Tuesday, 13 May 2025
ชินโซ_อาเบะ

รู้จักกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในญี่ปุ่น ความเข้มงวดที่คนส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่น

แม้ ชินโซ อาเบะ’ (Shinzo Abe) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น จะเสียชีวิตจากการถูกยิงโดยอดีตTetsuya Yamagami สมาชิกของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลวัย ๔๑ ปี ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนั้น อาจจะทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัย ความน่าอยู่ และน่าไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้อยู่อีกหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ ด้านความมั่นคง และประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ ได้ไขข้อข้องใจให้เห็นถึงกฎระเบียบและทัศนคติของคนในประเทศที่เชื่อว่ายังคงแอนตี้ทั้งอาวุธและความรุนแรงอยู่ไม่เปลี่ยน โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้…

ข่าวที่น่าจะเป็นที่สนใจมากที่สุดของเมื่อวาน คงหนีไม่พ้นเรื่องของ Shinzo Abe (ชินโซ อาเบะ) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถูกยิงขณะกล่าวปราศรัยในเมืองนาราทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งผมขอไม่กล่าวถึงสาเหตุหรือการเมืองของญี่ปุ่น เพราะเดี๋ยวจะมีทั้ง Guru และ ‘กูรู้’ มากมายออกมาให้ความเห็น จะขอเล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ ของญี่ปุ่น

กฎหมายอาวุธของญี่ปุ่น (The Swords and Firearms Possession Control Law) เริ่มต้นด้วยการระบุว่า...

ประชาชนไม่สามารถครอบครองอาวุธปืนหรือดาบ โดยไม่ได้รับอนุญาต” และการขออนุญาตทำได้ยากมากมากๆ พลเมืองญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์และกีฬายิงปืน แต่สามารถครอบครองได้ภายหลังจากผ่านการยื่นขออนุญาตตามขั้นตอนในการออกใบอนุญาตที่นานและยืดเยื้อแล้วเท่านั้น ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทดสอบ จะต้องผ่านการทดสอบในสนามยิงปืนด้วย “คะแนนอย่างน้อย 95%” มีการประเมินสุขภาพจิตจากโรงพยาบาล และผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งมีการสัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนฝูง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการขออนุญาตเช่นกัน

ใบอนุญาตครอบครองและใช้อาวุธปืน มีอายุสามปี หลังจากนั้นจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตซ้ำอีกครั้ง หลังจากเป็นเจ้าของปืนลูกซองครบ ๑๐ ปีแล้ว ผู้ที่มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนจึงจะสามารถขอครอบรองปืนไรเฟิลได้ ไม่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นเด็ดขาด

ทั้งนี้ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มี “โครงการซื้อคืนปืนเป็นครั้งแรก” ในปี ค.. 1685 และเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ดังนั้น อัตราการครอบครองอาวุธปืนจึงต่ำมากๆ เฉลี่ยการครอบครองอาวุธปืนอยู่ที่ ๐.๖ กระบอกต่อประชากร ๑๐๐ คนเท่านั้น (สถิติในปี พ.. ๒๕๕๐) ส่งผลให้การสังหารหมู่ในญี่ปุ่นนั้น บรรดาคนร้ายจึงนิยมใช้มีดหรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปืน อย่างในปี พ.. ๒๕๕๗ ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนเพียงหกราย เป็นต้น

ตำรวจญี่ปุ่นที่พกอาวุธปืน

 

นอกจากนี้ ในแต่ละจังหวัด ยังสามารถเปิดร้านขายปืนได้เพียงสามร้าน แถมกระสุนปืนสามารถซื้อได้หลังจากนำปลอกกระสุนปืนที่ยิงแล้วมาแสดงด้วยเท่านั้น และหากเจ้าของอาวุธปืนเสียชีวิต ครอบครัวของพวกเขาต้องส่งมอบอาวุธปืนให้ทางการ

