Saturday, 19 April 2025
ณัฐวุฒิใสยเกื้อ

‘เต้น ณัฐวุฒิ’ ประกาศยุติบทบาท ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย หลัง ‘เพื่อไทย’ ดึงพรรค 2 ลุงร่วมจัดตั้งรัฐบาล

(21 ส.ค. 66) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการ ‘คุยนอกจอ’ ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา หลังจากโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตอนหนึ่งระบุ ว่า “ข้าพเจ้าเพียงรอเวลา และเวลาของข้าพเจ้า มาถึงแล้ว”

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนยุติบทบาทผู้อำนวยการครัวเพื่อไทย (พท.) เรื่องนี้ได้บอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม เมื่อสถานการณ์อาจจะมีแนวโน้มว่าจะมีการจับมือกับพรรคการเมืองบางพรรค ที่จะมาจัดตั้งรัฐบาล ด้วยความเข้าใจ พท. ไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้มีอะไรขัดข้องหมองใจกัน ตนได้บอกผู้หลักผู้ใหญ่ภายในวันนั้นว่า ถ้ามันถึงจุดนั้น ตนก็คงจะอยู่ในพรรคไม่ได้ แล้วเหตุการณ์ก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม ตนได้ติดต่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท. ว่าจะอยู่ในพรรค หรืออยู่ในกระบวนการของรัฐบาลไม่ได้ นอกจากนี้ ได้บอก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บอกผู้หลักผู้ใหญ่ บอกทุกคนในพรรค

“ผมได้โทรเรียนท่านนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) ด้วย เพราะว่าท่านเป็นคนที่ผมเคารพนับถือ และท่านเป็นคนที่ก่อตั้งพรรคการเมืองนี้ พร้อมกับเรียนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) ด้วย ก็บอกทุกคนไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน เพียงแต่ผมรอเวลาให้พรรคการเมืองที่ผมรัก ให้บุคคลการเมืองที่ผมรัก เดินมาอยู่ในจุดที่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้กำลังยากลำบากนัก อย่างน้อยที่สุด กำลังเดินไปสู่การโหวตนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมได้ถามคนสำคัญในพรรค ก็ได้รับการยืนยันว่านายเศรษฐาผ่านการโหวตเป็นนายกฯ แน่ ๆ นายเศรษฐาปลอดภัยแล้ว ผมไม่เคยเดินออกมาจากใครในวันที่เขาลำบาก รอจนกว่าทุกอย่างเดินไปข้างหน้า ผมจึงมาส่งตรงนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายสรยุทธถามว่า ไม่ใช่ละครใช่หรือไม่ ทำทีจากไป แต่จริง ๆ ก็ยังอยู่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ครับ ผมเป็นผมครับ นักเลงเขาไม่ทำกันแบบนั้น”

นายสรยุทธถามอีกว่า ตัดขาด? นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “อย่าใช้คำนั้น ใช้คำว่ายุติบทบาท แล้วไม่ร่วมกิจกรรมกับพรรค และรัฐบาล และไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว”

นายสรยุทธถามว่า เป็นผลจาก พท. ตั้งรัฐบาล โดยร่วม 2 ลุง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ครับ เหตุผลนั้น เป็นเหตุผลสำคัญ ผมไม่ได้ปฏิปักษ์ส่วนตัวกับนักการเมืองคนไหนใน 2 พรรคนั้นนะ แม้ว่าจะยืนคนละข้างทางการเมือง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นศัตรู เข้าใจ และเห็นใจ พท. อย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ที่มันเป็น เพียงแต่ว่าวิถีการเมืองแบบผม เมื่อได้ประกาศประชาชน และแสดงจุดยืนเช่นนั้นมาตลอด ผมต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ยืนยันมา”

“การตัดสินใจยุติบทบาทของผม มันก็เป็นเรื่องมีรอยในใจ ที่นี่เป็นบ้านผม ผมเกิดที่นี่ ผมโตที่นี่ ผมสู้ที่นี่ แล้วคนในบ้านที่น้องผมนั้น แต่ว่าถึงเวลามันต้องตัดสินใจ” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายสรยุทธถามอีกว่า ตัดสินใจยากหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ยาก ไม่ได้ยากที่ห่วงยศศักดิ์ ตำแหน่ง ไม่ได้มีอยู่แล้ว ตอนผมเข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พรรคพวกเพื่อนฝูง บอกว่าให้เอาเมีย หาญาติพี่น้องไปลงบัญชีรายชื่อ ในลำดับที่ปลอดภัย ผมบอกว่าไม่ใช่ผม ผมเป็นนักการเมือง แต่เมีย ลูก และญาติพี่น้องผมไม่ใช่ ก็ไม่มี จะตั้งรัฐบาล ไม่ต่อรองเรียกร้องอะไรให้ตัวเองก็ไม่มี เดินออกมามือเปล่า”

