Monday, 9 June 2025
ท่องเศรษฐกิจกับดรกอบ

‘ดร.กอบศักดิ์’ เตือน เศรษฐกิจประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ส่อเค้าวิกฤตหนัก หลังเผชิญปัจจัยลบรอบด้าน คาดอีก 2 ปี ข้างหน้าถึงเวลาเผาจริงกระจายทั่วทุกภูมิภาค

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kobsak Pootrakool หัวข้อ ‘Emerging Market Crisis 2022-2023’ เตือนถึงความเสี่ยงจากวิกฤตที่อาจมาเยือนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปก็คือ วิกฤตในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ที่รอบนี้เริ่มต้นจากประเทศเล็กๆ เช่น ประเทศศรีลังกา และกำลังค่อยๆ กระจายออกไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ปากีสถาน, กานา, แซมเบีย และ สปป.ลาว โดยจะสะสมพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า 

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ Emerging Market โดยรวมกำลังถูกกดดันจาก

ดอกเบี้ยโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นจากการสู้ศึกกับเงินเฟ้อของประเทศหลักๆ ทำให้ต้องมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

วิกฤตพลังงานและวิกฤตอาหารโลก ที่ทำให้ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และราคาปุ๋ยแพงขึ้น 

การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ส่งออกได้น้อยลง

ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น และการไหลออกของเงินจากกลุ่ม Emerging Market นำไปสู่เงินสำรองระหว่างประเทศที่ลดลง ค่าเงินที่อ่อน เงินเฟ้อที่สูง และสุดท้ายลุกลามขึ้นเป็นวิกฤตในที่สุด

ยิ่งวิกฤต Perfect Storm จากสามทวีปที่กำลังถาโถมเข้าใส่ประเทศหลักของระบบเศรษฐกิจโลก เช่น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป, อังกฤษ และญี่ปุ่น มีความรุนแรง ยาวนานมากขึ้นเท่าใด วิกฤตใน Emerging Market ก็จะมีความลำบาก ท้าทายมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิกฤตในตลาดเกิดใหม่รอบนี้ก็คือ โดยปกติแล้ว วิกฤตในประเทศเกิดใหม่จะเกิดเป็นพื้นที่ เช่น 

Latin American Debt Crisis ที่เริ่มในปี 1982

Asian Financial Crisis ระหว่างปี 1997-1998

Eastern European Crisis หลังเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008

เนื่องจากประเทศในพื้นที่เดียวกัน มักจะทำตัวคล้ายๆ กัน มีปัญหาคล้ายๆ กัน ทำให้เวลาที่เกิดวิกฤตก็จะล้มไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน 

แต่ในรอบนี้ วิกฤตจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค โดยจะเริ่มจากประเทศเล็กๆ ที่มีฐานะการเงินและเศรษฐกิจอ่อนแอก่อน เช่น ศรีลังกา, กานา, ปากีสถาน และ สปป.ลาว และค่อยๆ วนขึ้นมาในประเทศที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า 


‘กอบศักดิ์’ จับตาสัปดาห์นี้ถึงจุดเปลี่ยนศก.ไทย คาด กนง.จะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สัปดาห์นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย จบยุคดอกเบี้ยต่ำของไทยที่เกิดขึ้นมาหลายปี สู่จุดเริ่มต้นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยกลับไปสู่ปกติ 

ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยจะปรับขึ้นเท่าไร ไปจบลงที่ตรงจุดไหนในช่วงต่อไปนั้น คงต้องรอคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจ โดยคาดว่าจะขยับขึ้นราว 0.25% โดยมีปัจจัยหลักที่จะเป็นหัวใจสำคัญกำหนดดอกเบี้ยต่อไป คือ แนวโน้มของเงินเฟ้อ ที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต้องแข่งกันปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา และสำหรับไทยจะเกิดขึ้นในช่วงต่อไปเช่นกัน 

ในประเด็นนี้ ต้องถือว่าเป็น "ข่าวดี" ที่ไทยกำลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงเงินเฟ้อกำลังแผ่วลงบ้าง หลังจากที่ในเดือนล่าสุด (กรกฎาคม) เป็นครั้งแรกของปี ที่เงินเฟ้อลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า จากเคยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างน่ากังวลใจจากเดือนก่อนหน้า (MoM) เฉลี่ยเดือนละ +0.9% มาตลอด เทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) เงินเฟ้อไทยเดือนนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยู่ที่ +7.61% จาก +7.66% ในเดือนก่อนหน้า แม้จะลดลงเพียงนิดเดียว แต่ก็ยังน่าดีใจ

