Wednesday, 21 May 2025
ชลบุรี

ชลบุรี-ปิดเทอม นักว่ายน้ำเยาวชนเกือบ 200 คน ร่วมว่ายน้ำรอบเกาะ เก็บขยะ ปลูกฝังรักษ์เต่า รักษ์ทะเล

ในช่วงปิดภาคเรียนเด็กๆ และเยาวชนนักว่ายน้ำจากสโมสรต่างๆ อาทิ สโมสรว่ายน้ำวิชั่น สโมสรว่ายน้ำราชนาวีสัตหีบ และนักว่ายน้ำเพื่อการอนุรักษ์ (Open water Swimming) ภาคประชาชน ตลอดจนผู้ปกครองและจิตอาสาเกือบ 200 คน ได้มารวมตัวกันใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ร่วมทำกิจกรรม รณรงค์สร้างความตระหนักในการว่ายน้ำรอบเกาะขาม เพื่อการอนุรักษ์ และเก็บขยะ เพื่อกระตุ้นและปลูกฝังการอนุรักษ์ระบบนิเวศวิทยาทางทะเล เต่าทะเล สัตว์น้ำทะเล และปะการัง โดยใช้ทักษะความเป็นเลิศด้านการว่ายน้ำที่ถนัดว่ายน้ำรอบเกาะขาม แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระยะทาง 3 กม. ภายใต้โครงการ “เกาะขาม รักษ์เต่า รักษ์ทะเล ลดขยะ” ณ อุทยานใต้ทะเลเกาะขามแสมสาร สัตหีบ

โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองทัพเรือ โดยพลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นาวาเอกอโศก ศรีสวัสดิ์ รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 พล.ต.สุรจิตร รวยรื่น ประธานฝ่ายกีฬาว่ายน้ำมาราธอน สมาคมว่ายน้ำแห่งประเทศไทย จ.อ.ไพฑูรย์ แสงแก้ว คณะกรรมการฝ่ายว่ายน้ำมาราธอน สมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย และผู้ช่วยผู้ฝึกสอนสมาคมกีฬาปัญจกีฬาแห่งประเทศไทย คุณอโณมา ศรัณย์ศิขริน (เมจิ อโณมา) ร่วมสมทบทุนอนุรักษ์เต่าทะเล เรือตรี มาโนช ผลยังส่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีพซี คอมเมอร์เชียล ไดฟ์วิ่ง จำกัด ร่วมสมทบทุนอนุรักษ์ เต่าทะเล นาวาเอกนิติรักข์ การดี ผู้แทนทัพเรือภาคที่ 1 ที่ปรึกษากิจกรรม นาวาตรีวสันต์ ภิรมย์โพธิ์ ผบ.ร้อย บก.ทรภ.2  ประธานฝ่ายกิจกรรมและดูแลควบคุมความปลอดภัยทางน้ำ และคณะกรรมการฯ ให้การสนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรม ในวันนี้

สำหรับกิจกรรม "เกาะขาม รักษ์เต่า รักษ์ทะเล ลดขยะ" นับเป็นช่องทางหนึ่งในการรณรงค์ให้ทุกๆ คน ได้ตระหนักและใส่ใจในการช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลของพื้นที่สัตหีบ และไม่ทิ้งขยะโดยเฉพาะขยะจำพวกพลาสติก ซึ่งเป็นอันตรายต่อเต่าทะเล และสัตว์น้ำทะเล อื่นๆ

ซึ่งการรณรงค์ดังกล่าว จะส่งผลให้ท้องทะเลของประเทศไทยสวยงาม เป็นมรดกส่งต่อสืบทอดไปถึงบุตรหลานรุ่นหลัง ต่อไปอีกด้วย 

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

ดีอี-ตำรวจไซเบอร์ จับกุมเว็บพนันออนไลน์ พบเงินหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท

