Friday, 6 June 2025
ท่องเที่ยว

เลขารัฐมนตรีฯ “อารี”เยี่ยมผู้ฝึกนวดหน้าเพื่อความงาม อัพสกิลแรงงาน รับท่องเที่ยวสุขภาพบูม

วันที่ 9 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.30 น. นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เยี่ยมชมการฝึกอบรมหลักสูตร การนวดหน้าเพื่อความงาม ตามโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานรองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคุณค่าสูง โดยมี นายสมพจน์ กวางแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นายสมชาติ สุภารี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมเยี่ยมชมการฝึกอบรม นายสัญชัย ภัทรวรากุล ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 นนทบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน และเจ้าหน้าที่ จังหวัดนนทบุรี ร่วมให้การต้อนรับ ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 นนทบุรี

นายอารี กล่าวว่า ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมชมการฝึกอบรมหลักสูตรนวดหน้าเพื่อความงามในวันนี้ ตามที่ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายเร่งด่วนให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเพิ่มทักษะให้กับแรงงานภาคการท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้านการท่องเที่ยว โดยให้เร่งฝึกทักษะและอบรมในสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวและบริการ กระทรวงแรงงาน ในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลกำลังแรงงานของประเทศ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ส่งเสริมให้แรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูง มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน 

นายอารี กล่าวต่อว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ดำเนินการจัดเตรียมกำลังแรงงาน (Up skill Re skill และ Cross skill) เพื่อสนับสนุนแรงงานภาคการท่องเที่ยวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีความพร้อมรองรับและแรงงานสามารถเข้าระบบการจ้างงาน สอดคล้องกับความต้องการของภาคการท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการอบรมหลักสูตรด้านภาษา นวด-สปา อาหาร เน้นพัฒนาศักยภาพแรงงาน ส่งเสริมให้แรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูง มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ นายอารี และคณะ ยังได้เยี่ยมชมการฝึกอบรมหลักสูตร การเพิ่มทักษะด้านรุกขกรสำหรับพนักงานดูแลสวนและต้นไม้ รุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดอบรมระหว่างวันที่ 8 -12 กรกฎาคม 2567 มีผู้เข้ารับการฝึก รวม 20 คน ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 นนทบุรี โดยหลักสูตรดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับทักษะการทักษะการบริหารจัดการธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ ให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลสวนและต้นไม้ของหน่วยงานและสถานประกอบกิจการในจังหวัดนนทบุรี

🔎ส่องประเทศที่มี ‘นักท่องเที่ยว’ เดินทางไปเยอะที่สุด ในปี 2023

จากผลสำรวจของ The World Tourism rankings  by the United Nations World Tourism Organization ระบุว่าในปี 2023 ‘ประเทศไทย’ ทำรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติรวม 1.2 ล้านล้านบาท มีรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวลำดับ 1 มาจากมาเลเซีย 4.5 ล้านคน

ส่วนประเทศที่โกยนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากที่สุดในปี 2023 ได้แก่ ‘ฝรั่งเศส’ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวมากถึง 100 ล้านคน

‘หนุ่มมาเลฯ’ โพสต์ระบายโรงแรมบ้านเกิด ‘เช็กอินช้า-เร่งเช็กเอาต์’ ฟากชาวเน็ตเชียร์ให้บอยคอตต์ บ้างก็บอก ‘มาเที่ยวเมืองไทยดีกว่า’

เมื่อไม่นานมานี้ ‘ชายชาวมาเลเซีย’ รายหนึ่ง ได้ระบายความผิดหวังที่มีต่อข้อกำหนดต่าง ๆ ของโรงแรมท้องถิ่น (มาเลเซีย) พร้อมส่งเสียงเรียกร้องให้กระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรมแดนเสือเหลือง เข้ามาจัดการคลี่คลายการกำหนดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์ตามอำเภอใจ โดยเขามองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป 

ความคิดเห็นของชายรายนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอื่น ๆ อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ และบางส่วนถึงขั้นยุให้คนอื่น ๆ หันไปเที่ยวประเทศไทยแทน

รายงานข่าวระบุว่า ชายรายดังกล่าวนามว่า ‘ฮาคิม เอช’ ใช้บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนคร่ำครวญเกี่ยวกับกำหนดเวลาของโรงแรมต่าง ๆ ในมาเลเซีย ซึ่งดำเนินการแบบตามอำเภอใจ ค่อนข้างล่าช้าในการเช็กอิน แต่มาเร่งรัดในตอนเช็กเอาต์

