนาที่เดินหน้า ‘ล้มล้างการปกครอง’ หนึ่งเดียวในประเทศไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการปลุกปั่น ล้างสมอง และหลอกใช้ ‘เด็กวัยรุ่นสามกีบ’ ที่อยากมีตัวตน ไปจนถึง ‘วัยผู้ใหญ่ใจแตก’ ที่อยากได้ที่ยืนเท่ ๆ ในสังคม ส่งเสริมให้ไปกระทำผิดมาตรา 112 ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนต้อง ‘ติดคุก’ ไปจำนวนไม่น้อยนั้น เมื่อศาลท่านมีเมตตาให้ประกันตัว แต่ผู้กระทำผิดไม่เคยสำนึก กลับมีพฤติกรรมทำผิดซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนต้องเดินคอตกเข้าไปอยู่ในคุกตาราง

พรรคบาปหนาก็มักจะฉวยใช้การติดคุกซ้ำของ ‘เหล่าคนจิตสำนึกด้วน’ เหล่านี้ กัดเซาะทำลายกระบวนการยุติธรรมไทย เลยเถิดไปถึงด่าทอสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าโหดเหี้ยม ใจร้าย เป็นสิ่งที่ผิดปกติ และมีปัญหา ควรรื้อถอนมาตรา 112 ให้หมดหายไปจากประเทศไทย

แต่ไม่เคยพูดความจริงให้ครบด้านว่า ศาลมีเมตตากับนักโทษ 112 ทุกคน ได้ให้ประกันตัวไปแล้ว แต่แทบจะ 100% มักจะออกจากคุกมากระทำผิดซ้ำ จึงต้องกลับไปใช้ชีวิตในคุกดังเดิม 

ทุกครั้งที่ศาลให้ประกันตัวผู้กระทำผิด 112 เราจะไม่เคยเห็น ‘พรรคสามกีบ’ พูดขอบคุณที่ศาลท่านมีเมตตา แต่ทุกครั้งที่ศาลไม่ให้ประกันตัวอีกแล้วจากการกระทำผิดซ้ำ ๆ ก็จะช่วยกันป่าวประกาศทันทีว่ามาตรา 112 นั้นคือยาพิษ เป็นภัยร้ายกับประชาชนคนไทยทุกคน ถ้าไม่ยกเลิก หรือปรับแก้ให้โทษอ่อนลง ก็ควร ‘นิรโทษกรรม’ ผู้กระทำผิด 112 เพื่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะได้เบาบาง

เห็นชัดว่า ‘กลุ่มคนสามกีบ’ ไม่เคยยอมรับว่าตนเองได้กระทำผิด เมื่อทำผิดแล้วก็ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล เมื่อแก้ไขคำตัดสินไม่ได้ก็คิดจะล้มล้างกฎหมาย เมื่อล้มกฎหมายไม่ได้ก็รวมหัวกันขอให้ ‘นิรโทษกรรม’ ช่างเป็นพรรคการเมืองที่สุดแสนจะ ‘วิปลาส’ ติดอันดับต้น ๆ ของโลก 

ในวันที่ศาลใจดีให้โอกาส ‘นักโทษสามกีบ’ ซึ่งเป็น ‘เหยื่อที่แท้จริง’ ของพรรคล้มล้างการปกครองได้รับการประกันตัวออกมา แต่เหล่า ‘สามกีบสิ้นคิด’ ก็ใช้อิสระที่ตนเองได้รับจากศาลพากัน ‘หนีคดี’ ไปแล้วหลายคน 

ปากที่เคยพ่นว่าตนนั้นมีอุดมการณ์ในการต่อสู้ จึงเป็นได้เพียง ‘ราคาคุย’

ว่าแต่ ‘นักโทษสามกีบ’ จะ ‘หนีคดี’ ได้ นั่นก็เพราะได้ประกันตัว ทำไมไม่เห็น ‘พรรคสามกีบ’ หรือ ‘พรรคล้มล้างการปกครองไทย’ ออกมาพูดชมเชยศาลว่าใจดีสักครั้งเลย 

อยู่แบบสร้างภาพ ผลักแต่ความชั่วให้คนอื่น โกหกคนโง่ไปวัน ๆ มันดูกันออกง่าย ๆ ครับ

เมื่อ 'แก๊งสามกีบ' ถูกหลอก ติดคุกฟรี พรรค 'ซุกกระโปรงเด็ก' โดนคดี ติดคุกยาว

สังคมไทยในห้วงเวลานี้มีแต่ข่าว 'คนหลอกคน' ไม่จบไม่สิ้น ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งข่าวอดีตดาราสาวใหญ่ยืมเงินนางแบบแล้วไม่คืน จนลูกหนี้ออกมาทวงผ่านสื่อพร้อมทนายฝีมือเก๋า เมื่อเรื่องดังทำให้ผู้เสียหายในทำนองเดียวกันรายอื่น ๆ ปรากฏตัวอีกเพียบ และข่าวประธานมูลนิธิช่วยเหลือสังคมพัวพันการขาย 'วุฒิการศึกษา' เมื่อเรื่องดังอีกเช่นกัน เรื่องฉาว ๆ ที่เคยปกปิดไว้ จึงถูกเปิดเผยจากคนวงใน กลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืน เปลือยให้เห็น 'สันดานดิบ' ของ 'คนดัง' ได้เป็นอย่างดี