พร้อมทลายแหล่งบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ที่จังหวัดชลบุรี พร้อมขยายผลข้ามแดน ควบคุมตัวคนไทย 154 รายในเมียนมา โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันที่ 27 มีนาคม 2567 นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.ฯ ปฏิบัติราชการ บช. สอท. , พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. , พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 ร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด โดย นายสุริยน ประภาสะวัต ตําแหน่งอัยการพิเศษ ฝ่ายการสอบสวน 1 , เจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมือง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ตำรวจภูธรภาค 5 และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (AIS) โดย นายศรัณย์ ปรีชา ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดย พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลงผลการจับกุม “JOINT CYBER OPERATION”  ใน 3 ปฏิบัติการ ดังนี้ 

1. ครั้งแรกเก็บพยานหลักฐานนอกประเทศ ขยายผลข้ามแดนจับกุมคนไทย 154 ราย ถูกควบคุมตัวในเมียนมา โดยได้ประสานความร่วมมือสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานเครือข่ายการพนันออนไลน์ใน จ.ท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารร่วมกับตำรวจสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้เข้าปราบปรามบ่อนการพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จ.ท่าขี้เหล็ก โดยจัดตั้งศูนย์สืบสวนสอบสวนและขยายผลการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อร่วมขยายผลเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซักถามคัดกรองปากคำบุคคล รวมทั้งการตรวจสอบพยานหลักฐานทางดิจิทัล และรายละเอียดต่าง ๆ สำหรับแนวทางการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน หลังจากได้รับโทษตามกฎหมายแล้ว จะส่งตัวกลับมาดำเนินนคดีในประเทศไทย

2. ทลายแหล่งลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ ใกล้สถานศึกษาดัง จ.ชลบุรี โดยเข้าตรวจค้นและจับกุมตัว นายหัถตชัยฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่ ต.หนองชาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า รวม 370 ชิ้น มูลค่าของกลางประมาณ 50,000 บาท พร้อมขยายผลการจับกุมถึงแหล่งที่มา จุดกระจายสินค้า และผู้ทำหน้าที่ค้าส่งหรือส่งสินค้าในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จึงขออนุมัติหมายจับและหมายค้นนายรัชชานนท์ฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี โดยเป็นผู้จำหน่ายและผู้จัดส่งบุหรี่ไฟฟ้า และน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยจะเป็นแหล่งเก็บ ซุกซ่อนและจําหน่าย บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2 จุด 

โดยจุดที่ 1 ภายในซอยบางทราย 63 หมู่ที่ 5 ต.บางทราย อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เก็บ ซุกซ่อน สถานที่แพ็คของ จากการตรวจค้นพบนายรัชชานนท์ฯ อายุ 25 ปี แสดงตนเป็น ผู้ดูแล/เจ้าของบ้าน ตรวจยึดของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 12 ชิ้น คิดเป็นมูลค่า 1,560 บาทและอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และ จุดที่ 2 ในพื้นที่ ต.แสนสุข อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานศึกษาชื่อดังของจังหวัดชลบุรี เพียง 300 เมตร ตรวจยึดของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวนกว่า 5,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท 

ทั้งนี้ ขอแจ้งเตือนผู้บริโภคและประชาชนว่า การจำหน่าย ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า การลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า เป็นความผิดตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองที่ 9/2558 เรื่อง  “ห้ามขายหรือห้ามให้บริการบารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า” มีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีโทษจำคุกไม่ เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย หรือรับไว้โดยประการใดโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร โดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคา สินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. จับกุมเครือข่ายพนันออนไลน์ slotpgthai.net และ uwin9.com พบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรวม 25 เครือข่าย ตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง มูลค่ากว่า 18 ล้านบาท พบยอดเงินหมุนเวียนเดือนละกว่า 500 ล้านบาท โดยได้ตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหารวม 7 ราย กลุ่มผู้รับ ผลประโยชน์จำนวน 1 ราย กลุ่มผู้ดูแลการเงิน 1 ราย และบัญชีม้า 5 ราย ทั้งนี้ยังตรวจสอบพบเครือข่ายพนัน อื่น ๆ รวม 25 เครือข่าย มีสมาชิกผู้เล่นกว่า 200,000 คน โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกันทาง อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” 