ฮาคิม เอช โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่า "หากพวกผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการเห็นชาวมาเลเซียสนับสนุนการท่องเที่ยวท้องถิ่นของเรา กระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรม ต้องเข้ามาแทรกแซง คลี่คลายประเด็นเกี่ยวกับเวลาการเช็กอินและเช็กเอาต์ตามอำเภอใจ"

เขาอ้างต่อว่า "การเช็กอินตอน 16.00 น. และเช็กเอาต์ 11.00 น. มันไร้สาระ พวกคุณอยากบอยคอตต์โรงแรมต่าง ๆ ที่ใช้นโยบายนี้กันหรือเปล่า?"

จนถึงวันจันทร์ (23 ก.ย.) มีคนเข้ามาอ่านข้อความดังกล่าวบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์แล้วกว่า 396,000 คน และมีคนกดไลก์มากกว่า 2,300 ครั้ง โดยชาวมาเลเซียจำนวนมากเห็นด้วยกับเขา และสะท้อนความรู้สึกแบบเดียวกัน ขณะที่บางส่วนเรียกร้องให้บอยคอตต์โรงแรมเหล่านั้น และบางคนถึงขั้นยุให้หันไปเที่ยวไทยแทน

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นตอบกลับ เล่าว่า เคยได้รับคำอธิบายจากโรงแรมเหล่านั้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัตินี้ แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร ในนั้นรวมถึงอ้างว่าแผนกทำความสะอาดไม่มีเวลามากพอที่จะทำความสะอาดห้อง

ส่วนอีกคนโพสต์เห็นด้วยว่าควรบอยคอตต์โรงแรมเหล่านั้น โดยมองว่าเวลาเช็กอินล่าช้า แต่เช็กเอาต์เร็วนั้น เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และไม่คู่ควรกับการเข้าพักแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคนยังเรียกร้องให้กำหนดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับโรงแรมทั่วประเทศ ซึ่งคือเช็กอิน 14.00 น. และเช็กเอาต์ 12.00 น.

ขณะเดียวกัน มีชาวมาเลเซียบางส่วนถึงขั้นขอให้มีการจัดทำบัญชีรายชื่อโรงแรมต่าง ๆ ที่เช็กอินช้าและมาเร่งรัดตอนเช็กเอาต์ เพื่อให้ง่ายต่อการที่ชาวมาเลเซียจะบอยคอตต์

‘นอร์กรุงเทพโพล’ เปิดผลสำรวจ ‘นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว’ ของรัฐบาล พบ ร้อยละ 61.2 พอใจ อึ้ง!! ร้อยละ 55.7 ตอบท่องเที่ยวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

(21 ต.ค. 67) ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์มกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในวันที่ 18 ก.ย. 2567 โดยมีผู้สำรวจจำนวน 1,500 ราย จากทั่วภูมิภาคพร้อมทั้งได้สอบถามกับผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ถึงเรื่อง “นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว”

โดยจากการสำรวจประชาชนถึงความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพียงใด พบว่าพอใจ 61.2% แบ่งเป็น พอใจมาก 32.5% พอใจ 28.7% ขณะเดียวกันผู้ให้สำรวจยังให้ความคิดเห็นว่ามีความพอใจระดับกลาง 20.4% ไม่พอใจ 12.3 % และไม่พอใจมาก 6.1%

ผศ.ดร.สานิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้สอบถามถึงการบริหารจัดการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 เป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบมีความคิดเห็นว่าดีขึ้น 55.7% เหมือนเดิม 22.8% และ แย่ลง 21.5% อีกทั้งยังถามความคิดเห็นของประชาชนด้วยว่า ภาคการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด พบว่ามีส่วนช่วยเศรษฐกิจในระดับมากที่สุด 35.4% ระดับมาก 27.8% ระดับปานกลาง 18.3% ระดับน้อย 12.6% และน้อยที่สุด 5.9%

สำหรับความคิดเห็นผู้สำรวจภาคประชาชนถึงประเด็น “มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยใดที่มีประโยชน์ต่อการดึงนักท่องเที่ยวชาติมากที่สุด” พบว่ามาตรการที่มีประโยชน์มากสุดคือ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ และทำประกันนักท่องเที่ยวทุกคนในวงเงิน 1 ล้านบาท 27.3% การส่งเสริมการจัดอีเวนท์ให้การท่องเที่ยวไทยตลอดทั้งปี เช่น ผลักดันเทศกาลลอยกระทง เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลระดับโลก 16.8% การเร่งพัฒนาสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน และสร้างความแตกต่าง 12.1% 

การเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังในเมืองรองที่มีศักยภาพสูง 10.2% สร้างความมั่นใจในการเดินทางผ่านรูปแบบการทำหนังโฆษณา และการดึง Influencer 8% การประสานกับเอเย่นต์ และบริษัทนำเที่ยว ให้เสนอแพ็คเกจและโปรโมชั่นที่ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6% ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวต่างชาติ  93 ประเทศ/เขตแดน 5.6% ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Entertainment Hub ในเอเชีย 5.3% จัดตั้ง Online Crisis Management โดยจะมีทีมทำหน้าที่มอนิเตอร์ข่าวสารเกี่ยวกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย 5.1% และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังในเมืองรองที่มีศักยภาพสูง 4.2%

ผศ.ดร.สานิต ยังได้สอบถามถึง “โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 โครงการใดมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยมากที่สุด” พบว่าโครงการที่มีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยมากที่สุดคือโครงการ Amazing Thailand 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว 22.7% มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) 16.3% โครงการการทำตลาดการท่องเที่ยวแพลตฟอร์มออนไลน์ 10.7% โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมบนอัตลักษณ์ถิ่น “มหกรรมเสน่ห์ไทย” 10.1% โครงการเที่ยวกับบัสทัวร์ทั่วไทย 2567 9.5% โครงการ ททท. 999 ไทยเที่ยวไทย Tourism Department Store งานไทยเที่ยวไทย 8.7%

โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges  8.1% โครงการ Amazing Green Fest 2024 7.6% และโครงการ Amazing Thailand Passion Ambassador ร้อยละ 6.3% ส่วนของด้านผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ให้ความเห็นว่า นโยบายการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมฟื้นตัวจนสถานการณ์เทียบเท่าก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19

บริษัททัวร์จีนโกยรายได้อู้ฟู้ จัดโปร 11.11 กรุงเทพฯ ติดท็อปเมืองคนจีนแห่เที่ยววันคนโสด

(3 พ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ขณะที่ชาวจีนกำลังจับจ่ายซื้อของออนไลน์ในเทศกาลวันคนโสด “11.11” (วันที่ 11 เดือน 11) ประจำปีนี้ ดูเหมือนว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างเถาเป่า (Taobao) จะไม่ใช่แหล่งชอปปิงเดียวที่นักชอปชาวจีนสนใจอีกต่อไป เพราะชาวจีนต่างก็กำลังใช้เวลาไปกับการท่องแพลตฟอร์มเอเจนซี่ท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agency) ชั้นนำของประเทศ เช่น ฟลิกกี (Fliggy) และ ซีทริป (Ctrip) กันมากขึ้น เนื่องจากได้รับแรงกระตุ้นด้วยแพ็กเกจจองโรงแรมสุดพิเศษในเทศกาลวันคนโสด ซึ่งมักมาในรูปแบบโปรโมชันลดกระหน่ำสำหรับการเข้าพักหลายคืนตามโรงแรมบูติก รีสอร์ท และ เกสต์เฮาส์

ฟลิกกีได้เห็นถึงกระแสที่ร้อนแรงหลังเริ่มจำหน่ายแพ็กเกจท่องเที่ยววันคนโสด “11.11” ของปีนี้ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 21 ต.ค. เพราะในเวลาเพียง 53 วินาที ก็กวาดรายได้ไปมากกว่า 1 พันล้านหยวน (ประมาณ 4.75 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่เคยใช้เวลานานถึง 13 นาทีในปีที่แล้ว และยอดขายก็แซงหน้ายอดขายรวมในวันแรกของปีที่แล้วได้ในเวลาเพียง 52 นาที

หลังจากที่ลูกค้าจองแพ็กเกจท่องเที่ยวเสร็จแล้ว ก็จะสามารถเลือกวันเช็กอินใดก็ได้ภายในระยะเวลาที่แพ็กเกจนั้นยังไม่หมดเขต ซึ่งทั่วไปแล้วจะอยู่ได้นานหลายเดือน แล้วจึงค่อยชำระเงินหลังลูกค้ายืนยันวันเข้าพัก