ภาพสวย ๆ ที่เราเห็นในจอ ฉากหลังอาจจะไม่จริงเสมอไป

แต่ทั้ง 2 ข่าวก็แค่เป็นการ 'หลอกต้มผู้ใหญ่' ในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ซึ่งจะเทียบไม่ได้เลยกับ 'การหลอกต้มเด็ก' ให้ไปติดคุก หรือต้องหนีคดี จนต้องหมดอนาคต กลายเป็นคนมีตำหนิติดตัวไปตลอดชีวิต 

อาชีพ 'คนต้มคน', 'นักต้มตุ๋น' หรือ 'จอมลวงโลก' ย่อมไม่ใช่คนดี แม้จะมีตรรกะพิสดารมาอวดอ้างในการกระทำของตนเองให้ดูว่าถูกต้อง แต่ก็ยากที่สังคมจะให้ราคา หรือไว้เนื้อเชื่อใจอีกต่อไป 

'เด็กสามนิ้ว' หรือ 'แก๊งสามกีบ' หลายคนถูกหลอกจากกลุ่มคนที่อวดอ้างว่าเป็น 'นักการเมืองรุ่นใหม่' คอยยุยง ปลุกปั่น ยกยอ สร้างภาพลวง ๆ หลอกเด็กใจถึงที่ยังคิดไม่เป็น และรู้ไม่เท่าทันเหลี่ยมเล่ห์ของ 'คนใจบาป' ให้เดินหน้ากระทำผิดกฎหมาย 112 เพื่อสั่นสะเทือนไปถึงสถาบันเบื้องสูงตาม 'เกมเนรคุณชาติ' ที่ตนเองวางแผนไว้ 

ถึงวันนี้ ทั้ง 'เด็กสามนิ้ว' ที่ถูกหลอกใช้ โดนคดี 112 จนติดคุกฟรีหลายคน ฝ่ายที่ 'ชักใยนรก' คอย 'ซุกกระโปรงเด็ก' อยู่ในที่ต่ำ ๆ ลับ ๆ มืด ๆ ก็กำลังจะเกมโอเวอร์บนศาลไม่น้อย 

บาปกรรมใดก็ไม่หนักหนาเท่ากรรมที่มาจากการหลอก 'ทำลายชีวิต' ผู้คน ให้ต้องติดคุกติดตะราง นั่นเพราะไม่ต่างจากการ 'ตายทั้งเป็น' ผลที่ตามมาก็มักจะจบลงในแบบเดียวกัน 

คนไทยที่คิดร้ายต่อสถาบัน ยังไม่พบว่าอยู่แบบสบายดีจนแก่ตาย 

คนรัก 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์' ส้มจะขนานนามว่า 'สลิ่ม' คนรักพ่อแม่-เคารพครู ส้มก็จะว่าเป็นพวก 'ดัดจริต'

สังคมไทยเดินไปสู่ 'จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ' ก็ในวันที่มี 'พรรคการเมืองล้มสถาบัน' โผล่เข้ามาก่อความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองเรา ใครที่ปากบอกรักชาติ รักสถาบัน หรือมีศาสนาให้ยึดเหนี่ยว เข้าวัด เข้าวา กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะถูก 'พวกไร้ราก' เรียกขานเราว่าเป็น 'สลิ่ม' 

'สลิ่ม' ที่แสนจะโง่เขลา ยอมเป็นเถ้าธุลีที่กระจายอยู่ใต้ตีนสถาบันเบื้องสูงที่ 'คนสีส้ม' เกลียดชัง 

สังคมไทยได้เดินมาถึงวันที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย และคนรุ่นเก่าที่เบาหวิวทางสามัญสำนึก ต้องการหาที่ยืนด้วยการหลงลืมรากเหง้าและโอกาสที่ได้เกิด อยู่ เติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย เสาะแสวงหาแต่สิ่งใหม่ แต่ขาดการพิจารณาไตร่ตรองว่าที่ชูคอคิดจะล้มร่มเงาของชาติอยู่นั้น มีดีอย่างไรถึงคิดไกลจะอาจเอื้อมทำลายสิ่งที่ทำให้ 'ไทยเป็นไทย' ล้มหายไปจากแผ่นดินทอง