เพราะภาพจำของทุกคนสำหรับครึ่งแรกของปีคือ เงินเฟ้อพุ่งทะยาน สูงแล้ว สูงอีก ไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหน แต่เดือนนี้ มีข่าวดีเล็ก ๆ เรื่องราคาสินค้าต่าง ๆ พร้อมกันลดหลายจุด 

โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
เงินเฟ้อทั่วไป -0.16% 
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) -1.3%
ดัชนีราคาก่อสร้าง -0.7%

จะมีก็เพียงเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังบวกเพิ่มอีก +0.5% จากการที่ราคาของสินค้าต่างๆ เริ่มปรับตัวขึ้น จากราคาหมวดพลังงาน และการขนส่ง ที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา 

หากเราไปดูรายละเอียดขององค์ประกอบสำคัญของเงินเฟ้อ จะพบว่า ที่ดีขึ้นคือ 

หมวดที่ไม่ใช่อาหาร +7.6% ลดลงจาก +8.5% 

- พลังงาน +33.8% ลดลงจาก +40.0%

- พาหนะการขนส่ง +10.2% ลดลงจาก 14.8%

สะท้อนราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา

ส่วนหมวดที่แย่ลง ก็คือ 

หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ +8.0% เพิ่มขึ้นจาก +6.4% 

- เนื้อสัตว์ เป็นไก่ สัตว์น้ำ +13.7% จาก 13.0%

- ผัก ผลไม้ +5.8% จาก 0.4%

- อาหารบริโภค-ในบ้าน +8.7% จาก +7.3%

- อาหารบริโภค-นอกบ้าน +8.4% จาก 6.5%

สะท้อนถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มในช่วงที่ผ่านมา ที่กดดันให้ทุกคนต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าต่างๆ เพื่อส่งผ่านภาระบางส่วนให้แก่ผู้บริโภค

'ดร.กอบศักดิ์' ชี้!! ภัยแล้งสุดรุนแรงในยุโรป-จีน ก่อวิกฤตอาหารโลก ให้ลุกลามยิ่งขึ้นไปอีกขั้น

'ดร.กอบศักดิ์' เตือน ภัยแล้งที่รุนแรงสุดในรอบ 500 ปีในยุโรป รวมถึงภัยแล้งในจีนและพื้นที่อื่น ๆ กำลังจะทำให้วิกฤตอาหารโลกลุกลามยิ่งขึ้น ซ้ำเติมสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยุคข้าวยาก หมากแพง คนอดอยาก กำลังมาเยือน 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้ ..
วิกฤตอาหารโลก .... “ข้าวจะยาก หมากจะแพง” ยิ่งขึ้น

ภัยแล้งที่รุนแรงสุดในรอบ 500 ปีในยุโรป รวมถึงภัยแล้งในจีนและพื้นที่อื่น ๆ กำลังจะทำให้วิกฤตอาหารโลกลุกลามยิ่งขึ้นไปอีกระดับ

ภาพของแม่น้ำที่แห้งขอดจนถึงพื้น
ซากเมือง
ซากเรือจม
Spanish Stonehenge
Hunger Stones หรือหินของความหิวโหยที่คนเมื่อช่วงศตวรรษที่ 15
สลักฝากข้อความไว้ที่หินใต้แม่น้ำว่า “If you see me, cry” หรือ “ถ้าคุณเห็นข้อความนี้ จงร้องไห้เถอะ” รวมไปถึงพระพุทธรูปเก่าแก่ในจีนอายุ 600 ปี ที่โผล่จากน้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

กลายเป็นภาพจำที่กำลังออกมาให้ทุกคนได้เห็น ได้ตื่นเต้น กับสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นเหล่านี้
แต่ข้างหลังภาพดังกล่าว คือ สัญญาณอันตรายที่ชี้ว่า วิกฤตอาหารโลกจะแย่ขึ้นจากเดิม
สองในสามของยุโรปกำลังเผชิญภาวะภัยแล้ง ดังเห็นในแผนที่ด้านล่าง ปัญหาได้กระจายไปยังทุกพื้นที่

โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน อิตาลี และประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก ต่างถูกกระทบการผลิตของข้าวโพด ข้าวสาลี น้ำมันโอลีฟ ถั่วเหลือง เมล็ดดอกทานตะวัน

นอกจากนี้ แม่น้ำที่แห้ง ยังกระทบต่อไปยังการขนส่งทางน้ำ ซึ่งเป็นช่องทางขนส่งสำคัญของยุโรป ที่จะไม่สามารถขนส่งสินค้าเกษตรได้ในช่วงนี้ ทำให้ผลผลิตเกษตรที่ออกมาสู่โลกลดลง ในพื้นที่อื่น ๆ ของโลก ก็ประสบปัญหาภัยแล้ง เช่นกัน