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณชายแดน ในการดำเนินการขยายผลจับกุมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ ซิมผี บัญชีม้า  โดยตั้งแต่ 1 ต.ค. 66 - 5 มี.ค. 67 กระทรวงดีอีดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์เกี่ยวกับพนันออนไลน์ จำนวน 25,571 รายการ  เพิ่มขึ้น 13 เท่าตัวจาก 2,059 เว็บ ในช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ในการตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถโทรปรึกษาสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

‘ชลบุรี’ เข้าตา!! จ่อถูกเปิดตัวเมืองใหม่ใน ‘มิชลิน ไกด์ไทย 2568’ ขยายฐานความอร่อย เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งภาคตะวันออก

(3 เม.ย. 67) มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย ประกาศขยายขอบเขตการจัดทำคู่มือฉบับประจำปี 2568 เข้าสู่ ‘ชลบุรี’ เมืองตากอากาศชายทะเลที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ส่งผลให้ ‘ชลบุรี’ เป็นจุดหมายล่าสุดในการเข้าดำเนินการคัดสรรและจัดอันดับร้านอาหารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักชิมและนักท่องเที่ยวออกค้นหาประสบการณ์ด้านอาหารที่แปลกใหม่และแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งนี้ คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ฉบับประจำปี 2568 มีกำหนดเผยแพร่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ด้าน เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก เปิดเผยว่า “ชลบุรีเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพซึ่งมีทั้งชายหาดที่งดงาม วัดที่เงียบสงบ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น กิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ ไปจนถึงร้านอาหารและรถเข็นขายอาหารริมทาง และสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องอาหารทะเลสดใหม่ อาหารท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงบรรยากาศการทานอาหารริมชายหาด องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ชลบุรีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชีวิตชีวา ทีมผู้ตรวจสอบของ 'มิชลิน ไกด์' รู้สึกตื่นเต้นและแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะออกสำรวจและคัดสรรร้านอาหารในพื้นที่นี้”

ชลบุรีเป็นจังหวัดริมฝั่งทะเลซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงประมาณ 80 กิโลเมตร จึงเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมที่ใกล้ที่สุดสำหรับคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการหลบหนีความวุ่นวายจากงานที่เคร่งเครียด รวมทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาไกลจากหลากหลายพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่ม นอกจากประเพณีท้องถิ่น อาหารประจำภูมิภาค และอาหารทะเลสดใหม่แล้ว ชลบุรียังเป็นสวรรค์ของคนรักชายหาดโดยมีจุดท่องเที่ยวสำคัญอย่างบางแสน พัทยา และเกาะล้าน

ด้าน ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทยว่า มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่อาหารไทยบนเวทีโลกและทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารชั้นนำระดับโลก จึงเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้น 5 ด้าน (5Fs) ได้แก่ อาหาร (Food), แฟชั่น (Fashion), ภาพยนตร์ (Film), มวยไทย (Fight) และเทศกาล (Festival) เพื่อยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในตลาดโลก

“ศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารที่โดดเด่นและหลากหลายเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์หรืออิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยือนประเทศไทย การที่ ‘มิชลิน ไกด์’ ในฐานะคู่มืออ้างอิงด้านอาหารที่ทรงอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลก เผยแพร่ความหลากหลายและความน่าสนใจของอาหารและบรรยากาศแวดล้อมด้านอาหารในประเทศไทย ถือเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยให้มีความหมายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าการขยายขอบเขตจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ไปยังจังหวัดชลบุรี จะส่งผลดีหลายด้าน...ทั้งต่อตัวจังหวัดเองและต่อประเทศ อาทิ เพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับธุรกิจร้านอาหาร, ส่งเสริมวัตถุดิบในท้องถิ่น, สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน, กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความเป็นเลิศทั้งด้านคุณภาพอาหารและการบริการ โดยชูแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Tourism เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม” คุณฐาปนีย์ สรุปปิดท้าย