มันก็แค่แก๊งเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่มีความกตัญญูต่อสถาบัน มองไม่เห็นถึงความปลอดภัยที่คนไทยสักคนได้รับจากการได้ชื่อว่ามีสถาบันพระมหากษัตริย์คอยปกป้องดูแล และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

ทุกวันนี้ ใครที่บอกรักพ่อ รักแม่ แสดงความเคารพครูบาอาจารย์ ยังถูกพวก 'เดนมนุษย์' เหล่านี้ เหน็บกัดว่าเป็นพวก 'ดัดจริต' เรียกว่าทำอะไรที่แสดงออกถึงความรัก ความซื่อสัตย์ การยกย่องยินดีต่อผู้มีพระคุณ จะต้องถูก 'มนุษย์สายพันธุ์อกตัญญู' กัดเซาะ เยาะหยันเป็นทุกที 

ไม่ผิด เรากำลังอยู่ในประเทศไทยที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว นานหลายปีแล้ว แต่ที่เหล่าคนโฉดเหล่านี้ยังรบไม่ชนะ นั่นเพราะเรายังมีประชาชนที่ 'คิดเป็น' อาศัยอยู่มากมายในแผ่นดินชาติของเรา 

รักกันไว้ให้มากเพื่อนเอ๋ย เรากำลังสู้อยู่กับพวกไร้ราก ไม่รู้จักคำว่าบุญคุณของชาติ และไม่รู้แม้กระทั่ง 'แกรนด์สปอร์ต' เป็นแบรนด์ของคนไทยมานานเกิน 60 ปี 

ถ้าวันข้างหน้าคนขี้หมาแบบนี้ใหญ่โตได้ในบ้านเรา เราจะมีเรื่องให้อับอายชาวโลกไม่เว้นวัน 

ภัยคุกคามไทย ใต้เงื้อมมือพรรค 'กลิ้งกลอก-หลอกเด็ก-ย้อนแย้ง' อันตรายเหนือภัยอื่นจาก 'ก๊วนนักการเมืองสายล้มล้างสถาบัน'

ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยจนอายุแตะเลข 5 ยังไม่เคยเจอนักการเมืองที่กล้าเปิดหน้าเป็นปฏิปักษ์ และเดินหน้ากระทำชั่วช้ากับสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่รักของคนไทยได้เท่ากับนักการเมืองของพรรคสีส้มเลย 

อดีตที่ผ่านมา ถ้าจะมีนักการเมืองสักคนแหลมออกมาในทางดูหมิ่นสถาบัน ก็มักจะเป็นไปในเชิงไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ ไม่รอบคอบในคำพูด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนานทีจะโผล่มาให้เห็นแค่คนสองคนก็หายเงียบไปนานจนลืม แต่จะไม่มีการแสดงออกในทางถ่อย ลามปาม จาบจ้วง หรือจริงจังถึงขั้นร่วมสมคบคิดกับต่างชาติหวังล้มล้างการปกครองไทย และเมื่อถูกจับได้ถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจนโดนคดี 112 ก็จะพลิกลิ้น ตลบตะแลงว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นหาใช่การคิดไม่ดีกับสถาบัน แต่เพื่อเจตนาดี หวังให้สถาบันไปได้ดีกับความเป็นอยู่ของคนไทย 

คงมีแต่สมองในระดับ 'เกินควาย' เท่านั้นที่ยังเชื่อฝังชีพ บอดสนิททั้งสายตายันหัวใจ 

ทุกการกระทำของพรรคสีส้ม ซึ่งเป็นสีเดียวกับเปลวเพลิงระอุในขุมนรก ไม่เคยกล้าหาญยอมรับต่อการกระทำของตัวเองแบบแมน ๆ สักครั้งเดียว เป็นต้องดิ้นหลบเร้นให้ตัวเองดูดีราวกับว่าประชาชน 'นอก 14 ล้านเสียง' ที่ไม่ได้เขลา บาป และหลงของใหม่นั้นกินหญ้าแทนข้าว การกระทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ที่ทำกันเป็นขบวนการหวังล้มล้างสถาบันกษัตริย์ฉายภาพความน่ารังเกียจ ปนความชั่วช้าที่ซุกซ่อนอยู่ในใจจนหมดสิ้น 

ถ้าจะต้องถูกศาลสั่งยุบพรรค เพราะการกระทำเลว ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถึงไม่ถูกยุบพรรคด้วยเหตุผลของศาล ก็ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองที่กระหายการล้มล้างการปกครองเช่นนี้จะหลุดรอด 'ภาพลักษณ์เลว ๆ' นี้ไปได้เลย