รายงานจากเมดิน (Meadin) ผู้ให้บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ชี้ว่า แพ็กเกจเหล่านี้ตอบโจทย์อุปสงค์ของผู้บริโภคชาวจีนที่ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเนื่องจากเวลาที่ต้องใช้ในการตัดสินใจซื้อมักมีจำกัด ความยืดหยุ่นของแพ็กเกจและความสะดวกสบายจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้น เวลาที่ต้องเลือกซื้อที่พักสำหรับการท่องเที่ยว

สำหรับบรรดาโรงแรมต่างๆ ยอดขายช่วงเทศกาลคนโสดถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางของตลาดการท่องเที่ยวที่คึกคักของจีน ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนระบุว่า ช่วงหยุดยาววันชาติจีนระยะ 7 วันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศจีน 765 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบเป็นรายปี และยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศมีมูลค่าเกิน 7 แสนล้านหยวน (ราว 3.32 ล้านล้านบาท) ในช่วงหยุดยาวข้างต้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบเป็นรายปี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากปี 2019

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือนักท่องเที่ยวที่ต้องการทริปที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ของตัวเองได้ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่สนใจทริปสัมผัสประสบการณ์พิเศษนั้นเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การท่องเที่ยวในระดับอำเภอเพิ่มสูงขึ้น และการจองโรงแรมขนาดเล็กก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเมื่อมองจากด้านปริมาณแล้วโรงแรมประเภทนี้มีอัตราการเติบโตสูงสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับที่พักประเภทอื่นๆ

รายงานที่เผยแพร่โดยเสี่ยวจู (Xiaozhu) แพลตฟอร์มการจองที่พักพร้อมอาหารเช้า (B&B) ระบุว่าในช่วงวันหยุดยาววันชาติ ปริมาณการจองที่พักพร้อมอาหารเช้าของตนเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“การแข่งขันในตลาดท่องเที่ยวปีนี้รุนแรงมาก หลายธุรกิจก็ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่” ซ่วยเมิ่งถิง เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายช่วงเทศกาลคนโสดของฟลิกกีกล่าว โดยเธอเชื่อว่าการขายในช่วงเทศกาลคนโสดจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบรรดาผู้ประกอบการโรงแรมในช่วงนอกฤดูกาล เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้อย่างเต็มที่รวมถึงเพิ่มยอดการจองห้อง โรงแรมต่างๆ จึงได้ขยายช่องทางการขายแพ็กเกจด้วยการไลฟ์สดและเชิญผู้ทรงอิทธิพลมาโปรโมตผลิตภัณฑ์ของตน

ฟลิกกีก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ขยับขยายช่องทางการขายตามเทรนด์ดังกล่าว โดยในการขายช่วงเทศกาลคนโสดของปีนี้ ข้อมูลด้านการตลาดของฟลิกกีตามโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน เช่น วีแชต เสี่ยวหงซู และ เวยโป๋ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  “ในแง่ของความคุ้มค่า ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลคนโสด 11.11 ในปีนี้ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ซ่วยกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ tripzilla.com พบว่า 5 อันดับจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวนิยมจองทริปเดินทางช่วงวันคนโสดอันดับหนึ่งประจำปี 2024 คือ กรุงโตเกียว อันดับสองคือกรุงเทพฯ, กรุงโซล, นครโอซาก้า และไทเป ตามลำดับ

‘ซินเจียงอุยกูร์’ ท่องเที่ยวสุดคึกคัก!! ปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ กว่า 1.6 ล้านล้านบาท

(2 มี.ค. 68) สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รายงานจำนวนการเดินทางเยือนซินเจียงในปี 2024 ที่ผ่านมาว่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 300 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบปีต่อปี และรายได้จากการท่องเที่ยวสูงราว 3.55 แสนล้านหยวน (ราว 1.66 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 21

อวี๋เจี๋ย รองผู้อำนวยการสำนักฯ กล่าวว่าซินเจียงยังคงพยายามพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจ ครอบคลุมรอบด้าน และสามารถเข้าถึงได้ยิ่งขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการท่องเที่ยวโดยมุ่งพัฒนาจุดหมายท่องเที่ยว รีสอร์ต และเมือง รวมถึงปรับปรุงถนนชมวิวสายหลัก เช่น ทางหลวงตู๋คู่ เป็นเส้นทางขับขี่อัตโนมัติชั้นนำ