สหรัฐตะวันตก ก็กำลังเผชิญปัญหานี้อย่างรุนแรง ทำให้ผลผลิตฝ้ายปีนี้ลดลง 40%
จีนตะวันตกเฉียงใต้ ที่แม่น้ำแยงซีที่แห้งผากในบางส่วน กระทบต่อการผลิตข้าว ข้าวโพด

นอกจากภาคการเกษตรแล้ว ยังกระทบการขนส่งทางน้ำ และการผลิตกระแสไฟฟ้า บางมณฑลเช่น เสฉวนที่พึ่งพาไฟฟ้าจากเขื่อน ต้องประหยัดการใช้ไฟฟ้า หยุดจ่ายในบางส่วน กระทบไปถึงการผลิตของโรงงานสำคัญหลายแห่ง เช่น Toyota Foxconn Tesla

ในส่วนของแอฟริกา ความแห้งแล้งในพื้นที่ Greater Horn of Africa ได้ส่งผลกระทบต่อ เอธิโอเปีย เคนย่า โซมาเลีย ทำให้คนหลายสิบล้านคนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร

หมายความว่า ระดับของความรุนแรงของวิกฤตอาหารโลกที่จะเพิ่มขึ้น ซ้ำเติมปัญหาเดิมที่เกิดมาจาก สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบสินค้าเกษตรบางอย่างเช่น ข้าวสาลี

ปัญหาปุ๋ยแพง จากการ Sanctions รัสเซียและเบลารุส ที่ทำให้เกษตรกรทั่วโลกต้องประหยัดการใช้ปุ๋ย ทำให้ผลผลิตออกมาน้อยในฤดูกาลนี้ แล้วยังมาถูก “ผีซ้ำ ด้ำพลอย” จากภัยแล้ง

ดร.กอบศักดิ์ เตือน ระวังการสร้างหนี้ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้!! เงินเฟ้อพุ่ง ทำให้ 'ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน' จบลง

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Kobsak Pootrakool’ ระบุว่า 

ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น !!!! 

ยุคที่เราต้องระวังเรื่องการใช้จ่าย กำลังเริ่มแล้ว

เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กำลังทำให้ “ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน” จบลง

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสู้สงครามกับเงินเฟ้อของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก 

ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายแต่ละประเทศ ต้องปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง 

โดยในเวลาไม่ถึงปี

- สหรัฐ ขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง รวม +3.0%
- สหภาพยุโรป ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม +1.25% 
- อังกฤษ ขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง รวม +2.15%
- ออสเตรเลีย 5 ครั้ง รวม +2.25%
- ฟิลิปปินส์ 5 ครั้ง รวม +2.25%
- มาเลเซีย 3 ครั้ง รวม +0.75%
- อินโดนีเซีย 2 ครั้ง รวม +0.75%
- ไทย 2 ครั้ง รวม +0.5%

เมื่อธนาคารกลางขยับ ดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรต่าง ๆ ก็จะขยับตามเป็นขบวนแรก

ทั้งดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของเอกชน 

บางครั้ง ขึ้นก่อนธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยซ้ำไป

ส่วนดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ก็เช่นกัน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น 

ตามสัญญาณจากธนาคารกลาง เป็นขบวนถัดมา 

ในสหรัฐ JPMorgan Chase Bank แบงก์ที่ใหญ่ที่สุด ได้ปรับ Prime Lending Rate ขึ้น 5 ครั้ง

จาก 3.25% เป็น 6.25% ขึ้นมา +3.0% ตามจังหวะที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างสอดประสาน

แบงก์อื่น ๆ เช่น Bank of America หรือ Well Fargo Bank ก็ปรับขึ้น 5 ครั้ง ในจังหวะและอัตราเดียวกัน

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ปกติแล้วธนาคารพาณิชย์จะคอยดูสัญญาณจากธนาคารกลางว่า 

ต้องการให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน 

และจะดำเนินการตามที่ธนาคารกลางส่งทิศทางมา 

ทั้งนี้ เนื่องจากแบงก์พาณิชย์แต่ละแบงก์ เป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจ 

คงยากที่จะฝืนทิศทางของธนาคารกลางได้ 

เพราะสัญญาณและนโยบายจากธนาคารกลาง 

จะกระทบไปทุกส่วนของตลาดการเงิน 

โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรที่จะเป็นตลาดแรกที่ปรับทันที 

ส่วนธนาคารพาณิชย์ อาจจะใช้เวลา อาจจะรอได้บ้าง ในช่วงสั้น ๆ

แต่เมื่อธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยไปต่อเนื่องในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง 