ในส่วนของตำรวจที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืน ซึ่งโดยปกติตำรวจก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนบ่อยครั้งนัก ยกเว้นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และโดยทั่วไปแล้วตำรวจญี่ปุ่นจะทำการจับกุมโดยไม่ใช้อาวุธปืน ซึ่งคาดว่า ตำรวจญี่ปุ่นน่าจะถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้เช่น คาราเต้ หรือ ยูโด

หากย้อนกลับไปในอดีต หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิทรงได้พระราชอำนาจคืนจากโชกุน ได้ทำให้มีกฎหมายที่เรียกว่า พระราชกฤษฎีกายกเลิกดาบ’ (Haitorei) เป็นพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยรัฐบาลเมจิของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ ซึ่งห้ามประชาชน ยกเว้นอดีตขุนนาง (Daimyōs) ทหาร และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พกพาอาวุธดาบไปในที่สาธารณะ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกยึดดาบเอาไว้

Haitorei เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อยกเลิกสิทธิพิเศษดั้งเดิมของชนชั้นซามูไร โดยกฎหมาย Haitorei ฉบับแรกออกในปี พ.. ๒๔๑๓ ห้ามชาวนาหรือพ่อค้าพกดาบและแต่งกายคล้ายซามูไร ซึ่งมาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะฟื้นฟูความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองสำหรับประชาชนในช่วงระยะเวลาอันวุ่นวายทันทีหลังการฟื้นฟูเมจิและระหว่างสงคราม Boshin

ในปี พ.. ๒๔๑๔ รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา Danpatsurei อนุญาตให้ซามูไรตัดผมและไว้ผมแบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะเป็นการอนุญาตและสนับสนุน จากนั้นเริ่มมีการเกณฑ์ทหารเพื่อสร้างกองทัพตามแบบสากลขึ้นในปี พ.. ๒๔๑๖ โดยการสร้างกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงนั้น บรรดาซามูไรไม่สามารถผูกขาดการรับราชการทหาร ไม่ได้รับทั้งค่าจ้างค่าตอบแทนที่ขุนนางศักดินาที่เป็นเจ้านายเคยจ่ายให้กับซามูไรในสังกัด ซึ่งถกยกเลิกเช่นเดียวกันในปี พ.. ๒๔๑๖ และนำมาสู่ข้อห้ามในการพกพาดาบเป็นที่ถกเถียงกันเป็นที่ถกเถียงกันต่อมา จนสุดท้ายการพกพาดาบก็ถูกห้ามตามกฎหมายในที่สุด

โดยวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ พระราชกฤษฎีกา Haitō ก็ผ่าน Daijō-kan (รัฐสภาแห่งรัฐของจักรวรรดิญี่ปุ่น) ห้ามอดีตซามูไร (Shizoku) พกพาดาบไปในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมญี่ปุ่นและสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของซามูไรเหล่านี้ เป็นสาเหตุหลักของความไม่พอใจในสมัยเมจิตอนต้นของญี่ปุ่น และนำไปสู่การจลาจลที่นำโดยซามูไรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นแถบตะวันตก และคิวชู นอกจากนี้ ผลของ Haitorei ทำให้ดาบหมดบทบาทที่สำคัญไปกับเหล่าบรรดาซามูไรทั้งหลาย จนทำให้ช่างตีดาบจำนวนมากต้องเปลี่ยนไปผลิตอุปกรณ์ทำการเกษตรและมีดต่างๆ ในครัวเพื่อความอยู่รอดแทน

อาวุธปืนที่จับกุมได้จากแก๊งยากูซาต่าง

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นถูกปลดอาวุธ จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายควบคุมการครอบครองดาบและอาวุธปืนในปี พ.. ๒๕๐๑ เพื่อป้องกันการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนและดาบของแก๊งยากูซาต่างๆ โดยกฎหมายฉบับแรกมีผลบังคับใช้ในปี พ.. ๒๕๐๑ มีวัตถุประสงค์ “...กฎระเบียบด้านความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการใช้อาวุธปืนและดาบ” กฎระเบียบและข้อห้ามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการครอบครอง การใช้งาน การนำเข้า การอนุญาต การขนส่ง การรับ และการขายอาวุธปืนและชิ้นส่วนของอาวุธปืน รวมทั้งระเบียบที่ต้องปฏิบัติในการขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน ทั้งยังคงข้อจำกัดในอดีตเกี่ยวกับดาบและอาวุธมีดอื่นๆ และทำให้อาวุธปืนพก/อาวุธปืนสั้นถูกห้ามครอบครองโดยสมบูรณ์