“ความยากที่เดินออกมา คือความผูกพัน ความรัก ความปรารถนาดี มันยาก แต่ถึงเวลาต้องตัดสินใจ ผมไม่มีทางที่ผมจะทำให้พรรคนี้เกิดความเสียหาย ไม่มีทางที่ออกมาแล้วเขวี้ยงก้อนหินใส่หลังคาบ้าน ไม่มี”

นายสรยุทธถามว่า ทั้งที่ไม่เห็นด้วย แล้วทำไมไม่ต่อว่า นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ไม่เห็นด้วย แต่อย่าทำเลย คนต่อว่า พท. เยอะแล้ว อย่าให้มันออกจากปากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อเลย มันไม่ใช่ผม”

นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

(6 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุว่า ความเคลื่อนไหวต่อต้านการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทั้งในกลุ่มอดีตผู้ว่าฯ นักวิชาการ นักธุรกิจ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในวิถีประชาธิปไตย

แบงก์ชาติต้องดำเนินการโดยอิสระเป็นหลักสากล ผมเห็นด้วย แต่เท่าที่ตามดูทั้งข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติ ผมยังชั่งใจอยู่ว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะมีฤทธิ์เดชขนาดที่บางฝ่ายกำลังวาดภาพหรือไม่

ผู้ว่าฯคนปัจจุบันจะหมดวาระกลางปีหน้า การแต่งตั้งคนใหม่ทำโดยกรรมการอีกคณะหนึ่ง ซึ่งตั้งโดยรมว.คลัง จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย บอร์ดไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

อาจมีข้อสังเกตว่าผู้ว่าฯ มีข้อเห็นต่างกับรัฐบาลหลายครั้ง จะตั้งประธานบอร์ดเพื่อปลดผู้ว่าฯหรือไม่ กฎหมายก็เขียนว่าการปลดเป็นอำนาจครม.โดยคำแนะนำของรมว.คลัง เพราะประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริต หรือครม.ปลดออกโดยการเสนอของรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของบอร์ด ซึ่งถ้าดูจากข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีเหตุถึงขั้นนั้น และอีกไม่กี่เดือนจะมีผู้ว่าฯคนใหม่อยู่แล้ว รัฐบาลจะหาเรื่องปลดให้ยุ่งไปทำไม

กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจบอร์ดไปก้าวก่ายนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และระบบชำระเงิน เรื่องพวกนี้มีกรรมการที่มีผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นประธาน ทำงานโดยอิสระ อำนาจหน้าที่หลักของบอร์ดคือการควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่ล้วงลูกลงลึก 

ผมนั่งนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย

จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่เอาเงินทุนสำรองซึ่งกู้ IMF มา ไปสู้ค่าเงินกับกองทุนต่างชาติจนเจ๊งกันระเนระนาดทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีเผชิญแรงเสียดทานต้องลาออก แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากแบงก์ชาติ ทั้งในนามบุคคลและองค์กร หรือก่อน 2540 ก็เคยมีเหตุความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ถูกบันทึกว่าเกิดจากแบงก์ชาติมาแล้ว 

แบงก์ชาติต้องอิสระจากรัฐบาลแน่นอน แต่ดูไปบางมุมคล้ายอิสระจากสังคมและประชาชนด้วยหรือไม่

ผมพยายามค้นระเบียบ หลักเกณฑ์ภายใน พบว่าหายากมาก ทั้งที่หลายเรื่องน่าจะสัมผัสได้ เช่น มีส.ส.ฝ่ายค้านท่านหนึ่ง บอกว่าตั้งประธานบอร์ดแล้วก็จะใช้อำนาจตั้งกรรมการกนง. แทนคนเก่าซึ่งจะหมดวาระ 2 คน พูดจนคนเข้าใจไปว่างานนี้บอร์ดชงเองกินเอง ตั้งพวกตัวเองแน่ ๆ

ทั้งที่สอบถามจากผู้อาวุโสที่เคยเป็นบอร์ดเขายืนยันว่าไม่ใช่ บอร์ดต้องตั้งกนง.จริง แต่ตั้งตามชื่อที่แบงก์ชาติเสนอไม่ใช่คิดเอาเอง เช่น ถ้าว่าง 2 ที่ แบงก์ชาติจะเสนอชื่อมา 3 คนขึ้นไปแล้วบอร์ดพิจารณา ยังไงก็ต้องเป็นคนในโผจากผู้ว่าฯ

เรื่องนี้ก็หาระเบียบไม่พบ แต่ได้รับคำยืนยันว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ทำกันมา

