Tuesday, 3 June 2025
ทุจริต

‘เพจดัง’ อัปเดต!! งบจัดซื้อจัดจ้าง ‘ทุ่นลอยน้ำ’ กทม.แพงเกินจริง โป๊ะ!! ผู้จัดซื้อเจ้าเดิมได้งาน พร้อมส่วนต่างแพงกว่าตลาดครึ่ง

(3 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย’ โพสต์ภาพทุ่นลอยน้ำกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2.5 ล้าน ระบุว่า…

ทุ่นลอยน้ำ กทม. 2.5 ล้าน แพงเกินครึ่ง

ตามกันต่อส่อพิรุธจัดซื้อจัดจ้างแพงเกินจริงของ กรุงเทพมหานคร ล่าสุดพบเจอความผิดปกติกรณีจัดซื้อจัดจ้างทุ่นลอยน้ำ บริเวณสวนลุมฯ และสวนเบญจกิติ

สืบเสาะข้อมูลพบว่าชื่อโครงการซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ จำนวน 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก หน่วยงาน กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ราคากลาง 5,000,000 บาท ราคาจ้าง 4,998,000 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 2,000 บาท

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าติดตั้งจำนวน 2 จุด มีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 7.5 เมตร และทางกว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร คำนวนคร่าว ๆ ประมาณ 160 ตร.ม. จากการสืบราคาตลาดพบว่าราคาทุ่นเทียบเรือรุ่นดังกล่าว อยู่ที่ ตร.ม. ละ 5-7 พันบาท ก็ราว ๆ ล้านนิด ๆ แต่ กทม.จัดซื้อ 2.5 ล้านต่อจุด งานนี้คำนวนส่วนต่างครึ่ง ๆ

เมื่อดูในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐฯ พบว่าโครงการฯ นี้ ใช้วิธีการคัดเลือก แทนที่จะต้องใช้วิธีการประมูลแบบอีบิดดิ้ง ตามระเบียบฯ กรมบัญชีกลาง The Comptroller General’s Department มีเอกชน 3 ราย ยื่นซองเสนอราคา คือ

1. บริษัท ไอ คอมเมิร์ซ จำกัด เสนอราคา 5,300,000 บาท

2. บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เสนอราคา 4,998,000 บาท

3. บริษัท ทรี สปอร์ตฟลอริ่ง จำกัด เสนอราคา 5,500,000 บาท

บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพง ๆ เสนอราคาต่ำสุดได้รับงานไป ส่วนรายอื่น ๆ เสนอราคาสูงกว่าราคากลาง แต่ กทม. ไม่เอา ทั้งนี้จากการตั้งข้อสังเกตในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบแต่ชื่อไฟล์ แต่ไม่มีข้อมูล ซึ่งตามระบบแล้วจะต้องอัพเดทเข้าไปในระบบ

อีกโพสต์หนึ่ง ระบุว่า "ทุ่นลอยน้ำสวนรถไฟ ส่วนต่างครึ่ง ๆ เจออีก…ทุ่นลอยน้ำ กทม.ที่สวนรถไฟจัดซื้อส่อแพงเกินจริง ชื่อโครงการจัดซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ ขนาดไม่น้อยกว่า 46 ตารางเมตร (ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง งบประมาณ 495,000 บาท หน่วยงานที่จัดซื้อ กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สืบราคาตลาดรวมหมุดสกรูแล้วตก ตร.ม.ละ 5,400 บาท คำนวนคร่าว ๆ คูณด้วย 46 ตร.ม. เป็นเงิน 248,400 บาท แต่ กรุงเทพมหานคร เบิก 495,000 ไม่มีลดสักบาท...ครึ่ง ๆ แบบนี้เป็นของหวานให้ ผอ.กอง-เขต ต่าง ๆ"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ได้โพสต์ข้อความว่า "สวัสดีตอนเช้า ผ่านมา 27 วันแล้ว ตั้งแต่ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครแถลงข่าวจนบัดนี้ ยังไม่ทราบผลสอบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพงเกินจริง ๆ"

