Friday, 25 April 2025
ทนายเดชา

‘ชวน’ ยันสภาฯ พร้อมสอบ ‘จริยธรรม’ ปมคลิป ‘เต้007’ ขู่กระทืบ ‘ทนายเดชา’

(30 พ.ค.65) ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ‘ทนายเดชา’ เตรียมร้องสอบจริยธรรมนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ภายหลังมีคลิปเสียงโทรศัพท์แสดงพฤติกรรมข่มขู่ให้เลิกวิพากษ์วิจารณ์คดีแตงโม ว่า วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) ในช่วงบ่ายทางคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร จะมีการประชุมเรื่องที่มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบจริยธรรมของนายมงคลกิตติ์ ที่มีการร้องเรียนมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน โดยเรื่องของทนายเดชายังไม่ได้มีการยื่นร้องเรียนมา

“อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากไปทำผิดต่อจริยธรรมนักการเมือง ทางคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร จะต้องดำเนินการตรวจสอบ แม้กระทั่งคำพูดที่ไม่เหมาะสมก็สามารถร้องเรียนได้ โดยจะต้องมีคนร้องเรียนเข้ามาก่อน จากนั้นคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร จะส่งเรื่องให้อนุกรรมการฯที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพสูง และมีความตรงไปตรงมา ตรวจสอบว่ามีเรื่องอะไรร้องเรียนมาบ้างด้วยความเป็นธรรม” ประธานสภาฯ กล่าว

ขณะที่ด้าน ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์’ ระบุว่า "ทำงานมาเป็นสิบๆปีเจอคนขู่มาก็เยอะ ทั้งตำรวจ ทหาร มาเฟีย มือปืน ถ้ากลัวคงไม่มายืนอยู่จุดนี้หรอกครับ แต่ส่วนนึงผมก็เข้าใจแหละคนที่เสียผลประโยชน์เค้าก็ย่อมไม่ชอบเราเป็นธรรมดา แต่เห็นขู่ผ่านสื่อเราคงนิ่งไม่ได้ ต้องดำเนินคดีเพราะเดี๋ยวประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะเด็กๆ มาเห็นจะเอาเป็นแบบอย่างคิดว่าการข่มขู่กันผ่านสื่อสามารถทำได้ไม่มีกฎหมายเอาผิด”


ที่มา: https://www.naewna.com/politic/656902
https://www.naewna.com/likesara/656905

ช็อก!! คู่กรณีคดีครอบครองปรปักษ์บ้านอากู๋ เครียดจัด ตัดสินใจผูกคอปลิดชีวิตตัวเองแล้ว

จากกรณีข้อพิพาทระหว่างเจ้าของบ้านย่านรามอินทรา 58 กับเพื่อนบ้านที่ลักลอบเข้ามายึดบ้าน โดยอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์เป็นของตนเอง ก่อนจะมีการเจรจาและย้ายออกไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

กระทั้งกลับเข้ามาอ้างสิทธิใหม่ โดยเปิดร้านขายไก่ทอดในบ้านหลังดังกล่าว ต่อมา ทนายความ พร้อมด้วยตำรวจ ได้พาเจ้าของบ้านตัวจริง บุกปลดป้ายขายไก่ทอดทิ้งเพื่อเอาบ้านคืน

ล่าสุดวันนี้ (26 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวมีรายงานรับแจ้ง เหตุมีผู้ผูกคอเสียชีวิต ในบ้านพัก ถ.เลียบวงแหวนกาญจนา พื้นที่ สน.คันนายาว

จากการตรวจสอบ พบว่า ผู้เสียชีวิต เป็นผู้หญิง ใช้ผ้าขนหนูผูกคอกับประตูห้องน้ำ ภายในบ้านพัก โดยผู้ที่เห็นศพคนแรกคือ สามี โดยเปิดเผยว่า ตนเองออกไปซื้อของ พอกลับเข้ามาที่บ้านก็ไม่เจอตัวจึงเดินตามหา พบว่าภรรยาทำร้ายใช้ผ้าผูกคอตัวเองในห้องน้ำ พยายามช่วยเหลือทำ CPR แล้ว แต่ไม่เป็นผล