ทำให้ดอกเบี้ยในระบบ เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น

ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องปรับตาม ในท้ายที่สุดเช่นกัน

ซึ่งการปรับดอกเบี้ยตามดังกล่าว จะช่วยให้นโยบายของธนาคารกลาง 

สามารถส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ ในทิศทางที่ธนาคารกลางต้องการ

สำหรับประเทศไทย 

หลังแบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมา 2 ครั้ง +0.5% และคงปรับขึ้นไปต่ออีกระยะ 

การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน 

ส่งผลต่อดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในประเภทต่าง ๆ 

ซึ่งจะช่วยในกระบวนการดูแลเงินเฟ้อของแบงก์ชาติ 

ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนลงทุน และกู้ยืมน้อยลง

ดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนฝากเงิน ใช้จ่ายน้อยลงเช่นกัน 

ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมใช้จ่ายลดลง ลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

โดยกระบวนการนี้ จะเริ่มชะลอและหยุดลง 

ก็ต่อเมื่อแบงก์ชาติซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางดอกเบี้ย จบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย

หมายความว่า “ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” ในไทย 

ยังจะเดินหน้าไปอีกระยะ

ส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินกู้แบบต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น

สินเชื่อบ้านแบบคงที่ 2-3 ปี ดอกต่ำ ๆ ก็แทบหาไม่ได้ในขณะนี้ ต่างจากช่วงก่อนหน้า

ซึ่งเราทุกคนคงต้องระวังเรื่องการสร้างหนี้ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น นี้

ยิ่งเศรษฐกิจโลกกำลังอ่อนลง 

บริษัทต่าง ๆ คงต้องคิดเรื่อง สภาพคล่อง ดูแลกระแสเงินสด ฐานะการเงินให้ดี

อะไรไม่จำเป็นก็คงต้องผลักออกไปก่อน

‘กอบศักดิ์’ ชี้ ผลพวงปลด รมว.คลัง อังกฤษ สะท้อนนโยบายผิดทิศที่ขาดการกลั่นกรอง

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า..บทเรียนราคาแพงของอังกฤษ !!!

หลายคนอยากรู้ว่า เมื่ออังกฤษยอมเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคลัง ประเภทปลดกลางอากาศ เพื่อสังเวยแนวนโยบาย ที่ตลาดนักเศรษฐศาสตร์ และแม้กระทั่ง IMF มองว่า เป็นนโยบายที่ "ผิดทิศผิดทาง" และเป็น Big Policy Mistakes แล้วเรื่องจะจบหรือไม่

ในประเด็นนี้ หลังจากท่านรัฐมนตรีคลังคนใหม่ ประกาศนโยบายที่เรียกว่า เกือบจะเป็น Complete U-Turn หันหลังกลับจากรัฐมนตรีคลังคนก่อนหน้า 

ยอมหั่นการลดภาระภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จากเดิมที่ตั้งใจไว้ประมาณ 4.5 หมื่นล้านปอนด์ ให้เหลือเพียง 1.3 หมื่นล้านปอนด์

ลดการช่วยเหลือภาระของประชาชนเรื่องพลังงาน ในช่วงปีหน้า

พร้อมเตือนว่า ในช่วงปลายเดือนตุลาคม อังกฤษอาจจะมีนโยบายรัดเข็มขัดการใช้จ่ายบางส่วนประกาศออกมาเพิ่มเติม เพื่อเอา "การคลัง" ให้เข้าที่ และสร้างความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล

แม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะยอมซะขนาดนี้ บาดแผลและความเสียหาย จากการประกาศนโยบายที่ผิดพลาด ก็ยังปรากฏให้เราเห็น

ที่พอจะปรับตัวดีขึ้นบ้าง คงเป็นค่าเงินอังกฤษ ซึ่งกลับไประดับใกล้ ๆ ก่อนที่จะมีมาตรการ 1.13-1.14 ดอลลาร์/ปอนด์

อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 30 ปี ซึ่งเคยขึ้นไปถึง 5% แม้จะลงมาบ้างที่ 4.4% แต่ก็ยังสูงกว่าก่อนที่จะออกมาตรการพลาดมา 1% !!!

ดัชนีตลาดหุ้นของอังกฤษ FTSE100 ยังติดลบอยู่ -4.4%

สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในฝีมือของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา

สะท้อนความเสียหายในเชิง Policy Credibility ที่หมดไป 

และสะท้อนความเสี่ยงของการที่ท่านนายกจะมีนโยบาย "แปลก ๆ" ออกมาอีกที่ตลาด Price-in เผื่อเอาไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top