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ที่: guide.michelin.com/th/th หรือติดตามข่าวสารล่าสุดของ ‘มิชลิน ไกด์ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ ภูเก็ตและพังงา 2565’ ได้ทางเฟซบุ๊ค: facebook.com/MichelinGuideThailand และ facebook.com/MichelinGuideAsia

ท่าเรือสำราญพัทยา ‘แหลมบาลีฮาย’ พร้อมเป็นต้นทาง เรือสำราญระดับโลก เพื่อเปิดโอกาสใหม่ ในการท่องเที่ยวอ่าวไทย เปิดรับ นทท.กระเป๋าหนัก

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การพัฒนาท่าเรือสำราญพัทยา แหลมบาลีฮาย เพื่อใช้เป็นต้นทางเปิดรับ เรือสำราญระดับโลก โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้เอาการแผนการพัฒนาการเดินทาง ทางน้ำ ที่น่าสนใจ และเป็นอีกโอกาสในการสร้างรายได้ในการรับนักท่องเที่ยวรายได้สูงเข้าประเทศ คือการก่อสร้างท่าเรือสำราญ ในเขตอ่าวไทยตอนบน 

โดยโครงการได้มีการศึกษาและเปรียบเทียบในหลายที่ แล้วมาลงตัวที่ แหลมบาลีฮาย พัทยา 
เพื่อสร้างเป็นท่าเรือต้นทาง (Home Port) และท่าเรือจอดพัก (Port of Call) ของเรือสำราญระดับโลก ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในไทย ซึ่งมีเรือได้เริ่มเข้ามาทำเส้นทางเดินเรือประจำ บ้างแล้ว

ซึ่งปัจจุบัน ใช้อาคารท่าเรือสำราญของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งก็ไม่ตอบรับกับความต้องการของสายเรือสำราญ และนักท่องเที่ยว ซึ่งควรจะเป็นท่าเรือที่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

เรามาทำความเข้าใจรูปแบบ การใช้งานของท่าเรือสำราญกันก่อน
1. ท่าเรือต้นทาง (Home Port) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของสายเรือนั้นๆ ในการออกเดินทางสู่ปลายทาง หรือไปเที่ยวในจุดต่างๆ และกลับมาส่งผู้โดยสารที่เดิม
ซึ่งท่าเรือเหล่านี้ จะมีกิจกรรมเช่น 
- การพักคอยการเดินทางของผู้โดยสาร
- การเปลี่ยนกะของเจ้าหน้าที่ในเรือ
- การเติมหรือเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่จะไปให้บริการบนเรือ
ตัวอย่างเช่น ท่าเรือสิงคโปร์ และท่าเรือแหลมฉบัง 

2. ท่าเรือจอดพัก (Port of Call) ซึ่งเป็นการจอดแวะพัก เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปเดินท่องเที่ยวตามพื้นที่ต่างๆ และเปลี่ยนอิริยาบถ จากการนั่งเรือ
ซึ่งท่าเรือเหล่านี้ จะมีกิจกรรมเช่น
- การจัดทัวร์ระยะสั้นรับนักท่องเที่ยว
- รับนักท่องเที่ยว ของ ร้านอาหาร และบาร์ท้องถิ่น
โดยแบ่งท่าเรือเป็น 2 กลุ่มคือ 
- มีท่าเทียบเรือ (ลงจากเรือขึ้นบกได้โดยตรง)
- ท่าทอดสมอระยะไกล (ต้องนั่งเรือเล็กเข้าฝั่งอีกที) ซึ่งในกรณีนี้ ผู้โดยสารจมบางส่วนจะไม่ลงไปเพราะเสียเวลา และกลับขึ้นเรือยาก
ตัวอย่างเช่น สมุย, พัทยา, ภูเก็ต และฟูก๊วก (เวียดนาม)