กฎหมายถูกแก้ไขหลายครั้งเพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน การแก้ไขครั้งสำคัญรวมถึงการเพิ่มการห้ามนำเข้าและเพิ่มอายุในการเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลล่าสัตว์ในปี พ.. ๒๕๐๘ และข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับการครอบครองอาวุธปืนลูกซอง เพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.. ๒๕๕๑ เนื่องจากการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด จึงมีเพียงชาวญี่ปุ่นไม่กี่คนที่สามารถเป็นเจ้าของอาวุธปืน

ดังนั้นอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนจึงต่ำมาก ในช่วงระยะเวลา ๓๐ ปีที่ผ่านมา โดยปี พ.. ๒๕๔๔ มีผู้เสียชีวิตจากปืนมากที่สุดคือ ๓๙ คน และเพียง ๔ คนในปี พ.. ๒๕๕๒ และนี่ก็ยิ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่สนใจอาวุธปืน และการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับอาวุธปืน คือ ความอันตรายอย่างแท้จริงและจำเป็นที่จะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด

๑๓ ขั้นตอนในการขออนุญาตครอบครองอาวุธปืนของญี่ปุ่น

. เข้าชั้นเรียนอาวุธปืนและสอบผ่านข้อเขียน ซึ่งจัดขึ้นปีละ ๓ ครั้ง

. รับบันทึกรับรองจากแพทย์ว่า มีความพร้อมทางจิตใจ และไม่มีประวัติการใช้ยาในทางที่ผิด

. ขอใบอนุญาตให้เข้ารับการฝึกยิง ซึ่งอาจใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน

. อธิบายในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำไมถึงต้องการครอบครองอาวุธปืน

. ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขอ ประวัติการครอบครองอาวุธปืน หน้าที่การเงิน เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรหรือไม่ หนี้สินส่วนบุคคล และความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนบ้าน

. ขอใบอนุญาตซื้อกระสุนปืน

. เข้ารับการฝึกหนึ่งวัน และต้องผ่านการทดสอบการยิง

. ขอรับใบรับรองจากร้านค้าปืนที่ให้รายละเอียดของอาวุธปืนที่ผู้ซื้อต้องการ

. หากต้องการซื้อปืนล่าสัตว์ ต้องขอใบอนุญาตล่าสัตว์ด้วย

๑๐. ซื้อตู้เซฟเก็บปืนและตู้เก็บกระสุนตรงตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

๑๑. ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เก็บอาวุธปืนของผู้ขอ

๑๒. ผ่านการตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม

๑๓. ซื้ออาวุธปืน

วิเคราะห์ดวง 'อาเบะ' ดื้อ - ซื่อตรง - เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ ไม่ยอมเสียเปรียบ

เป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกอกตกใจกับการถูกลอบยิงจนเป็นเหตุให้ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนที่ 57 ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวถึง 2 สมัย ซึ่งนับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Fengshui Biz Designer จึงขออนุญาตร่วมไว้อาลัยด้วยการวิเคราะห์รูปดวงเชิงวิชาการ ยกไว้เป็นดวงครู เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจในโหราศาสตร์จีนโบราณ ด้วยหลักวิชา “สี่เสาแห่งโชคชะตา” หรือ 八字四柱 (โป๊ยหยี่ซี๊เถียว)

