Friday, 18 April 2025
ด้อมส้ม

'พิธา' พบคนไทยในนิวยอร์ก เจอถือป้ายขับไล่ "คนโกหกเชื่อถือไม่ได้" ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องห้ามทัพ หวั่นกระทบกระทั่ง 'ด้อมส้ม'

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) ช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปพบปะพี่น้องคนไทยในเขตควีนส์ของมหานครนิวยอร์ก ทันทีที่นายพิธา มาที่วัดพุทธไทยถาวร ในเขตชุมนุมชาวไทยที่ eimhurst queens ny กับย่านไทยทาวน์ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัด โดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุนมาต้อนรับ กับฝ่ายตรงข้ามมาไล่ต้อน

ทั้งนี้ มีฝ่ายสนับสนุนรายหนึ่งเผยว่า ตนและเพื่อน ๆ ยอมหยุดงานมาให้กำลังใจพิธาในวันนี้ พร้อมชี้ว่าหากวันหนึ่งเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี เธอจะเดินทางกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง เราต้องการนายกฯ คนรุ่นใหม่ไฟแรงเพื่อมาพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มของฝ่ายตรงข้ามที่มาถือป้ายไล่ต้อนนั้น ได้นำป้ายที่มีข้อความว่า L I A R คนโกหกเชื่อถือไม่ได้ หลอกลวง ท่ามกลางผู้สนับสนุนที่มาต้อนรับ งานนี้ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องเข้ามาห้ามทัพและพูดคุยทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีรายงานว่ามีการปะทะหรือกระทบกระทั่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพิธา มีกำหนดเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

บทกลอนชื่อ ‘นางแบก-น้องด้อม-ลุงสลิ่ม’

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก P.khondee (พี่คนดี กวีสมัครเล่น) โพสต์ข้อความว่า ทุกคนที่เลือกเพื่อไทยย่อมไม่ใช่ ‘นางแบก’ ทุกคนที่เลือกก้าวไกลย่อมไม่ใช่ ‘ด้อมส้ม’ แต่ทุกคนที่เชียร์ลุง หรือ รักสถาบัน ต้องเป็น ‘สลิ่ม’ ใช่ไหม?

พร้อมเขียนบทกลอนชื่อ ‘นางแบก-น้องด้อม-ลุงสลิ่ม’ มีเนื้อหาดังนี้

“เป็น ‘นางแบก’ ย่อมมีแอก อยู่บนหลัง
เป็น ‘นางบ่าว’ รับคำสั่ง มานั่งสอน
เป็น ‘นางบิด’ ใส่ความคิด ที่ตัดตอน
รับทุนรอน การจ้างงาน ผ่านเงินเดือน

เป็น ‘น้องด้อม’ ย่อมถูกกล่อม ให้หลงใหล
เป็น ‘น้องเดือด’ เลือดใหม่ ใฝ่เชือดเฉือน
เป็น ‘น้องดื้อ’ ไม่สนใจ ผู้ใหญ่เตือน
มีสหาย เป็นพวกเพื่อน อวตาร

เป็น ‘คนกล้า’ ด่าคนร้าย คนขายชาติ
เป็น ‘คนการ์ด’ ชาติไม่ให้ ใครมาผลาญ
เป็น ‘คนแก่’ ที่มีครบ ประสบการณ์
กลับโดนขาน เรียก ‘ลุงสลิ่ม’ เพื่อทิ่มตำ”

'พุทธะอิสระ' เตือน!! 'ก้าวไกล' หากหยุดพฤติกรรมทรามลิ่วล้อด้อมส้มไม่ได้ ปล่อย 'หมิ่นสถาบันฯ-ย่ำยีคนเห็นต่าง' กม.นิรโทษล้างคดี 112 ก็แค่เพ้อฝัน