คนไทยที่ไม่กตัญญูต่อสถาบันกษัตริย์ ผมพอจะเข้าใจได้ แต่คนไทยที่ถึงขนาดคิดล้มล้างการปกครองสถาบันกษัตริย์ ก็คือ คนไทยที่เนรคุณต่อแผ่นดินชาติของตัวเอง

เจองูพิษ เจอตำรวจชั่ว และเจอโจร พร้อม ๆ กับเจอนักการเมืองที่อกตัญญูต่อสถาบัน บางคนอาจจะเลือกตีงูพิษ ต่อยตำรวจชั่ว หรือกระทืบโจรก็ตามแต่ 

แต่สำหรับผมไม่มีสิ่งใดจะน่ารังเกียจและเป็นอันตรายไปกว่า...'นักการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน'

คนจำพวกนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดิน

‘พรรคล้มสถาบัน’ เด็กเช็ดรองเท้าตะวันตก ดึงโลกมา ‘ปกป้องความผิด’ ของตัวเอง

ปากร้องตะโกนโหยหาแต่ ‘ความเท่าเทียม-เสมอภาค’ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่แสดงออกให้โลกเห็นกลับย้อนแย้ง กลิ้งกลอก อยากมีอยากได้แต่สิ่งที่ตนเองพึงพอใจ หาใช่ตามกฎหมายกำหนดไม่

เลว และอยากได้ในสิ่งที่ ‘เหนือคนอื่น’ ทำผิดแต่ไม่อยากโดนตัดสินว่าผิด ความชั่วช้าจึงไม่ต่างจาก ‘นักโทษนุ่งผ้าถุงชั้น 14’ ที่ยอมให้คนประณามหยามหมิ่น ทำผิดกับชาติอย่างสาหัส แต่เลือกที่จะหลบเร้นนอนนอกคุก เรียกใช้เหล่าข้าราชการที่ ‘นับถือเงิน’ มากกว่า ‘ความชอบธรรม’ คอยปกป้องคุมกันรอถึงวันสิ้นสุดคดี

คนการเมืองแบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่า ‘คนน่านับถือ’ หรือ ‘น่าไว้วางใจ’ ควรคู่กับการยกประเทศชาติให้บริหาร สามัญสำนึกอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้หรือ ที่สมควรจะมาเป็นนักการเมืองที่ดีงามของประเทศชาติให้ผู้คนยกย่อง มองยังไงก็มองไม่เห็นแสงแห่งความชอบธรรม เกรงประเทศจะสิ้นชื่อไม่เหลือซากต่างหากถ้าปล่อย ‘คนพฤติกรรมเน่า’ เช่นนี้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาในบ้านเมืองเรา

พฤติกรรมกัดเซาะ จาบจ้วง ดูหมิ่น แถมยังทำทุกวิถีทางในการสนับสนุน ‘กลุ่มเด็กไร้อนาคต’ ให้กระทำผิด 112 เพื่อกระทบชิ่งไปถึงเบื้องสูง ทุกการกระทำตลอดหลายปีเปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง ‘เจตนาร้าย’ ที่มีต่อสถาบันการปกครองไทย เมื่อจะถูกศาลตัดสินให้ตนเองอาจจะสิ้นชื่อ ก็ร้องไห้ เดินหน้าฟ้องสังคมไทย ตีโพยตีพายไปเป่าหูถึงสังคมโลกที่มี ‘หัวใจชั่ว’ เฉกเช่นตัวเอง ให้เข้ามาช่วยสาระแนสร้างกระแสให้ศาลไม่กล้าลงโทษรุนแรง

ทำผิด แต่กลับกลัวโทษจากความผิด

ทำผิด แต่กลับบอกว่าถ้าศาลลงโทษรุนแรง ศาลนั่นแหละที่ทำผิด หากศาลกล้าตัดสินรุนแรงสังคมไทยก็จะปั่นป่วน ต่างชาติจะมองประเทศไทยล้าหลัง มีตำหนิ และไม่น่าเชื่อถือ

โอ้ว! พฤติกรรมราวเด็กทำส้มที่แกะเปลือกออกแล้วกำลังจับใส่ปากตกลงบนพื้นดิน ดื้อด้านชี้จะเอาส้มลูกใหม่ให้ได้ ร้องไห้งอแง เดินสายฟ้องคนโน้นทีคนนี้ที หาคนช่วยไม่เลือกบ้านเลือกเมืองประสา ‘เด็กโง่ไร้น้ำยา’ ไปวัน ๆ อย่าเป็นเลยนักการเมือง มันจะทำให้ชาติดูน่าอดสูกว่าเก่า

มาเป็น ‘เด็กเช็ดรองเท้า’ ให้ตะวันตกดีกว่า สมฉายา ‘ขี้ข้าฝรั่ง’ ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top