ลักษณะโครงสร้าง ”สี่เสาแห่งโชคชะตา” หรือ 八字四柱 (โป๊ยหยี่ซี๊เถียว) เป็นคนธาตุทองเพศหยาง ตัวอักษร (แก) เปรียบเสมือนทองแท่งหรือทองแข็ง หรือมีลักษณะคล้ายคมมีดโลหะที่แข็งแกร่ง มีลักษณะอุปนิสัย ดื้อ ซื่อตรง เด็ดขาด เปิดเผย ชอบเอาชนะ ชอบอยู่แนวหน้า อารมณ์หงุดหงิดง่าย แต่เป็นคนกล้าตัดสินใจ ขาดความผ่อนปรน ไม่ยอมเสียเปรียบ พูดจาขวานผ่าซาก

ดิถีวันเป็นธาตุทอง (แก) ที่นั่งอยู่บนมะโรง (ซิ้ง) มีดาว 日德 (ยิกเต็ก) และดาว 魁罡(ควยกัง) กำกับอยู่ จึงเป็นคนมีวาสนาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มากด้วยอำนาจและบารมี มีความเด็ดขาด แข็งแกร่ง เด่นชัดด้านฝีมือและด้านบริหารวิชาการ สติปัญญาดี ฉลาด ปราดเปรื่อง

เกิดปีมะเมียไม้ “甲午 (กะโง้ว) เดือนระกาน้ำ 癸酉(กุ้ยอิ้ว) วันมะโรงทอง 庚辰(แกซิ้ง) เสาวัยจรเสวยอายุตั้งแต่ 67 ถึง 76 ปี ถนนชีวิตเดินในตำแหน่งเสามะโรงทอง 庚辰(แกซิ้ง) เช่นกัน ทั้งเหมือนทั้งเป็นตัวเดียวกันกับราศีบนและราศีล่างของเสาวัน เข้ากฏตามตำราโหราศาสตร์จีนว่า 伏吟” (หกหงิ้ม) โดยมีดาวร้าย 寡宿” (กัวซิ่ว) และดาวร้าย 刑” (เฮ้ง) กระหน่ำซ้ำเติมเป็นคราวเคราะห์ที่มีผลกระทบต่อชะตาชีวิตในช่วง 10 ปีนี้ไม่น้อยเลย

ปมทางจิตที่ผู้เป็นแม่สร้างไว้ให้ลูก ความเก็บกดที่พาลไปลงกับอาเบะ

เปิดปมฆ่า 'อดีตนายกฯ อาเบะ' ลุงของมือปืนเผย!! แม่มือปืนเอาเงินไปทุ่มให้โบสถ์เอกภาพทั้งหมดกว่า 100 ล้านเยน หรือ 26 ล้านบาท จนลูกไม่มีเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัย ตกงาน ครอบครัวล้มละลาย พี่ชายฆ่าตัวตาย จึงเลือกโทษและระบายความโกรธแค้นมาที่ ‘อาเบะ’ แทน

(15 ก.ค. 65) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง ‘ครอบครัวที่ล่มสลาย หัวใจที่พังทลายของฆาตกรที่สังหารอดีตนายกฯ อาเบะ’ โดยมีเนื้อหาดังนี้…

ปมทางจิตที่แม่สร้างไว้ให้ลูก++

ประวัติความล่มสลายของครอบครัวคนร้าย นายเท็ตสึยะ ยามากามิ (อายุ 41 ปี) ที่ฆ่าอดีตนายกฯ อาเบะ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มลัทธิที่ตัวเขาชิงชัง

ความจริงในวัยเยาว์ เขาเป็นเด็กที่เพียบพร้อม บ้านมีฐานะ เรียนก็เก่ง เล่นกีฬาก็ดี 

แต่แล้วชีวิตต้องมาพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อมารดาเขาคลั่งลัทธินิกายใหม่

เท็ตสึยะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ มีพี่ชาย 1 คน น้องสาว 1 คน

>> เพื่อนโรงเรียนประถมและมัธยมต้น เล่าให้ฟังว่า…

เท็ตสึยะเรียนเก่ง กีฬาก็เยี่ยม ใจดี นิสัยดี ไม่มีที่ติเลย ครูประจำห้องมักชมเท็ตสึยะเสมอๆ