(30 พ.ย.66) นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า หลังจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลมาเจรจาความเมืองกับพุทธะอิสระ แล้วก็พูดในเชิงว่า ถ้าการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ใช้คำว่า ยกเข่งก็น่าจะถูกต้อง ยกเว้นคดีทุจริตและความผิดทางชีวิต รวมทั้งหมายรวมไปถึงมาตรา 112 เข้าไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ของพรรคก้าวไกล ก็จะติดคุกเพราะคดีนี้ นับตั้งแต่ผู้ก่อตั้งพรรคไปจนถึงลิ่วล้อบริษัท บริวาร ผู้มีความคิดหรือความเห็นเดียวกัน ล้วนอยู่ในเครือข่ายของพรรคก้าวไกลทั้งหมด

ในเวลานี้พวกเขาค่อนข้างจะเดือดร้อน คดีความผิดมาตรา 112 ที่ตนทำไว้ กำลังบีบคั้น รัดตัว ด้วยเหตุผลว่า กระบวนการดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 เมื่อศาลพิสูจน์ได้ว่า มีหลักฐานการกระทำผิดชัดเจน ส่วนใหญ่จะต้องติดคุกจริงๆ ซึ่งตอนนี้มีเป็นสิบๆ คดี แล้วในการดำเนินคดีนั้นก็มีบุคคลที่เป็นแกนนำ รวมทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าพรรครวมอยู่ด้วย หรือดีไม่ดีก็อาจจะมีหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้พรรคก้าวไกลพยายามจะกระตือรือร้น ทุรนทุราย กระวีกระวาด ร้อนรน ที่จะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ด้วยข้ออ้าง ทำให้เกิดความปรองดอง อันนี้พอเข้าใจได้

แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้ติดตามวิธีเจรจา กระบวนการเจรจาความเมือง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่พุทธะอิสระค่อยๆ ทยอยปล่อยคลิปออกไป ท่านจะเห็นว่าพุทธะอิสระได้มีคำถามกับหัวหน้าพรรคก้าวไกลกลับไปว่า คุณมั่นใจแค่ไหนกับการที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วความผิดเดิมๆ มันจะไม่กลับมาเกิดขึ้นซ้ำอีก แล้วสามารถหยุดยั้งความรุนแรง ความจาบจ้วงล่วงเกิน หมิ่นปรามาสสถาบัน รวมทั้งมันจะเกิดบรรยากาศของความปรองดองขึ้นได้อย่างจริงๆ หละหรือ ซึ่งหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็รับปากว่าจะพยายามไปพูดคุย แล้วก็หาทางพูดกันหรือว่าหาวิธีการที่จะหยุดยั้งหรือว่าห้ามปรามบุคคลที่สร้างความร้าวฉาน หรือจาบจ้วงสถาบัน ไม่ทำให้เสียบรรยากาศของความปรองดอง

ด้วยประโยคหรือประเด็นเหล่านี้ พุทธะอิสระก็เลยทดลอง โยนหินถามทางดูว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณ เขาสามารถคอนโทรล ควบคุมบุคคลหรือว่าลิ่วล้อ บริวารที่อยู่ในอาณัติ หรือผู้ศรัทธาเชื่อมั่นในตัวเขาได้มากน้อยแค่ไหน จึงลองปล่อยคลิปการสนทนาความเมือง ที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลมาเจรจา ปล่อยเป็นระยะๆ ซึ่งเวลานี้ก็เข้าสู่ EP ที่ 4-5 แล้ว

สิ่งที่พุทธะอิสระได้รับก็คือ พวกด้อมส้มทั้งหลายก็พากันมารุมด่า รุมประณาม สับจิก หยามเหยียด ดูหมิ่นพุทธะอิสระ แล้วก็ต่อว่าเล็กๆ กับหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งมาให้ค่าอะไรกับไอ้โล้นซ่ากับไอ้ตัวน่ารังเกียจอะไรประมาณนี้ ซึ่งมันก็ทำให้เห็นว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลมโนขึ้นว่า การผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมมาตรา 112 เข้าไปด้วย มันจะหยุดยั้งความแตกแยก และสร้างบรรยากาศของความปรองดองขึ้นได้

มันน่าจะเป็นเรื่องไม่จริง มโนขึ้นฝ่ายเดียว เพราะนี้แค่เริ่มต้นพวกลิ่วล้อด้อมส้มของเขาก็แสดงอาการ ปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง จาบจ้วง ล่วงละเมิดบุคคลที่เห็นต่างออกมาอย่างน่ารังเกียจ ประมาณว่า มึงกับกูจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