ซึ่งท่าเรือพัทยา จะถูกออกแบบให้เป็นผสม (Hybrid) เป็นทั้ง Home Port และ Port of Call เพื่อให้พัทยาได้ประโยชน์สูงสุด 

โดยจากที่ปรึกษา ได้สรุปพื้นที่เป็นบริเวณแหลมบาลีฮาย เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี มีความเหมาะสมเนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้เคียงมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และหลากหลาย ดึงดูดให้มีผู้โดยสารมาใช้ท่าเรือสำราญ 

ซึ่งมีการออกแบบรองรับ ท่าเรือทั้ง 2 แบบ แบ่งเป็น
- ท่าเรือต้นทาง (Home Port) รองรับเรือขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 1,500 คน 
- ท่าเรือแวะพัก (Port of call) สำหรับรองรับเรือขนส่งผู้โดยสาร 3,500-4,000 คน

จากการศึกษาคาดการณ์จำนวนเที่ยวเรือ
ในปี 2570 ประมาณ 60 เที่ยวต่อปี และเพิ่มเป็น 100 เที่ยวในอีก 10 ปี (ปี 2580) 
โดยคาดการณ์สัดส่วนรายได้จากการดำเนินงานท่าเทียบเรือ 73% (3,730 ล้านบาท ) ได้แก่ ค่าธรรมเนียมจอดเรือ ค่าธรรมเนียมผ่านท่า
รายได้จากการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ 27% (1,390 ล้านบาท) ได้แก่ ค่าเช่าพื้นที่ ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าที่จอดเรือเฟอร์รี และสปีดโบ๊ต

รูปแบบการก่อสร้าง
เป็นท่าเรือใหม่ห่างจากชายฝั่งลงไปในทะเลประมาณ 1 กม. เพื่อลดการเวนคืน และยังสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ ที่ความลึกร่องน้ำประมาณ 12-14 เมตร 
รองรับเรือสำราญขนาดระวางบรรทุก 236,000 ตันกรอส ได้พร้อมกัน 2 ลำ ความยาวท่าเทียบเรือรวม 420 เมตร 

ส่วนอาคารผู้โดยสาร รองรับได้ 3,500-4,000 คน/เที่ยว 
สิ่งอำนวยความสะดวก
- โถงพักคอย 
- จุดตรวจความปลอดภัย 
- จุดเช็กอินรับบัตรโดยสาร 60 ช่อง 
- จุดตรวจคนเข้าเมือง 26 ช่อง 
- จุดฝากสัมภาระ 
- อาคารและลานจอด รองรับรถยนต์ได้ 132 คัน และรถบัส 82 คัน

มูลค่าการลงทุน
เบื้องต้นประมาณการค่าลงทุนรวม 7,412 ล้านบาท แบ่งเป็น 
1. ค่าลงทุน 5,934 ล้านบาท 
- ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานนอกชายฝั่ง 4,315 ล้านบาท 
- ท่าเทียบเรือ อาคารผู้โดยสาร 2,881 ล้านบาท 
- สะพานเชื่อมท่าเรือ 675 ล้านบาท 
- ลานจอดรถ 567 ล้านบาท 
- ท่าเรือโดยสาร และเรือเร็ว 192 ล้านบาท
- ค่าอุปกรณ์ 400 ล้านบาท 
- ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 608 ล้านบาท 
- ถนนยกระดับ 1611 ล้านบาท 