>> เพื่อนร่วมชมรมบาสเก็ตบอลเล่าให้ฟังว่า…
เท็ตสึยะหัวดีมากๆ เป็นคนขยัน ไม่แสดงทีท่าว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ เขาเก่งกว่าคนอื่นในทุกๆ ด้าน ทั้งกีฬาและการเรียน แต่เขาเป็นคนที่พูดน้อย สงบเงียบๆ สอนการบ้านเพื่อนประจำ ไม่เคยมีศัตรู และไม่มีพิษภัยกับใคร

ผมยังไม่เชื่อเลยว่าฆาตกรเป็นเพื่อนตัวเอง เคยเห็นเค้าสอนการบ้านเพื่อน แต่ไม่ค่อยเห็นเค้าคบเพื่อนคนไหนเป็นพิเศษ

>> คนที่รู้จักเท็ตสึยะช่วงมัธยมปลาย เล่าว่า...
เท็ตสึยะอยู่ชมรมเชียร์ ได้ไปเชียร์การแข่งขันเบสบอลที่สนามโคชิเอ็งด้วย

>> เพื่อนอีกคนเล่าว่า...
เท็ตสึยะชอบอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร เวลาพักกลางวันหรือพักกินข้าวก็ไปคนเดียวตลอด

>> ด้านผู้มีศักดิ์เป็นลุง (พี่ชายของพ่อเท็ตสึยะ) เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า...
พ่อเท็ตสึยะฆ่าตัวตาย ตั้งแต่เท็ตสึยะอายุได้ 4 ขวบ ตอนนั้นแม่เท็ตสึยะกำลังท้องน้องสาวเท็ตสึยะได้ 8 เดือน
ลูกชายคนโตเป็นมะเร็งตั้งแต่เล็ก หลังจากผ่าตัด สูญเสียการมองเห็นไปข้างนึง

ผมให้เงินช่วยเหลือเดือนละ 5 หมื่นเยนมาตลอด

หลังจากพ่อเท็ตสึยะเสียได้สักพัก แม่เท็ตสึยะก็เข้ากับกลุ่มลัทธิโบสถ์เอกภาพ หลายครั้งที่ปล่อยให้ลูกๆ อยู่ลำพัง ส่วนตัวเองบินไปสาขาแม่ที่เกาหลี พี่ชายเท็ตสึยะต้องโทรมาขอเงินไปซื้อข้าวกิน

ผมพบบันทึกของภรรยาผม ที่โน้ตไว้ว่าเงินที่ช่วยเหลือครอบครัวเท็ตสึยะ ถูกถ่ายโอนไปที่โบสถ์เอกภาพมาตลอด 9 ปี รวมๆ แล้ว หลายล้านเยน

นั่นทำให้ผมรู้ว่าน้องสะใภ้ได้เข้าไปในกลุ่มลัทธินี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

หลังจากที่น้องชายผมเสียชีวิต แม่เท็ตสึยะได้โอนเงินค่าสินไหมจากการเสียชีวิต เป็นจำนวนเงิน 50 ล้านเยน (13 ล้านบาท) ให้กับโบสถ์เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีค่าปลอบวิญญาณผู้ล่วงลับอีก เกือบ 3 ล้านเยน (8 แสนบาท) 

>> โบสถ์เอกภาพคงเป็นทางออกจากความทุกข์ทางเดียวสำหรับแม่เท็ตสึยะ

เดือนสิงหาคม ปี 1998 แม่เท็ตสึยะขายที่ดินที่ตาให้ไว้ ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์พ่อลูกก็สั่นคลอน และสองเดือนให้หลัง ตาก็จากไป

แม่เท็ตสึยะได้เป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างต่อจากตา

เดือนมีนาคม ปี 1999 แม่เท็ตสึยะขายบ้านและอาคารอื่นๆ ที่เป็นสมบัติของตา โดยโอนเงินทั้งหมดให้โบสถ์เอกภาพ