เหล่านี้จึงเป็นที่มาที่พุทธะอิสระตั้งข้อสงสัยและข้อสังเกตว่า การออกกฎหมายปรองดอง ที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลพยายามจะพูดและโฆษณาไปตามสื่อต่างๆ ว่า มันคือการสร้างความปรองดอง หยุดยั้งความรุนแรงก้าวร้าว ล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น เพราะขนาดแค่เริ่มต้น คุณก็ยังไม่สามารถที่จะไปห้ามปรามบุคคลที่แสดงความก้าวร้าว รุนแรง แล้วก็ยุยงปลุกปั่น ดูถูก ดูหมิ่น เหยียบย่ำผู้เห็นต่าง ในเวลานี้พวกคุณยังห้ามเขาไม่ได้ ซึ่งคนเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ศรัทธาในตัวพวกคุณทั้งนั้น

เพราะงั้นข้อกล่าวอ้างที่คุณว่า ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ออกกฎหมายหยุดยั้งความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 จะสามารถทำให้เกิดความปรองดองในชาติได้ ร่วมไม้ร่วมมือพัฒนาคนในชาติได้

พุทธะอิสระยืนยันได้เลยว่า สิ่งที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ พรรคก้าวไกล และผู้นำทางจิตวิญญาณ มโน เพ้อฝัน เขาแค่ฝันแต่เขาไม่ลงมือทำ

ถ้าเขาทำจริงๆ เขาจะต้องหยุดยั้งหรือห้ามปราม หรือส่งเสียงส่งสัญญาณแก่บรรดาผู้ศรัทธาเขาว่า พี่เอย น้องเอย เราต้องการบรรยากาศของความปรองดอง และผลักดันกฎหมายแห่งการปรองดองให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันจะทำให้เกิดความร้าวฉาน แตกแยก ตำหนิติด่าบุคคลผู้เห็นต่าง มันไม่ควรกระทำ และไม่ควรจะมี เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการปรองดองให้เกิดขึ้น มันต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน เริ่มต้นจากตัวคุณและสมัครพรรคพวกของคุณก่อน

แต่ว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ ผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกล ผู้บริหารพรรคก้าวไกล สส.พรรคก้าวไกล และผู้นำทางจิตวิญญาณ ไม่มีใครสักคนออกมาห้ามปราม หรือส่งสัญญาณเตือนให้เกิดสติว่าเรากำลังก้าวไปสู่ชัยชนะ ความสำเร็จข้างหน้า เพราะฉะนั้นต้องอดออม อดใจ อดกลั้น อดทน ทำไม่ได้ และไม่คิดจะทำ เพราะฉะนั้นพุทธะอิสระจึงเชื่อโดยสุจริตใจว่า ข้ออ้างว่า ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองเป็นเท็จทั้งหมด

การที่พรรคก้าวไกลกระวีกระวาด กระตือรือร้น ดิ้นรน ขวนขวายที่จะผลักดันกฎหมายปรองดอง แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อการปรองดองของชาติ แต่เพื่อการหลุดพ้นของบุคคลที่ระดับแกนนำ บริษัท บริวาร ลิ่วล้อของตนที่ต้องคดีมาตรา 112 และกฎหมายการชุมนุมต่างหากเล่า

เท่าที่พุทธะอิสระประมวลภาพได้ มันมีอาการแบบนี้ ก็เข้าใจละนะว่า แกนนำกับผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล รวมทั้งอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลต้องคดีมาตรา 112 แล้วก็เห็นว่าสู้ไปก็ไม่มีทางชนะ ก็เลยอยากหาทางลง

แต่วิธีที่จะลงก็ไม่ใช่ด้วยการออกกฎหมาย มันต้องแสดงความสำนึกรับผิดชอบในพฤติกรรมที่ตนเองกระทำในอดีตที่ผ่านมา ด้วยการแสดงความจริงใจ ขอขมา อภัย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา แต่ถ้าเป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้สภาผู้แทน รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนทั้งประเทศ มาร่วมหาทางออกทางลงให้พวกคุณ ซึ่งมันน่าจะไม่ถูกต้อง