เป็นการกล่าวถึงกรณีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. โดยกล่าวว่า “ผิด ก็ยืนยันว่าผิด กระบวนการในการตรวจสอบราคากลาง คงต้องให้เข้มงวดขึ้นและสามารถให้สังคมตรวจสอบได้ และขบวนการต่าง ๆ ต้องตามกฎหมายอย่างชัดเจน ของฝ่ายบริหารเองก็ไม่มีนโยบายไปก้าวก่ายฝ่ายอื่นหรือคณะกรรมการราคากลางอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบและให้ประโยชน์ต่อประชาชนกับราชการ ของเราเองก็มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกรุงเทพมหานคร (ศปท.กทม.) ก็จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป”

เครือข่าย ปปท. 'กาฬสินธุ์' คว้ารางวัลดีเยี่ยมป้องทุจริต ก่อสร้าง '7 ชั่วโคตร' ด้าน ปปท.-สตง.-ปปช.-ดีเอสไอ เดินหน้าตรวจสอบเอาผิดเรียกเงินคืนแผ่นดิน

เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.มอบรางวัล เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ด้าน เครือข่ายกาฬสินธุ์ คว้ารางวัลดีเยี่ยมป้องกันการทุจริต ปัญหาก่อสร้าง 7 ชั่วโคตร ขณะที่ องค์กรอิสระ ปปท.-ปปช.-สตง.-ดีเอสไอ เดินหน้าสอบเอาผิด ด้านกรมโยธาฯ เร่งทำหนังสือถึง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ดำเนินการเรียกเงินคืนทั้งหมด

(11 ก.ย. 67) ที่ห้องบอลรูม A ชั้น 5 โรงแรมเบสท์เวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.เป็นประธานพิธีมอบรางวัล 'เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ.2567' ภายใต้โครงการเครือข่าย ป.ป.ท. เฝ้าระวังการทุจริต 'PACC Connect' ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีนางสาวพรหมพรรณ สายทองคำ ผู้อำนวยการกองป้องกันการทุจริตในภาครัฐ คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต (สปท. ป.ป.ท.) ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ท. และผู้แทนเครือข่ายที่ได้รับรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตร่วมพิธี

สำหรับการมอบรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในวันนี้ สืบเนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาการทุจริตของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนยังคงขาดการบูรณาการและสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา สำนักงาน ป.ป.ท. จึงนำนโยบายของรัฐบาล นโยบายผู้บริหาร และแผนในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแปลงไปสู่การปฏิบัติให้เห็น เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

โดยเสริมสร้างและขับเคลื่อนบูรณาการ ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมุ่งเน้นให้การป้องกัน เป็นการหยุดระงับยับยั้งปัญหาก่อนเกิดความเสียหาย เสริมสร้างนโยบายให้ “ทุกคนไม่ทน ต่อการทุจริต”และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินงานภาครัฐ รวมทั้งสร้างกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้านหรือชี้เบาะแส 

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต การรณรงค์ให้ความรู้ การแจ้งเบาะแส รวมถึงการยกย่องเครือข่าย ที่มีผลดำเนินการด้านการป้องกันการทุจริต ให้เป็นเครือข่ายต้นแบบในพื้นที่ทั่วประเทศ และสร้างแรงจูงใจให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังทุจริตในพื้นที่อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ผ่านการดำเนินการใน 3 ส ได้แก่ สร้างความไว้ใจ สร้างงาน สร้างแรงจูงใจ เพื่อเป็นมาตรการ ในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายต้านทุจริตของประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่าย พัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายภาคประชาสังคม พัฒนากลไกและสนับสนุน การทำงานในระดับพื้นที่ การบูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย การรณรงค์ ป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อสรรหา คัดเลือกเครือข่ายคุณภาพ ในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตมีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ และประกาศยกย่องให้เป็น เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต 

โดยเริ่มตั้งแต่การร่วมสร้างความไว้ใจ ความศรัทธาเชื่อมั่น สร้างเครือข่ายโดยการ 'เปิดเวทีสาธารณะ' ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ เพื่อเป็นเวทีเชื่อมต่อระหว่างภาคประชาสังคม กับสำนักงาน ป.ป.ท. ในการรับฟังปัญหา ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ในการแก้ไขปัญหาการทุจริต และความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เป็นที่พึ่งของภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง  ทำการเปิดบ้าน ป.ป.ท. (Open House) พร้อมเปิดรับข่าวสาร ข้อมูล เบาะแส