มีรายงานว่า หญิงสาว เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งความในคดีบุกรุกบ้านอากู๋ และมีเรื่องฟ้องร้องบ้านครอบครองปรปักษ์ กรณีเข้าไปครอบครองบ้านของอากู๋ จนกลายเป็นประเด็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ตำรวจ สน.คันนายาว อยู่ระหว่างการตรวจสอบในบ้านหลังดังกล่าว

ทั้งนี้ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของอากู๋ เจ้าของบ้าน ได้แจ้งว่า อากู๋ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของคู่กรณีแล้ว พร้อมแสดงความเสียมา ณ ที่นี้ด้วย

“ผมได้แจ้งให้อากู๋ทราบแล้ว อากู๋ถึงกับช็อค และขอแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของผู้บุกรุก และขออโหสิกรรม”

ขอบคุณข้อมูล : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

‘กู้ภัยเมืองเลย’ โพสต์เฟซบุ๊กประกาศลั่น ‘เลิกจับหมาแมวทุกกรณี’ หลังมีดรามา ‘น้องซาร่า’ ย้ำ!!ทำงานไม่หวังกำไร หากติดคุกไปก็คงไม่คุ้ม

(20 เม.ย.67) ซาร่า สุนัขเพศผู้ วัย 4 ปี เจ้าหมาหวงชามข้าวกัดเจ้าของ จนต้องเรียกเทศบาลมาจับตัวไป จนเจ้าของเริ่มออกตามหาตัว และสุดท้าย ความจริงได้เปิดเผยว่า เจ้าซาร่า ตายเพราะการจับที่ไม่ถูกวิธี

ประเด็นดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงตามมา โดยทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ก็ได้ออกมาบอกว่า การกระทำของผู้ที่จับ ซาร่า ไป อาจจะมีความผิด ทั้งประเด็นทารุณกรรมสัตว์ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทำให้เสียทรัพย์ และ การปกปิดความจริงอีก 

จากกรณีดังกล่าวทำให้ สมาชิกเฟซบุ๊ก 'Yuttasak Kampanya' หัวหน้าสมาคมร่วมใจกู้ภัยเมืองเลย จ.เลย ออกมาเคลื่อนไหวหลังจากที่ทนายคนดัง ออกมาระบุถึงโทษที่อาจจะเกิดขึ้น โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า “ประกาศ สมาคมร่วมใจกู้ภัยเมืองเลยงดให้บริการจับ สุนัข และแมว มีเจ้าของหรือไม่มีก้อตาม ทุกกรณี เพราะกลัวติดคุก” เนื่องจากอาสาสมัครทำงานโดยไม่ได้หวังผลกำไรแต่ถ้ามีใครต้องถูกจำคุกเพราะออกไปช่วยประชาชนตามที่ถูกร้องขอมาก็คงไม่ยุติธรรมกับคนทำงาน

ทำให้ ทนายเดชา ได้ออกมาโพสต์อีกครั้ง ว่า “กู้ภัยกลัวติดคุกไม่รับงาน จับหมาจับแมว ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า ถ้ากระทำโดยสุจริตไม่มีความผิดครับ ทำดีต่อไปเถอะครับ”

‘ทนายเดชา’ ชี้ ครูใช้ปัตตาเลี่ยน ตัดผมนักเรียน เป็นการกระทำผิดกฎหมาย  แจง!! เป็นเจตนาร้าย ต้องการให้อับอาย แนะ ‘ควรตัดคะแนน-เชิญผู้ปกครอง’

(22 พ.ค.67) เปิดเทอมปุ๊บ ดราม่าปั๊บ หลังพบคลิปครูใช้ปัตตาเลี่ยนไถผมนักเรียนชาย ที่ไว้ผมรองทรง แม้ว่า กฎกระทรวงศึกษาจะมีการผ่อนคลายเรื่องทรงผมไปแล้วก็ตาม