วิธีที่ถูกต้องก็อย่างที่บอกว่า คุณก็แสดงความสำนึกผิด แล้วก็ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคล เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนำขึ้นส่งสำนักพระราชวัง เพื่อทูลเกล้าถวายเพื่อทรงทอดพระเนตร และทรงมีพระราชวินิจฉัย พระเมตตา การุณ อย่างไรก็สุดแล้วแต่พระอัธยาศัย อย่างงั้นมันจึงจะถูกต้อง

ไม่ใช่มาหาวิธีเอามวลชนเข้าไปบีบ เอากฎหมายเข้าไปบีบ ซึ่งก็เพื่อหาทางรอดทางลงให้แก่ตัวเองทั้งนั้น ประชาชนทั้งประเทศไม่ได้อะไรเลยกับสิ่งที่พวกคุณทำอยู่ ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมาก แล้วก็ไม่จริงใจที่จะยุติปัญหา รวมทั้งไม่สำนึกว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของตัวเองผิดพลาด ไม่ถูกต้อง พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่สำนึกผิด

เมื่อไม่สำนึกผิดแล้วจะมาหาทางลง มันจะมีทางที่ไหนให้คุณลง ทุกคนในประเทศนี้เขาก็มองออก เพราะงั้นจึงอยากบอกหัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้ก่อตั้งพรรคว่า ทางออก ทางรอด ทางลง มันง่ายมากแค่แสดงความสำนึกผิด ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตนเอง รวมทั้งบุคคลที่จาบจ้วง ล่วงเกินทั้งหมด ก็จบแล้ว

ขอย้ำว่าอย่ามาบังคับให้สภาผู้แทนฯ และสว. ผ่านร่างกฎหมาย แล้วก็ใช้บริการของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการของตนเอง เช่นนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวเกินไป เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นใหญ่

แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ยังมีหลักคิดที่ว่า การพูดคุยนั้นเป็นกระบวนหนึ่งในการยุติปัญหาและรวมทั้งสามารถหยุดยั้งความรุนแรง ความร้าวฉานในสังคมได้ ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ แต่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิด เพราะเป็นการเอาเปรียบคนทั้งประเทศ เสียดายภาษีที่ต้องจ่ายไปจ้างคนเห็นแก่ตัวพวกนี้มาเอาเปรียบคนไทย

‘ปิยบุตร’ ชี้!! ‘แซะ กัด จิก’ ได้แค่สะใจ แต่ไม่ใช่หนทางชนะ แนะ ‘พวกส้ม’ เปิดแนวรบรอบใหม่ ต้องนำเสนอ ‘สังคมในฝัน’

(8 ธ.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า…

นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน พลังของฝ่ายก้าวหน้า ก้าวรุดหน้ามากขึ้นทั้งในทางปริมาณและในทางคุณภาพ

จนอาจกล่าวได้ว่า ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษนี้ พลังฝ่ายก้าวหน้า ทำ ‘สงครามทางความคิด’ (War of Position) รุกคืบ เอาชนะ ฝ่ายอนุรักษ์/ฝ่ายชนชั้นปกครองมากขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ ‘สิ่งเก่าใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย สิ่งใหม่จะเกิด แต่ยังเกิดไม่ได้’ แบบที่กรัมชี่ว่าไว้เช่นนี้ ทำให้ยังไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะโดยเด็ดขาด

พลังใหม่ฝ่ายก้าวหน้ายังไม่สามารถขึ้นครองอำนาจรัฐได้ ในขณะเดียวกัน พลังฝ่ายชนชั้นปกครอง ยังครองอำนาจอยู่ แต่สูญเสีย ‘อำนาจนำ’ ไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถได้ความยินยอมพร้อมใจได้ดังเดิม ต้องใช้อำนาจบังคับกดปราบเป็นหลักแทน

ผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 และเหตุการณ์การแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 63-64 คือ ผลรูปธรรมที่แสดงให้เห็นถึงการรุกคืบของพลังฝ่ายก้าวหน้า