ตลอดจนร่วมกันสอดส่อง เฝ้าระวังและป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือความเดือดร้อนต่าง ๆ หรือกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ นำไปสู่การสร้างแรงจูงใจ สร้างขวัญกำลังใจให้กับเครือข่าย ที่ร่วมเปิดเวทีสาธารณะ และแจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ ผ่านการเปิดบ้าน ป.ป.ท. (Open House) ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีจิตอาสา ที่เข้ารับการคัดเลือกจนได้รับรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ซึ่งมีเครือข่ายต้นแบบที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ในระดับดีเยี่ยม 56 เครือข่าย ระดับดีเด่น 8 เครือข่าย ระดับดี 19 เครือข่าย และระดับมาตรฐาน 8 เครือข่าย รวมทั้งสิ้น 91 เครือข่าย 

สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมในการต่อต้านการทุจริตจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายชาญยุทธ โคตะนนท์ ประธานเครือข่ายฯจ.กาฬสินธุ์ ได้รับโล่ห์เกียรติคุณ ประกาศเป็นเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ปี งบประมาณ พ.ศ.2567 ระดับดีเยี่ยม ในการสอดส่องปัญหาการก่อสร้างท่อระบายน้ำในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ รวมถึงแนวป้องกันตลิ่ง รวม 8 โครงการ งบประมาณรวมกว่า 545 ล้านบาทดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2561 แต่ไม่มีโครงการไหนสร้างแล้วเสร็จแม้แต่โครงการเดียว แต่กลับถูกจ่ายเงินไปกว่า 250 ล้านบาท ทั้งหมดนี้เป็นงประมาณของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ว่าจ้าง 2 หจก.ประกอบด้วย หจก.ประชาพัฒน์และ หจก.เฮงนำกิจ  ปัจจุบันยังตกเป็น ผู้รับจ้างทิ้งงานตามคำสั่งของกรมโยธาฯ ที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จนถูกประมาณว่าเป็นการก่อสร้าง 7 ชั่วโคตร 

ล่าสุดรายงานแจ้งว่าขณะนี้ ปปท.-ปปช.-สตง.-ดีเอสไอ กำลังทำการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดกับเพื่อดำเนินการตามกฏหมาย ส่วน กรมโยธาธิการและผังเมือง ก็กำลังประสานหนังสือไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการทางพัสดุในการเรียกเงินคืนเงินรวมถึงค่าเสียหายทั้งหมดเป็นภาษีของประชาชน ด้านเครือข่ายฯ ปปท.จ.กาฬสินธุ์ รวมถึง ธรรมาภิบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ และประชาชนผู้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ ยังคงเฝ้ารอความชัดเจนในการแก้ไขปัญหารวมถึงการดำเนินคดีกับผู้รับจ้าง ที่สร้างความเสียหายในครั้งนี้ที่ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ในการก่อสร้างจะต้องได้รับคืนทั้งหมด

สื่อนอกปูด รมว.กลาโหมจีนถูกสอบทุจริต ปักกิ่งกวาดล้างทุจริตครั้งใหญ่สะเทือนนายพล

(27 พ.ย.67) หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า พลเรือเอก ต่ง จวิน รัฐมนตรีกลาโหมของจีน กำลังถูกสอบสวนในปฏิบัติการกวาดล้างคอร์รัปชันครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อนายทหารระดับสูงในกองทัพจีน

รายงานดังกล่าวอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐทั้งในอดีตและปัจจุบัน ระบุว่า พลเรือเอกต่ง อายุประมาณ 62-63 ปี เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนที่ 3 ของจีนที่ถูกสอบสวนในคดีทุจริต โดยเขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2566 ต่อจากพลเอก หลี่ ซ่างฝู ซึ่งดำรงตำแหน่งได้เพียง 7 เดือน อย่างไรก็ตาม พลเรือเอกต่งไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีในการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม และไม่ได้รับตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารกลาง (CMC) ซึ่งเป็นองค์กรทหารสูงสุดของจีน โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นประธาน

ทั้งนี้ การประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติรัฐมนตรีกลาโหมจะต้องเป็นสมาชิกทั้งคณะรัฐมนตรีและ CMC แต่พลเรือเอกต่งไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว

สำหรับรัฐมนตรีกลาโหมจีน 2 คนก่อนหน้า พลเรือเอกต่ง ได้แก่ พลเอกหลี่ ซ่างฝู วัย 66 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมีนาคม-ตุลาคม 2566 และพลเอก เว่ย เฟิ่งเหอ วัย 70 ปี ที่ดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมีนาคม 2561-มีนาคม 2566 ทั้งคู่ถูกถอดยศและขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนมิถุนายน ด้วยข้อหาฝ่าฝืนวินัยร้ายแรง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุในขณะนั้นว่า การกระทำของทั้งสองเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของพรรคและ CMC ทำให้บรรยากาศทางการเมืองในกองทัพเสียหาย และสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของผู้นำอาวุโสในกองทัพ

อย่างไรก็ตาม สื่อในภูมิภาคเอเชียที่คอยเกาะติดรายงานความเคลื่อนไหวของจีนแผ่นดินใหญ่ อย่าง เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ หรือ สำนักข่าวนิเคอิ ยังไม่มีรายงานข่าวดังกล่าวว่าจีนกำลังกวาดล้างนายพลในกองทัพตามรายงานข้างต้น

'อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์' เกรงกระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ แนะนายกฯ.แก้ไขคำแถลงงบฯ.69 ผิดพลาด ประเด็นตั้งเป้าดัชนีรับรู้ทุจริตเกินจริง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการงบประมาณแสดงความเห็นวันนี้เกี่ยวกับคำแถลงประกอบงบประมาณของนายกรัฐมนตรีที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า มีประเด็นที่น่าจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI)เกินจริงโดยปรากฏทั้งในคำแถลงและเอกสารประกอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและประเทศไทย กล่าวคือนายกรัฐมนตรีแถลงในช่วงยุทธศาสตร์ที่ 6 ว่า

“…แนวทางในการป้องกันการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐ โดยมีเป้าหมายค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 45 และ/หรือ ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 56
คะแนน…”

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การแถลงตั้งเป้าหมายดังกล่าวภายใน1ปีงบประมาณ2569 เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกับการแถลงว่าจะทำให้ประเทศไทยและคนไทยหมดหนี้สินภายใน 1 ปี

“รายงานดัชนีการรับรู้การ ทุจริต (CPI)ขององค์กรเพื่อความ โปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ประจำปี 2567 ล่าสุด ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกจาก 180 ประเทศโดยได้คะแนน34คะแนนถือเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ 13ปี (ปี2555-2567) 

ซึ่งดัชนีรับรู้การทุจริตตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี2567พบว่าคะแนนและอันดับลดลงต่อเนื่อง กล่าวคือในปี2555ได้คะแนน37อันดับ88ของโลก ปี2567 ได้คะแนน 34 อันดับ 107 โดยมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกมาโดยตลอด

“สถาบันเอฟเคไอไอ.และเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นเพิ่งเปิดตัว”คอรัปชั่น ฟ้องดู“ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีปราบโกงภายใต้โครงการใยแมงมุมเมื่อวานนี้ควรจะดีใจกับเป้าหมายในคำแถลงของนายกรัฐมนตรีแต่ในทางกลับกันกลับรู้สึกว่า การประกาศเป้าหมายเกินจริงสะท้อนความไม่ใส่ใจและไม่เข้าใจในสถานการณ์คอรัปชั่นของประเทศ

ทั้งนี้ดัชนีนี้เป็นที่รับรู้ทั่วโลกและทราบกันดีว่าประเทศไทยมีดัชนีชี้วัดอยู่ในลำดับใดได้คะแนนเท่าไหร่ เมื่อกำหนดเป้าหมายจะขยับจากอันดับ 107 มาเป็น อันดับไม่ต่ำกว่า 45 และหรือต้องได้คะแนนจาก 34 คะแนนเป็น 56 คะแนนภายในปีงบประมาณ2569 จึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แม้เครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นอยากให้เกิดขึ้นจริงก็ตาม 

ซึ่งการแถลงในสภาผู้แทนฯ.จะเป็นบันทึกเป็นทางการ จึงควรที่นายกรัฐมนตรีจะขอแก้ไขคำแถลงที่ผิดพลาดดังกล่าวโดยเร็ว“อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์กล่าวในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top