2.ค่าดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) 1,478 ล้านบาท

รูปแบบการลงทุน
เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) 
- ภาครัฐ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเทียบเรือ และทางเข้า มูลค่า 5,534.56 ล้านบาท (66%)
- เอกชนอาจ ลงทุนในส่วนของอาคารผู้โดยสาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มูลค่า 1,877.66 ล้านบาท (34%) เครื่องมือและอุปกรณ์และบริหาร 30 ปี
ซึ่งจากการศึกษา มีอัตราผลตอบแทน 20% ระยะเวลาคืนทุนเท่ากับ 10 ปี

ซึ่งจากแผนก็น่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อีกมหาศาล

ชลบุรี-กฟผ. จับมือ เมืองพัทยา และ ทช. วางปะการังเทียมจากลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้า ฟื้นฟูระบบนิเวศน์และทรัพยากรทางทะเล

เมื่อวันที่ (24 พ.ค.67) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับ เมืองพัทยา และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จัดกิจกรรมวางฐานลงเกาะปะการังจากลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้า ประจำปี 2567 ภายใต้โครงการบ้านปลาปะการังเทียม จากลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้า ของ กฟผ. โดยมี นายเกียรติศักดิ์ศรีวงษ์ชัย รองปลัดเมืองพัทยา เป็นประธาน พร้อมด้วย น.ส.สุมิตรา กาญจนมิตร ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคกลาง กฟผ. นายไพทูล แพนชัยภูมิ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และกำหนดมาตรการจัดการทรัพยากรทางทะเล ทช. รวมทั้งส่วนราชการจังหวัดชลบุรี นักดำน้ำ กฟผ. และผู้ปฏิบัติงาน ทช. เข้าร่วมกิจกรรม ณ ท่าเทียบเรือกู้ภัยแหลมบาลีฮาย อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

นายไพทูล แพนชัยภูมิ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และกำหนดมาตรการจัดการทรัพยากรทางทะเล ทช. กล่าวว่า ทช. และ กฟผ. ได้ร่วมกันฟื้นฟูท้องทะเลไทยทั่วประเทศให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เกิดระบบนิเวศแก่สิ่งมีชีวิตบริเวณแนวปะการังในโครงการบ้านปลา กฟผ. โดย กฟผ. ได้ให้การสนับสนุนลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้าที่ครบอายุการใช้งานมาทำเป็นฐานลงเกาะปะการังและนำไปวางในท้องทะเล เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลบริเวณเกาะล้านให้อุดมสมบูรณ์ สร้างแหล่งที่อยู่อาศัยและอนุบาลสัตว์ทะเล รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลเชิงอนุรักษ์

น.ส.สุมิตรา กาญจนมิตร ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคกลาง กฟผ. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กฟผ. ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร นำปะการังเทียมจากลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้าไปวางไว้ใต้ท้องทะเลไทยตั้งแต่ปี 2554 ทั้งพื้นที่จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมทั้งสิ้นกว่า 5,000 ชุด สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ กฟผ. ได้ส่งมอบฐานลงเกาะปะการังจากลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้าให้แก่ ทช. และเมืองพัทยา รวมทั้งสิ้น 200 ชุด ซึ่งลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้าเป็นหนึ่งอุปกรณ์สำคัญของการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า ในแต่ละปีจะมีลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้าที่ครบอายุการใช้งานเป็นจำนวนมาก กฟผ. ได้คิดค้นหาวิธีนำอุปกรณ์นี้มาใช้ประโยชน์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยแนวทางหนึ่งคือ นำมาทำเป็นฐานลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล  สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มีการหมุนเวียนของทรัพยากรหรือวัสดุกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

'บอร์ด กทท.' จี้งานก่อสร้างและพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 พร้อมเร่งปรับยุทธศาสตร์และ Master ของการท่าเรือ/ท่าเรือแหลมฉบังใหม่ ให้เป็นไปตามเป้าสอดรับนโยบายของรัฐบาล มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) โดยเร็ว