นี่จึงเป็นที่มาของการสนธิกำลังกัน 3 ฝ่าย ระหว่าง ‘ชนชั้นนำดั้งเดิม + ชนชั้นนำทางการเมือง + ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ’ เพื่อรักษาอำนาจและสถานะให้คงอยู่ดังเดิมต่อไป

แต่พวกเขาก็ทราบดีว่า การครองอำนาจเพื่อรักษาอำนาจสถานะให้คงอยู่ต่อไป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือ การรอวันล่มสลาย ดังนั้น พวกเขาต้องปฏิบัติการรุกคืบเอาคืนฐานที่มั่นทางความคิด

War of Position โต้กลับ กำลังดำเนินไป

เมื่อพลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

พวกเขา พลังฝ่ายอนุรักษ์และชนชั้นปกครอง ก็ต้องทำความคิดสะกดคนให้เชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากอยากเปลี่ยนแปลง ก็ต้องใช้การประนีประนอม ยอมถอยแบบทุกกระบวนท่า ถอยแบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อแลกกลับการเข้าไปมีอำนาจ

เรื่องทางเศรษฐกิจก็สำคัญ ต้องทำให้คนมั่นใจว่า ชีวิตเรา เอาเท่านี้ไปก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าเดิม

พวกเขาต้องอธิบายว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปี กำลังหมดไป

คนรุ่นใหม่ เมื่อเติบโตขึ้น ก็ต้องการชีวิตที่ดี หันหน้ามาทำชีวิตให้มีความสุขในแต่ละวันดีกว่า

ฯลฯ

นี่คือ การทำสงครามทางความคิด โดยฝ่ายชนชั้นปกครอง เพื่อโต้กลับฝ่ายก้าวหน้า

ดังนั้น พลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องเข้าสมรภูมิการทำสงครามทางความคิดนี้

มวลชน สมาชิก ผู้ปวารณาตัวสังกัดฝ่ายก้าวหน้า คือ ปัญญาชน ในความหมายแบบที่กรัมชี่บอก

ทุกคนสามารถรับบทบาทในการทำงานทางความคิดได้

แต่การต่อสู้ทางความคิดกับพวกเขา ด้วยการตอบโต้รายวัน รายชั่วโมง ในโลกโซเชียล จับผิดเรื่องเล็กน้อย โต้เถียงกันไปมาในโลก X แบบที่ทำกันอยู่ดาษดื่น ณ เวลานี้ อาจช่วยทำให้สบายใจ สะใจ หรือปรามการโจมตีของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่ยุทธวิธีที่จะเอาชนะทางความคิดได้

การรบทางความคิดรอบใหม่ (หลังจากพวกเขาสนธิกำลังกันสามฝ่าย) ต้องนำเสนอสังคมแบบใหม่ในฝัน ทำให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต้องนำเสนอความเป็นไปได้ ต้องสู้กับความเชื่อที่ว่าเป็นไปไม่ได้ มิใช่ เฝ้ามองว่านายกรัฐมนตรีหลุดอะไร มีประเด็นอะไรให้เอาไปแซะต่อได้บ้าง

พรรคการเมืองและนักการเมือง ต้องรับบทบาทชี้นำ

มวลชนเอาการเอางานของพรรคทั้งออนกราวนด์และออนไลน์ ต้องช่วยกันชี้นำ

ยิ่งปล่อยให้สังคมสิ้นหวังเท่าไร

ยิ่งปล่อยให้คนจำนวนมากรำคาญกับการซัดกันไปมาในเรื่องไม่เป็นเรื่องระหว่างสองฝ่ายเท่าไร

ก็ยิ่งทำให้พวกเขาชนะในสงครามความคิดรอบใหม่นี้

'ด้อมส้มรักเจ้า' ประกาศกร้าว!! ก้าวไกลแลนด์สไลด์รอบหน้า ต้องยึด รธน. 60 คัดทิ้งผู้สมัครถ่อย ไม่ถอยให้คอร์รัปชัน ยึดมั่นใน 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์'