โดยคลิปดังกล่าว ผู้ใช้ทวิตเตอร์ (X) รายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.ราชบุรี โดยระบุข้อความว่า 

“เราเห็นคลิปนี้ในเฟซบุ๊ก รบกวนดันคลิปนี้ให้หน่อยได้ไหมคะ ดึงผมนักเรียนแรง และทำเกินไป ดูจากข้างหลังน่าจะต่อแถวตัดผมกับครูกันยาวเลยค่ะ #สถานศึกษาแห่งนึงในราชบุรี”

ทั้งนี้คลิปดังกล่าว มีเสียงดังอยู่ในคลิปว่า “อาจารย์ มันเกินอันนี้ไปหน่อยนะ” ซึ่งอาจารย์ได้ตอบเสียงดังกลับมาว่า “ไม่เกิน”

จากกรณีนี้ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์ โดยระบุถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “ครูใช้ปัตตาเลี่ยน ตัดผมนักเรียนที่ผมยาวผิดระเบียบ ผิดกฎหมายนะครับ ถือเป็นเจตนาร้าย เพราะทำให้เด็กอับอาย”

พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “วิธีการที่ถูกต้องในการลงโทษนักเรียนคือการตัดคะแนนหรือเชิญผู้ปกครองมาพบ หรือสั่งพักการเรียน ส่วนการทำร้ายร่างกายการประจานเด็กหรือการตัดผมเด็ก เพื่อให้อับอาย เป็นวิธีการที่ผิดกฎหมาย ไม่มีกฎหมายรองรับ”

‘ทนายเดชา’ แนะวิธี ‘สไปรท์’ สู้คดี ปมค่ายเก่าฟ้อง 14 ล้าน ยัน!! ส่วนใหญ่จบด้วยถอน-ยกฟ้อง เพราะสัญญาไม่เป็นธรรม

(17 มิ.ย.67) จากกรณีแร็ปเปอร์ดัง ‘สไปรท์ ศุกลวัฒน์’ ถูกสังกัดเก่าฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท โดยอ้างว่าผิดสัญญาว่าจ้างศิลปิน โดยทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นผ่าน เพจ ทนายคลายทุกข์ ว่า...

“ต้นสังกัดฟ้องนักแสดง 14 ล้านผมเคยทำคดีประเภทนี้มาแล้วส่วนใหญ่ถอนฟ้องหรือไม่ก็ยกฟ้องเพราะ #เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"

คดีเกี่ยวกับการผิดสัญญานักแสดงทนายเดชาทำมาหลายคดีแล้วส่วนใหญ่ถอนฟ้องหรือยกฟ้อง เพราะข้อสัญญามีการกำหนดค่าปรับไว้จำนวนนับสิบล้านซึ่งเป็นการกำหนดเบี้ยปรับที่ไม่เป็นธรรม

เป็นการเอาเปรียบนักแสดงในขณะเดียวกันในสัญญาไม่ได้กำหนดสิทธิ์ให้นักแสดงสามารถปรับต้นสังกัดได้แต่อย่างใด สัญญาประเภทนี้เรียกว่าสัญญาทาส ผมเชื่อว่านักแสดงทุกคน สามารถต่อสู้คดีได้ไม่ยากครับจากประสบการณ์ที่ผมเคยทำคดีประเภทนี้มา

เกี่ยวกับประเด็นนี้ด้านเพจ 'โหนกระแส' ได้เผยด้วยว่า ตอนนี้ต้สังกัดเก่ายอมลดให้เหลือ 7 ล้าน แต่ นายกาวี พวงสมบัติ พ่อของสไปรท์ มองว่าไม่เป็นธรรมถึงแม้จะลดลงมา 50% เหลือ 7 ล้านบาท รายได้น้องที่เขาฟ้องมา ไม่ได้เข้ากระเป๋าน้องกับพ่อแม่เลย เข้าช่องที่น้องไปประกวด ได้แค่ค่าน้ำมัน น้องผลักดันตัวเอง 100% ไปด้วยตัวเองตลอดไม่ได้มีใครช่วยเหลือ