นายชยธรรม์ พรหมศร ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้นำคณะกรรมการและที่ปรึกษาบอร์ด พร้อมด้วยนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการและผู้บริหาร กทท. ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) และลงพื้นที่ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อรับทราบปัญหาและติดตามความคืบหน้า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 งานก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการถมทะเล เพื่อเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาในการดำเนินงาน ให้ โครงการสามารถแล้วเสร็จตรงเวลา เป็นไปตามกรอบระยะเวลาของสัญญาที่ได้ทำไว้ พร้อมทั้งได้เดินทางไปตรวจการดำเนินงาน รับทราบปัญหาเพื่อแก้ไขให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการให้บริการขนส่งตู้สินค้าเชื่อมต่อทางเรือเข้ากับทางรถไฟของ Single Rail Transfer Operator : SRTO ซึ่งหากการดำเนินการมีประสิทธิภาพ ในการให้บริการจะช่วยให้การขนส่งสินค้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้น เป็นการลด ปริมาณการขนส่งทางถนนลง ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการ บรรลุวัตถุประสงค์ในการ ลดต้นทุนการขนส่ง logistics ในระบบการขนส่งสินค้าของประเทศโดยรวม ด้วยการบูรณาการเพิ่มประสิทธิภาพ การขนส่งทางน้ำกับทางรางที่มีต้นทุนถูกกว่า ให้ไร้รอยต่อแบบ Seamless Multimodal Transport ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยเร็ว

นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของ บริษัท ฮัทชิสัน เทอร์มินัล จำกัด ณ ท่าเทียบเรือชุด D รวมถึงรับทราบการนำระบบรถบรรทุกไร้คนขับ autonomous truck ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ในการปฏิบัติการ เพื่อยกระดับศักยภาพความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย Green Transport ตลอดถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การอำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้รับบริการของท่าเรือดังกล่าวในปัจจุบันและมีแผนที่จะขยายการให้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับการลงพื้นที่ติดตาม งานก่อสร้างในส่วนของงานถมทะเล ในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 3 ผู้แทน กลุ่มผู้รับเหมางาน ในกลุ่มกิจการร่วมค้า CNNC ได้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินงาน ที่ปัจจุบันได้มีการเร่งรัดเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยได้เพิ่มแรงงาน เครื่องจักร และเรือขุด Grab Dredger เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานทำให้ ปัจจุบัน มีขีดความ สามารถในการขุดดินได้วันละ 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานก่อสร้างถมทะเลที่แล้วเสร็จในพื้นที่ F1 ของโครงการฯ ให้แก่ กทท. ได้ทันภายในเดือน กรกฎาคมนี้

นายชยธรรม์ฯ กล่าวว่า  แม้ว่าตัวแทนผู้รับเหมาจะรายงานว่า ได้ดำเนินการเร่งรัดงานขุดและถมทะเลด้วยการเพิ่ม เครื่องจักรและแรงงานแล้ว แต่จาก รายงานของผู้ควบคุมงานพบว่า ปัจจุบันผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้างในแต่ละสัปดาห์ ยังมีความล่าช้าจากแผนฯ อยู่ จึงได้กำชับให้ผู้บริหาร กทท. ใส่ใจติดตามคุณภาพการก่อสร้าง ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุในสัญญาจ้าง ควบคู่ไปกับการเร่งรัดแก้ปัญหาในรายละเอียดกับกลุ่มผู้รับเหมากิจการร่วมค้าฯ เพื่อให้งานแล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งเป้าหมายสำคัญต่อไปคือ งานก่อสร้างถมทะเลต้องแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบพื้นที่ F และพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 3 ทั้งหมดให้กทท. ได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่ระบุในสัญญา เพื่อให้ กทท.สามารถส่งมอบพื้นที่ถมทะเลที่แล้วเสร็จดังกล่าว ให้กับผู้รับสัมปทานได้ตามสัญญาสัมปทานที่ กทท. ได้เซ็นไว้กับผู้รับสัมปทาน เพื่อทำการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ได้ แล้วเสร็จตามแผนฯ ต่อไป