(1 มี.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก @dlyplmpud ด้อมส้มผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปพร้อม ๆ กับสนับสนุนพรรคก้าวไกล ได้โพสต์คลิปวิดีโอเปิดใจต่อพรรคก้าวไกล แนะนำว่าควรปรับเปลี่ยนตัวพรรคอย่างไรบ้าง เพื่อแลนด์สไลด์ในภายภาคหน้า โดยระบุว่า…

สวัสดีครับผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่รักชาติ รักสถาบันทุกท่าน…ถึงแม้เราจะเลือกก้าวไกล แต่เราก็รักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เหมือนกันกับทุกคน ดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลสมัยหน้าเราแลนด์สไลด์ และต้องคัดเลือกผู้สมัครที่มีประวัติสวยงาม ประวัติไม่ดีหรือเป็นอาชญากรตัดออกจากพรรคให้หมด พร้อมดําเนินการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเต็มรูปแบบ กล้าชนกับทุกคอร์รัปชัน โดยอิงตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนลงมติมา 16 ล้านเสียงให้เป็นรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้ฉบับนี้ ดังนั้นขอสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ 2560 ผู้ประกันรัฐธรรมนูญ 2560 มีโทษถึงประหารชีวิตสําหรับคนที่ทุจริตและคอร์รัปชัน

ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้เพราะเราจะมาต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตัดคนที่โกหกออกจากพรรค เพราะคนที่โกหกไม่ทําชั่วไม่มี และกําจัดคนที่คิดล้มล้างสถาบันออกไปจากพรรคให้หมด อย่าให้การสนับสนุนใด ๆ กับคนพวกนี้ ซึ่งเป็นคนคิดชั่ว อย่าให้มาแปะเปื้อนกับพรรคที่สวยงามของเรา

สนับสนุนให้พรรคก้าวไกลคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงลงสมัครรับเลือกตั้ง อย่าเอาผู้สมัครที่แสดงพฤติกรรมเถื่อนถ่อยและนิสัยที่ไม่ดีทางโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลใด ๆ มาเป็นผู้แทน ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของเยาวชน และสนับสนุนให้พรรคส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามและมารยาทที่ดีงาม นําความสวยงามของความเป็นคนไทยไปสู่สากล นําไทยให้เป็นผู้นําสากล ไม่ใช่เอาสากลมาครอบงําประเทศไทย ขอสนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกวิถีทางช่วยกันพี่น้อง…

'เพจดัง' เอือม!! 'นักเคลื่อนไหว-ด้อมส้ม-ก้าวไกล' หลอกเสี้ยมไม่เลิก ดิสเครดิต!! 'ยูโทเปีย' ไม่เกี่ยวสังคมนิยม ใน '๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ'

(15 มี.ค.67) จากเพจ ‘ปราชญ์ สามสี’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“มีเรื่องให้สะสางกันอีกแล้วเรื่อง utopia... ทั้งๆ ที่มีงานวิจัยมากมาย ระบุชัดเจนว่า งานเขียน  utopia เมืองในอุดมคติของ thomas more เป็นรากฐานของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

มีนักเคลื่อนไหว กลุ่มส้มก้าวไกลบางคนที่กลัวคนในเครือข่าย ‘รู้แจ้ง’ จึงหลอกเสี้ยมเรื่อง ยูโทเปียว่าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสังคมนิยม…

ข้าพเจ้าว่ามันตลกดีและดูถูกผู้ชมฐานเสียงของก้าวไกลเป็นอย่างมากเลยละครับ

เพราะหากใช้กูเกิ้ลเป็นเก่งอังกฤษหน่อยก็จะทราบเรื่องยูโทเปีย ว่าเป็นรากฐานสังคมนิยมได้โดยง่ายมากแค่ปลายคลิกครับ

ดิสเครดิต ...แบบนี้ กลายเป็นว่า ไปทำให้ฐานเสียงก้าวไกลดูแย่กว่าความเป็นจริงอีกครับ

งง!! คนสนับสนุนพรรคล้มสถาบัน เชียร์การกัดเซาะดูหมิ่น แต่กลับเข้าวัดนั่งสวดมนต์ในโบสถ์ที่มีรูปพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่