“ไม่เป็นธรรม จากเด็กคนหนึ่งที่ช่วยเหลือครอบครัว  ด้วยการทำทุกวิถีทางหาเงินให้พ่อให้แม่ พอน้องมีชื่อเสียง  เห็นน้องลืมตาอ้าปากได้ คุณกลับมา มาฟ้องเพื่ออะไร คุณไม่เห็นความตั้งใจของเด็กคนหนึ่งที่จะช่วยเหลือพ่อแม่เหรอ กลับมาฟ้องเด็กคนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นน้องพึ่งอายุ 12-13 พอน้องมีอายุที่ดีกว่าเดิมนิดหน่อยคุณกลับมาฟ้อง”

พ่อของสไปรท์ บอกอีกว่า เชื่อมั่นในความดี ความจริงก็จะได้เห็นว่าเป็นอย่างไร ทางครอบครัวไม่ได้ผิดอะไร ตอนลำบากเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ติดต่อมา 6 ปี ตอนนี้รู้ซึ้งกับคำว่ากลับมาหากินกับเด็ก

สำหรับประวัติของ ‘สไปร์ท-ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ’ เกิดวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ปัจจุบันอายุ 18 ปี เติบโตมาในครอบครัวที่ขยันทำมาหากิน พ่อ-แม่ทำงานประจำ แต่ก็ยังหารายได้เสริมด้วยการขายของที่ตลาดนัด และงานเทศกาลต่าง ๆ โดย ‘สไปร์ท’ เคยเล่าว่า ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวขายข้าวโพดคั่วตามงานวัด ตนก็ไปช่วยขายตั้งแต่เด็ก ๆ สิ่งที่ฝันเอาไว้ในอนาคตคืออยากให้ครอบครัวสบาย และวันนี้เขาก็ทำสำเร็จ ซื้อบ้านให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันและเป็นเสาหลักด้วย

สไปร์ท เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากไปออกรายการ Super 10 Season 2 (ปี 2561) โชว์ความสามารถการร้องเพลงลูกทุ่ง และโชว์แร็ปให้กรรมการฟัง จนแจ้งเกิดจนได้ฉายา ‘สไปร์ท แรปเปอร์รองเท้าแตะ’ และกลายเป็นที่ชื่นชมในโซลเชียลเพราะความเป็นเด็กกตัญญู

สไปร์ทเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง มีโอกาสได้ร้องเพลงและเล่นคอนเสิร์ตของโรงเรียน ยิ่งกระตุ้นความที่ชื่นชอบการร้องเพลง โดยมี ‘ปู่จ๋าน ลองไมค์’ เป็นต้นแบบและเป็นจุดเริ่มต้นให้สนใจแนวดนตรีฮิปฮอป 

จากนั้นก็เดินหน้าสานฝันตัวเองลงแข่งรายการ ‘Show me the money Thailand ซีซั่น 2’ โชว์ศักยภาพอย่างเต็มความสามารถ แม้จะถูกตั้งข้อกังขาว่าเด็กวัย 15 ปี จะมีดีแค่ไหน แต่ทว่าเด็กน้อยบนเวทีมีดีกว่าที่หลายคนคิด ผลงานประจักษ์คว้า ‘รองแชมป์’ กลายเป็นที่ยอมรับ และปูทางสู่การเป็นแร็ปเปอร์น้องใหม่

ก่อนที่จะสร้างตำนานบทใหม่ให้วงการเพลงไทย ด้วยการพาเพลง ‘ทน’ ที่ฟีเจอร์ริ่งกับ ‘GUYGEEGEE’ ทะยานขึ้นบนชาร์ตเพลงระดับโลกอย่าง Billboard Global ในอันดับที่ 89 เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา และปัจจุบันยอดวิวพุ่งไปถึง 420 ล้านวิว