ทั้งนี้ การขนส่งที่พัฒนาดีขึ้น รวมถึงเส้นทางบินภายในประเทศ-ระหว่างประเทศ และโครงการถนนชนบทที่ขยายเพิ่มเติม จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางการท่องเที่ยวของซินเจียงยิ่งขึ้น

สำหรับซินเจียง มีภูมิทัศน์ธรรมชาติงดงาม ตั้งแต่ยอดเขาสูงตระหง่าน โกรกธารลึก จนถึงทะเลทรายกว้างใหญ่และทะเลสาบเงียบสงบ กลายเป็นจุดหมายห้ามพลาดสำหรับผู้อยากชื่นชมความมหัศจรรย์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เช่น ภูเขาเทียนซาน ทะเลสาบซ่ายหลี่มู่ ซากโบราณเจียวเหอ และเมืองเก่าคัชการ์

นอกจากนี้ ยังมี ตรอกลิ่วซิง เมืองอี้หนิง แคว้นปกครองตนเองอีหลี กลุ่มชาติพันธุ์คาซัค สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่มาแรง ซึ่งเป็นย่านที่มีการรวมตัวของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มานานเกือบ 100 ปี จนมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว 

โดยปัจจุบันตรอกดังกล่าวมีทั้งกิจกรรมการท่องเที่ยว นิทรรศการทางวัฒนธรรม การทำงานฝีมือและงานศิลปะ

‘ธนกร’ ห่วง ศก.ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แนะ รัฐบาลจัดสรรงบฯอัดฉีด ฟื้น!! ‘คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน’ หวังปลุกท่องเที่ยวโตต่อเนื่อง

(2 มี.ค. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังฝ่ายค้านเปลี่ยนใจยื่น อภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงนายกรัฐมนตรีคนเดียว โดยอ้างว่าเป็นเพราะข้อสอบรั่วเพราะก่อนหน้านี้เตรียมซักฟอกถึง 10 รัฐมนตรี ว่า ตนไม่แน่ใจว่าพรรคฝ่ายค้านกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ มองว่าถ้าตั้งใจจะให้มีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างจริงจัง ก็ควรเดินหน้าตามที่เตรียมข้อมูลมาอย่างดีแล้ว แต่เมื่อ ข้อมูลรายชื่อ 10 รัฐมนตรีหลุดออกไปกลับเปลี่ยนแผนอภิปรายแค่นายกฯคนเดียว ตนจึงอดมองไม่ได้ว่า ความจริงอาจไม่ใช่เป็นเพราะข้อสอบรั่ว แต่เป็นเพราะมีข้อมูลไม่หนักแน่นเพียงพอหรือไม่ ที่จะอภิปรายรัฐมนตรีรายบุคคลได้ จึงได้เปลี่ยนใจกระทันหันแบบนี้  ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว วันเดียวนั้นยังไม่ค่อยเกิดขึ้นนักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายสมัยที่ผ่านมา จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายค้านโชว์ฝีมือการอภิปรายอย่างเต็มที่สร้างสรรค์และตรงประเด็น ไม่ใช้วาทกรรมโจมตีทางการเมืองเพียงอย่างเดียว

เมื่อถามว่าในฐานะอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล มีข้อเสนอแนะใดที่นายกฯควรจะต้องเร่งเครื่องแก้ปัญหา นายธนกร กล่าวว่า ตนเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แม้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาทะลุเป้า กว่า 35.5 ล้านคนแล้วก็ตาม แต่การท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอย อัตราการบริโภคภายในประเทศยังไม่มากเท่าที่ควร จึงขอเสนอแนะให้รัฐบาลรื้อฟื้นโครงการ “คนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาใช้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคและกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนไทยให้เที่ยวภายในประเทศบูมมากยิ่งขึ้น และควรออกมาตรการกระตุ้นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงสงกรานต์และต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้เม็ดเงินและเศรษฐกิจหมุนเวียนเติบโตในประเทศมากยิ่งขึ้น

“นโยบายนี้ประสบความสำเร็จในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ พบว่า พี่น้องประชาชนชื่นชอบเป็นอย่างมากและมีการจับจ่ายซื้อของ มีการเข้าใช้บริการจองโรงแรมที่พักในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ มากเป็นเท่าตัว ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงนั้นก็เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงเห็นว่าหากเป็นนโยบายที่ดีไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน ก็ควรใช้โมเดลที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ มาต่อยอดทำให้ดียิ่งขึ้นได้“ นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top