ผมลองพยายามนึกย้อนไปในอดีตตั้งแต่จำความได้ ว่าเคยพบคนที่เป็น 'โรคย้อนแย้ง' มากี่คนในชีวิต นึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออก ก็คงมีแต่ยุคสมัยนี้กับกลุ่ม 'คนงงหลงกลิ่นส้ม' เท่านั้น ที่พร้อมใจกันเป็น 'โรคที่น่ารังเกียจ' นี้อย่างไม่อับอายตัวเอง

'คนงงหลงกลิ่นส้ม' พวกนี้ มีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือ ต่างสนับสนุนพรรคล้มสถาบัน กาเลือกพรรคที่เกลียดสถาบันให้เข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน บ้างก็คอยส่งเสียงเชียร์เวลาที่มีการรวมตัวเพื่อ 'ชูสามนิ้ว' ในที่ชุมนุม บางส่วนก็แสดงความสงสารเห็นใจต่อการกระทำของกลุ่มเด็กที่โดนคดี 112 ทั้งๆ ที่เป็นความผิดที่มีหลักฐานมัดแน่นทุกคดีความ 

'คนงงหลงกลิ่นส้ม' พวกนี้ ไม่เคยห้ามปรามเวลาที่ 'สส.พรรคส้ม' แสดงความหยาบช้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังส่อให้เห็นแนวคิดในการล้มล้างทำลายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยผ่านกลวิธีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่กลับยังเชียร์ และยังให้กำลังใจ

การที่คนเราจะสนับสนุนอะไรสักอย่าง ก็ควรต้องรู้ให้มากว่าสิ่งที่เราจะเทหัวใจให้ มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงอย่างไร? สิ่งใดคือเป้าใหญ่ของเขา? เราจะโง่ จะเบาปัญญา จน 'ไม่รู้หมารู้แมว' อะไรเลยคงไม่ได้ เพราะถ้าเราเลือกผิดนอกจากตัวเราจะถูกตราหน้าว่าเป็น 'คนหัวขี้กาก' แล้ว ประเทศชาติก็อาจจะมีอันตรายได้ในทุกมิติ ยิ่งพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ยิ่งชัดเจนว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยสถาบันกษัตริย์ไว้ 

เมื่อ 'คนงงหลงกลิ่นส้ม' เลือกสนับสนุนกลุ่มคนที่ล้มล้างการปกครอง ก็น่าจะเป็นคนที่ไม่อยากได้สถาบันเหมือนกัน ที่ถูกต้องควรไปในทิศทางเดียวกันเช่นนี้ แต่สิ่งที่เห็นเมื่อวันสงกรานต์ 14 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา เหล่า 'คนงงหลงกลิ่นส้ม' จำนวนหนึ่งพากันเข้าวัด นั่งสวดมนต์ในโบสถ์ที่มีรูป 'ในหลวงหลายรัชกาล' ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น 

ขอถามสักนิด ไม่รู้เลยหรือว่าวัด โบสถ์ แม้แต่พระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั้งที่มรณภาพไปแล้ว และที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่างยกย่อง และโอบอุ้มสถาบันกษัตริย์ของเราไว้ ผูกร้อยเหนียวแน่นคู่กับพุทธศาสนามาอย่างยาวนานจนแยกไม่ขาด 

แม้แต่บทสวดมนต์ไม่น้อยก็มีคำเชิดชูให้ปกปักรักษา และน้อมรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ไทยของเรามาช้านาน พวกคุณไม่เขินตัวเองกันเลยหรือว่าเป็น 'คนย้อนแย้ง' นั่งสวดมนต์ยกย่องกษัตริย์ในโบสถ์ แต่นอกโบสถ์กลับสนับสนุนคนล้มล้างสถาบันกษัตริย์ 

หรือเพราะ 'ความย้อนแย้ง' เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่ 'คนคลั่งพรรคส้มล้มสถาบัน' ต้องมี? 