ชื่อเสียงของ ‘สไปร์ท’ ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเป็นแร็ปเปอร์ตัวท็อปในเวลาอันรวดเร็ว และได้เข้าสังกัดค่าย HYPE TRAIN ของ NINO โปรดิวเซอร์คนดัง มีเพลงฮิตเป็นที่รู้จัก อาทิ ‘เดียวดาย’, ‘ปิก้า ปิก้า’, ‘บังอร’, ‘ไอต้าว’, ‘ดาวดึงส์’, ‘ปิ้ว ปิ้ว’ ฯลฯ และยังคงมีงานคอนเสิร์ตและมีผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จด้วยความพยายามและด้วยความสามารถของจริง

ส่องความเห็น 2 ทนายดัง จากกรณี ว.วชิรเมธี เทศน์ The iCon

(21 ต.ค. 67) เรื่องราวข่าว The iCon Group ที่โยงไปในหลาย ๆ วงการ รวมถึงวงการสงฆ์จากกรณีที่พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิระเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดัง ที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายไปเทศนาที่ The iCon Group นั้น 

ล่าสุดจากกรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างทนายที่มีชื่อเสียง 2 คน ได้แก่ ทนายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ 

โดยวันที่ 20 ต.ค. 67 ทางทนายวันชัย สอนศิริ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า 

ท่าน ว. ...ธรรมะย่อมชนะอธรรม

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป... แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมาเป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่าเป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งค์ทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของนักเทศน์นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

ใครจะล่อดิไอคอน ล่อบอสคนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอสก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า..ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว...ก็ดูหน่อยว่าแสงมันมืดหรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด..ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ย..ใหญ่โตกันเหลือเกิน..กัมมุนา วัตตติ โลโก..

ในวันเดียวกันนี้เองทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้โพสต์ผ่านเพจทนายคลายทุกข์ ว่า

#ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส

ช่วยให้คะแนนหน่อยครับว่าเป็นพระดีเด่นหรือไม่อย่างไรแต่สำหรับผมไม่เห็นด้วย
และผมไม่ไหว้พระรูปนี้ เป็นเสรีภาพในการที่ผมจะไหว้ใครพระนั้นจะต้องเป็นพระที่ดีจริงๆ

พระที่ชวนลงทุนแล้วบอกว่าพรุ่งนี้รวยมหาศาลให้รีบไปเปิดบิลพระแบบนี้ผมไม่ยกมือไหว้จริงไหมครับพี่น้อง

สงสารชาวบ้านตาดำๆถูกหลอกลวงเงินไปเป็นจำนวนมากให้เปิดบิล

นอกจากนี้ทนายเดชายังได้โพสต์ต่ออีกว่า 

#การกล่าวโทษ ว.วชิรเมธี เป็นสิทธิตามกฎหมาย

หากมีพยานหลักฐานพอสมควรก็ทำได้ตามกฏหมายไม่มีกฎหมายยกเว้นว่าพระทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ ผู้ติดตามพระ 6 ล้านกว่าคนก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้ามีพยานหลักฐานว่าทำผิด

ลูกศิษย์ใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อรูปคดีเพราะพนักงานสอบสวนทำงานตามพยานหลักฐาน
ส่วนพี่เดก็กล่าวโทษตามพยานหลักฐานที่ปรากฏผิดหรือถูกศาลจะเป็นคนตัดสิน( การกล่าวโทษไม่ใช่การทำตัวเป็นผู้พิพากษานะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย)

#ใหญ่กว่านี้ผมก็เคยดำเนินคดีมาแล้ว

‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เปิดศึกท้ารบ ‘ทนายเดชา’ เหตุเชื่อว่า ลึก ๆ แอบฟอกขาวช่วย ‘ทนายตั้ม’

(5 พ.ย. 67) คลิปบางช่วงบางตอน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ประกาศชักธงพร้อมรบกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เนื่องจากรู้สึกว่า การที่ทนายเดชา ไลฟ์เฟซบุ๊ก พูดเรื่องคดีมาดามอ้อย ตั้งข้อสังเกต เรื่องเงิน 71 ล้านบาท ทำไมถึงเพิ่งออกมาร้องเรียน บอกว่า สอบปากคำมาหลายครั้ง ไม่มีหมายจับ คดีจะหมดอายุความ นายสนธิ มองว่า ทนายเดชา ออกมาปั่นกระแส เพื่อให้คนหลงทิศ และลึก ๆ ก็เชื่อว่าช่วยทนายตั้ม