การเสนอชื่อประธานบอร์ดขณะนี้มี 3 คน กระทรวงการคลังเสนอชื่อ 1 คน แบงก์ชาติ 2 คน หนึ่งในสองคนที่เสนอมาเป็นนักกฎหมาย ไม่เคยปรากฏว่าเชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง 

อดีตผู้บริหารแบงก์ชาติและกลุ่มต่างๆค้านชื่อจากกระทรวงการคลัง แบบนี้ประชาชนมีสิทธิ์คิด
ว่าจะล็อคเป้าให้เข้าทางเฉพาะชื่อที่แบงก์ชาติเสนอเท่านั้นหรือไม่

ถ้าชื่อจากกระทรวงการคลังถูกมองว่าเป็นฝ่ายการเมือง แล้วชื่อจากแบงก์ชาติเป็นฝ่ายทางการเมือง หรือเคยเลือกข้างทางการเมืองมาบ้างหรือไม่

หลักคิดของผมคือ เรื่องนี้อย่าเอาการเมืองเป็นตัวตั้ง เสียงค้านรัฐบาลต้องฟัง แต่ฝ่ายเห็นต่างก็ต้องใช้เหตุผลด้วย ว่ากันที่คุณสมบัติก่อน ถ้ามีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และคุณสมบัติตามกฎหมาย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกได้ 

องค์กรที่ต้องเป็นอิสระย่อมต้องอิสระ แต่ความอิสระก็ไม่ควรล้นเกิน จนอาจถูกมองเป็นแดนสนธยา ที่ซึ่งตาเปล่าของประชาชนยากจะมองเห็นได้

เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน!!

(12 ก.พ. 68) จากการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ในวันที่ 27 เมษายน ณ สนามหน้าเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช มีข้อความตอนหนึ่งในคำปราศรัยของผม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย ว่าเป็นผู้คัดค้านการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลเขาพลายดำ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขัดขวางโครงการดังกล่าว

ข้อมูลการปราศรัยผมอ้างอิงจากบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อน นายวิทยาไม่ได้คัดค้าน และล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขัดขวางโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด 
ผมจึงขออภัยต่อนายวิทยา แก้วภราดัย ในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และคำปราศรัยที่ทำให้เกิดความเสียหายไว้ ณ ที่นี้

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย

‘สส.วิทยา แก้วภราดัย’ แสดงสปิริต ถอนแจ้งความ ไม่ติดใจเอาความทั้ง ‘แพ่ง-อาญา’ ที่ ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ ปราศรัยใส่ร้าย ด้วยข้อมูลเท็จ ล่าสุดเจ้าตัวยอมรับผิด โพสต์ขอโทษ

(12 ก.พ. 68) นายวิทยา แก้วภราดัย สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ตัดสินใจถอนแจ้งความ ไม่ดำเนินคดีกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงและนักปราศรัยจากพรรคเพื่อไทย หลังเจ้าตัวยอมรับว่าให้ข้อมูลผิดพลาดบนเวทีปราศรัย และโพสต์ขอโทษผ่านโซเชียลมีเดีย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่ สนามหน้าเมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยพาดพิงว่านายวิทยาเป็นผู้คัดค้านโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเล เขาพลายดำ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อขัดขวางโครงการ ซึ่งนายวิทยา ยืนยันว่าเป็นข้อมูลเท็จ และส่งผลให้เขาตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2566

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ได้ติดต่อมาขอโทษเป็นการส่วนตัว และโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในวันนี้ ยอมรับว่าการกล่าวหานั้นเกิดจาก ความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากข้อมูลที่อ้างอิงมาจากรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต่อมาได้ตรวจสอบพบว่านายวิทยาไม่ได้คัดค้านหรือขัดขวางโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด

ในโพสต์ขอโทษ นายณัฐวุฒิระบุว่า “ผมขออภัยต่อนายวิทยา แก้วภราดัย ในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และคำปราศรัยที่ทำให้เกิดความเสียหายไว้ ณ ที่นี้”

ด้วยเหตุนี้ นายวิทยาจึงพิจารณาแล้วว่า ณัฐวุฒิได้แสดงความรับผิดชอบและสำนึกผิดอย่างจริงใจ จึงตัดสินใจ ถอนคำร้องทุกข์ และไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาอีกต่อไป

การตัดสินใจของนายวิทยาถือเป็น อีกหนึ่งกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการเมืองที่พร้อมเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับผิดและขอโทษโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันทางกฎหมาย ขณะเดียวกัน กรณีนี้ก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลบนเวทีปราศรัยที่ต้องรอบคอบและตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนจะกล่าวถึงบุคคลอื่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top