เรื่อง: แจ็ค รัสเซล

'นักวิชาการส้ม' ชี้!! ไทยสอนประวัติศาสตร์ให้ท่องจำ เน้นปลูกฝังคนให้เชื่องและภักดีภายใต้ความกลัว

(5 มิ.ย. 67) ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา เจ้าของนามปากกานักปรัชญาชายขอบ โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า สอนประวัติศาสตร์ท่องจำที่เน้นปลูกฝังความจงรักภักดีอย่างปราศจากการวิพากษ์ ก็คือการปลูกฝังความจงรักภักดีภายใต้ความกลัว ที่สร้างพลเมืองเชื่องเชื่อฟังอำนาจผูกขาด และพลเมืองกระตือรือร้นเป็นคนดีล่าแม่มดคนคิดต่าง

ที่มา : Thaipost

'ด้อมส้ม' เปิดใจ!! รับฟังข้อมูล 'สลิ่ม' แล้วเกิดเอ๊ะ-ตั้งคำถามต่อ ลองค้นข้อมูล จนได้คำตอบเพียงพอ "สลิ่มจะหลอกเราทำไม"

(24 มิ.ย.67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก @plm89thailand หรือ ‘พี่ลุงแมนไทยแลนด์แดนสวรรค์’ ได้โพสต์วิดีโอพร้อมแคปชันระบุว่า “ไลฟ์ทุกวันได้อะไร? เงินเหรอ? รับจ้างเหรอ? ไอโอเหรอ? เปล่า ได้คนคิดได้แบบหนูนี่ล่ะ คือรางวัลที่ดีที่สุดของสลิ่ม”

โดยภายในวิดีโอ เป็นการพูดคุยกับสมาชิกอีก 3 คน โดยมีสมาชิกหญิงท่านหนึ่งกล่าวว่า “ที่เราขึ้นไลฟ์ แล้วเราพูดทุกวัน ๆ หนูว่ามันก็ต้องสํานึกบ้างแหละ มันก็ต้องเข้าไปในสํานึก ต้องมีเอ๊ะแบบที่หนูไปฟังพี่ทุกวัน ๆ จนหนูเอ๊ะ แล้วหนูก็ตั้งคําถาม หนูก็มีคําถามมาถามทุกวันเหมือนกันเนอะ”

ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก @plm89thailand หรือ ‘พี่ลุงแมนไทยแลนด์แดนสวรรค์’ กล่าวถามกลับไปว่า “แล้วพวกพี่ตอบหนูได้ไหมล่ะ?”

สมาชิกหญิงรายดังกล่าวตอบว่า “ตอบได้ทุกคําถาม แล้วมันก็เป็นข้อมูลจริง ซึ่งหนูก็ไปอ้างอิงจากในเน็ตมาอีกรอบหนึ่งว่าที่เขาพูดมาตรงไหม? ถ้าไม่ตรง เราก็จะมีข้อมูลมาแย้งว่าพูดไม่ตรงเลย หรือเรื่องนี้มันไม่จริง แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีนะ หนูยังไม่คัดค้านอะไรเลย”

ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก @plm89thailand หรือ ‘พี่ลุงแมนไทยแลนด์แดนสวรรค์’ ตอบกลับว่า “ก็ใช่อะสิ แล้วสลิ่มไม่รู้จะไปพูดหลอกพวกหนูทำไม”

สมาชิกหญิงรายดังกล่าวตอบว่า “แล้วทำไมไปเรียกเขาสลิ่ม จริง ๆ ความรู้เขาแน่นมากเลยนะ คุณกลัวคนมีความรู้กันเหรอ งง” 

'นักเขียนรางวัลซีไรต์' ฟาด 'ด้อมส้ม' ไม่ต้องบอกว่าเจ็บปวด เพราะตอน 'ใส่ร้ายเจ้า-มุ่งล้มเจ้า' คนอื่นเขาเจ็บปวดมากกว่า

(14 ส.ค. 67) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เมิงไม่ต้องบอก บอกว่าเจ็บปวด
ตอนพวกเมิงใส่ร้ายเจ้า เหยียดหยามเจ้า
มุ่งล้มเจ้า คนค่อนประเทศ
เขาเจ็บปวดมากกว่าพวกเมิงนัก!

โพสต์ดังกล่าวสืบเนื่องจาก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกลในคดีล้มล้างการปกครอง ทำให้ด้อมส้ม แสดงความไม่พอใจถึงคำวินิจฉัยดังกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top