ทนายเดชา ได้มาร่วมออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 (วานนี้) ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยฟอกขาวให้ทนายตั้ม สาเหตุที่ นายสนธิ พาดพิงถึงอาจจะไม่พอใจที่ความเห็นไม่ตรงกัน พร้อมให้ตรวจสอบทุกกรณีว่า ไม่มีเรี่องสีเทา ยกเว้นปริมาณแอลกอฮอล์

‘ทนายเดชา’ ลั่น!! ใครมีปัญหากับ ‘สนธิ’ โทรมาหาได้ 24 ชม. ชี้!! ความจริงมีสิ่งเดียว

(10 พ.ย. 67) ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ทนายคลายทุกข์’ ระบุว่า ...

เรียนพี่น้องประชาชน ใครที่มีปัญหากับคุณสนธิ ให้ติดต่อมาหา ‘ทนายเดชา’ ได้นะครับ เบอร์โทร 081-6252161 หรือ 081-6161425 ยินดีรับใช้ 24 ชั่วโมง

ความจริงมีสิ่งเดียว

‘สนธิ’ เปิดหน้าแฉ ทนายดาวไถ ผกก.โจ้ 10 ล้าน ชาวเน็ตห่วง ‘ทนายเดชา’ จบไม่สวยตามรอย ‘ทนายตั้ม’

(14 พ.ย. 67) เดือด ‘สนธิ’ ถาม ‘ทนายเดชา’ พอทราบไหมมีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน สะกิดข้อเท็จจริงสืบไม่ยาก เข้าไปเจออดีตนายตำรวจคงทราบชื่อนักกฎหมายจอมไถ ก่อนอีกฝ่ายโร่ย้ำรายการช่องดัง ถูกใส่ร้ายท้าไปดูสรุปสำนวนที่ สน.

จากกรณีเปิดศึกน้ำลายออกมากล่าวหาไปจนพาดพิงกันนอกรอบ ระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โดยปมเดือดล่าสุดเป็นประเด็นที่เจ้าของและผู้ก่อตั้งนสพ.ผู้จัดการ ได้ปลุกผีคดีผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ซึ่งมีคดีซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยแต่ลดโทษจากประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิต

โดยนายสนธิมีการเกริ่นเนื้อหาบางช่วงที่ระบุ “มีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน” ก่อนจะร่ายยาวในรายการ sondhitalk ระบุ ตนไม่ได้ข่มขู่ใครส่วนนายเดชาเคยไปข่มขู่ใครหรือไม่ ตนไม่อาจทราบได้จริง ๆ แต่มีคนเล่าให้ฟังถึงผู้กำกับโจ้ว่ามีทนายคนหนึ่งมีคลิปว่าคนตายนั้นเสียชีวิตจากที่ผกก.โจ้นั้นคลุมถุง ถ้าไม่ให้เปิด ขอ 10 ล้าน แต่ทนายความของนายตำรวจปฏิเสธ คลิปจึงถูกส่งต่อมาที่ทนายตั้ม

“ตนไม่ทราบว่าใคร ใครทราบช่วยแจ้ง คุณเดชาพอทราบหรือไม่”

หลังจากเปิดโปงพฤติกรรมจนชัดเจนในความไม่ชอบมาพากล นายสนธิยังยืนกรานเรื่องนี้ตรวจสอบไม่ยาก เพียงแค่ตนทำเรื่องขอเข้าไปสอบถามผู้กำกับโจ้ในเรือนจำคลองเปรม “โจ้ครับ มีเรื่องนี้จริงไหม ถ้าเขาบอกว่าจริงก็อาจรบกวนให้ช่วยบอกชื่อหน่อยได้หรือไม่“