ลุงเท็ตสึยะลำบากใจมาก แต่ก็ต้องตัดใจเลิกให้เงินช่วยเหลืออีก เพราะรู้ว่าเงินที่ให้แม่เท็ตสึยะ นางจะเอาไปทุ่มให้โบสถ์เอกภาพทั้งหมด

เท่าที่ลุงเท็ตสึยะรู้ แม่เท็ตสึยะได้บริจาคให้กับโบสถ์เอกภาพไปมากกว่า 100 ล้านเยน (26 ล้านบาท)

หลังจากเท็ตสึยะจบมัธยมปลาย เขาไม่มีเงินเรียนต่อ ลุงเท็ตสึยะให้ความช่วยเหลือ แต่เท็ตสึยะตัดสินใจเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน

เท็ตสึยะสมัครเข้าเป็นทหารในกองกำลังป้องกันตนเอง ระยะเวลา 3 ปี ระหว่างนั้น เขามีเรื่องกับคนในกองทัพ เจ้าตัวถึงกับจะฆ่าตัวตายด้วยการกรอกน้ำมันเบนซินผสมเหล้า แต่แล้วเขากลับเรียกรถพยาบาลมาเอง เขาก็เลยไม่ตาย

สาวกลัทธิ ‘มุนนีส์’ ประท้วงกลางกรุงโซล โวยสื่อญี่ปุ่นโจมตีไม่เป็นธรรม หลัง ‘อาเบะ’ ถูกลอบสังหาร

สมาชิกโบสถ์แห่งความสามัคคี (Unification Church) ในเกาหลีใต้หลายพันคนออกมารวมตัวประท้วงที่กรุงโซลโดยร้องเรียน ว่าถูกสื่อญี่ปุ่นเสนอรายงานโจมตีอย่างไม่เป็นธรรม นับตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ถูกคนร้ายลอบสังหารเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

เมื่อ (18 ส.ค. 65) สมาชิกโบสถ์แห่งสามัคคีหลายพันคน รวมตัวกันในกรุงโซล เพื่อประท้วงที่สื่อญี่ปุ่นไม่เป็นกลาง และไม่ให้ความเป็นธรรมเกี่ยวกับคริสตจักร หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวว่า มารดาของผู้สังหารอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ บริจาคเงินให้กับคริสตจักรดังกล่าวมากมายจนเกิดปัญหาภายในครอบครัว

ผู้ประท้วงตะโกนเรียกร้องเป็นภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นให้หยุดการรายงานข่าวที่ไม่เป็นกลางและหยุดกลั่นแกล้งศาสนาที่พวกเขานับถือ พร้อมถือป้ายประท้วงระบุข้อความว่า “เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา” และ “หยุดการใช้ถ้อยคำเกลียดชัง”

ทั้งนี้ เท็ตสึยะ ยามากามิ ผู้ต้องสงสัยที่สังหารชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่พอใจต่อคริสตจักร โดยกล่าวหาว่าโบสถ์แห่งนี้ทำให้แม่ของเขาล้มละลาย และกล่าวโทษอาเบะที่นำเผยแพร่ข้อมูลของโบสถ์ ตามโพสต์ในโซเชียลมีเดียและข่าวต่าง ๆ

โบสถ์แห่งความสามัคคีมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลก (Family Federation for World Peace and Unification) ก่อตั้งขึ้นที่เกาหลีใต้เมื่อช่วงทศวรรษ 1950 โดยสาธุคุณ ซัน เมียงมุน (Sun Myung Moon) ซึ่งอ้างตัวว่าเป็น 'เมสสิอาห์' และกิจกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้กับโบสถ์แห่งนี้เป็นอย่างมากก็คือ 'พีธีสมรสหมู่' ระหว่างสาวกต่างเชื้อชาติ ขณะที่สมาชิกโบสถ์มักจะถูกคนนอกเรียกว่า 'พวกมุนนีส์' (The Moonies)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top