ขณะที่นายเดชาหลังถูกพาดพิงก็ออกมาชี้แจงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าทุกครั้ง โดยกล่าวในรายการคนดังนั่งเคลียร์ของช่อง 8 ยืนกรานไม่ใช่คนที่ได้คลิปคลุมถุงผกก.โจ้ ก่อนแล้วไปเรียกเงิน พอไม่ได้จึงส่งให้ทนายตั้ม

ทนายเดชาย้ำเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแน่นอน เนื่องจากสรุปสำนวนคดีอยู่ที่ สน.โคกคราม พร้อมกับเตือนไปถึงคนที่พาดพิง ถ้ายังนำมาเป็นประเด็นนี้มาใส่ร้ายก็เตรียมรอหมายศาลได้เลย

“อันนี้ไม่จริงเป็นความเท็จ และผมได้แจ้งความดำเนินคดีกับทนายตั้มไว้ที่ สน.โคกครามแล้วก็พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปพบผกก.โจ้แล้วสอบปากคำเรียบร้อยแล้วว่าทนายเดชาไม่ได้เข้าไปเรียกเงินแต่อย่างใด สามารถไปขอดูหลักฐานดังกล่าวได้ ถ้าใครอยากจะได้ตนก็พาไปได้ เรื่องพวกนี้เป็นข่าวใส่ร้าย อันนี้ 100% ถ้าใครยังพูดอยู่ เดี๋ยวผมก็จะเอาหมายศาลใส่ไปให้ที่บ้าน” นายเดชา ระบุ

“อยากจะให้ทนายเดชา เข้ามาเป็นทนายความให้กับทนายตั้ม เพราะทนายเดชาเป็นผู้ที่มีความอาวุโส มีความสนิทสนมกับทนายตั้ม”

เมื่อวันที่ (25 พ.ย. 67) นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความดูแลคดีให้นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ซึ่งเป็นภรรยาของทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชน ว่า ตนไม่มีทางที่จะรับว่าความให้กับทนายตั้มอย่างแน่นอน เพราะมีการประชุมพูดคุยร่วมกับทนายสายหยุดแล้ว รวมถึงเห็นหลักฐานว่า ถึงต่อสู้ไปก็ไม่มีทางชนะคดี

ส่วนสาเหตุที่ทนายตั้มยังยืนยันว่าจะขอต่อสู้คดีนั้น ตนมองว่าน่าจะมี 2 กรณี อย่างแรกคือทนายตั้มยังคงมั่นใจว่าจะสามารถชนะคดีได้ และกรณีที่ 2 คือทนายตั้มน่าจะรอให้คดีถึงชั้นศาล แล้วค่อยเจรจากับมาดามอ้อย

ซึ่งตนมีความเห็นว่าอยากจะให้ทนายเดชา เข้ามาเป็นทนายความให้กับทนายตั้ม เพราะทนายเดชาเป็นผู้ที่มีความอาวุโส มีความสนิทสนมกับทนายตั้ม

ทนายอาคมยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า ตนเป็นทนายความให้กับภรรยาของทนายตั้มในเฉพาะชั้นสอบสวนเท่านั้น ทันทีที่คดีถึงชั้นศาลตนจะยุติการเป็นทนายความทันที เพราะเชื่อว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกว่าตน

และเชื่อว่าลูกความของตน ไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องเงินที่ทนายตั้มฉ้อโกงเงินมาดามอ้อยมาซื้อบ้าน จึงได้ให้คำแนะนำให้ลูกความของตนคืนบ้านและโฉนดที่ดินให้กับมาดามอ้

แต่ทางทนายตั้มไม่ยินยอม ทำให้ลูกความของตนไม่สามารถทำได้ เพราะผู้ต้องหา 2 คน มีการจดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งสินสมรสจำเป็นต้องมีการยอมความทั้งสองฝ่าย ขณะนี้ตนได้มีการยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาท เพื่อใช้ประกันตัว ซึ่งศาลอยู่ระหว่างการพิจารณา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top