นอกจากนี้ นายชยธรรม์ ยังได้กล่าวว่า การพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการขนส่งหลากหลายรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขนส่งทางน้ำ ที่มีความสำคัญและถือเป็น gateway ในการขนส่ง นำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ เป็นส่วนช่วยสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นรากฐานในการสร้างให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการขนส่ง Logistics Hub ของภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาล อีกด้วย

“ที่สำคัญในการลงพื้นที่และประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ครั้งนี้ได้พบว่า แผนยุทธศาสตร์แผนแม่บทการพัฒนาและแผนปฏิบัติการของการท่าเรือฯ รวมถึงแผนแม่บทการพัฒนาของท่าเรือแหลมฉบัง จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยกำหนดโจทก์ให้กับผู้บริหารการท่าเรือฯ ไปเร่งรัดดำเนินการร่วมกับพันธมิตรท่าเรือชั้นนำ ในต่างประเทศของ กทท. เพื่อให้สามารถกำหนดเป็นแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการที่ทันสมัย สอดรับกับเป้าหมาย นโยบาย และยุทธศาสตร์ของรัฐบาล นำเสนอบอร์ดคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นชอบนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” นายชยธรรม์ กล่าว

ชลบุรี-ตำรวจน้ำสัตหีบ เข้าแจ้งความ เรือของกลาง 3 ลำ คดีน้ำมันเถื่อนหาย

วันนี้ 12 มิ.ย.67 ที่ สภ.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร.ต.ท.สันติชล หุมอาจ รองสารวัตรสอบสวน สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งความจาก จนท.ตำรวจน้ำสัตหีบ ว่า เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนจำนวน 3 ลำ ของกลางในคดี ที่ถูกควบคุมให้ทอดสมออยู่ในอ่าวสัตหีบ ได้หนีหายไป เมื่อกลางดึกของวันที่ 11 มิ.ย.67 และคาดว่าน่าจะมุ่งหน้าไปทาง จ.ตราด และเข้าไปในเขตทะเลประเทศเพื่อนบ้านแล้ว

จากการสอบถามทราบว่า เมื่อวันที่ (12 มิ.ย.67) เวลาประมาณ 06.00 น. พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน. (ตร.น้ำสัตหีบ) ได้รับแจ้งว่า เรือของกลาง จำนวน 3 ลำ ประกอบด้วย 1. เรือ เจ.พี. มีของกลาง น้ำมันเถื่อนประมาณ 80,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ 7 คน  2. เรือซีฮอต มีน้ำมันเถื่อนประมาณ 150,000 ลิตร ลูกเรือ 6 คน และ 3. เรือดาวรุ่ง มีน้ำมันเถื่อนประมาณ 100,000 ลิตร พร้อมลูกเรือ จำนวน 5 คน ได้หายไปจากจุดทิ้งสมอ สืบเนื่องจาก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย.67 มีพายุเข้าในพื้นที่ อำเภอสัตหีบ มีกระแสลมแรง ทำให้สะพานตำรวจน้ำ ไม่สามารถรองรับนำหนักเรือของกลาง ที่จอดอยู่บริเวณหัวสะพานทั้งหมดได้ จึงให้เรือของกลางฯ ทั้ง 3 ลำ ออกไปลอยลำเพื่อทำการทิ้งสมอ ในระยะปลอดภัย ห่างจากสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ ประมาณ 100 เมตร

และในเวลา 08.00 น. ของวันที่ 12 มิ.ย.67 พ.ต.ท.กอบชัย โตอ่อน สว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน. พร้อมด้วย ข้าราชการตำรวจ ในสังกัด ส.รน.3 กก.5 บก.รน.(ตำรวจน้ำสัตหีบ) ได้นำเรือตรวจการณ์ 815 และ เรือตรวจการณ์ 632 ออกทำการค้นหา เพื่อติดตามเรือของกลาง จำนวน 3 ลำ กลับมา 

เมื่อเวลา 11.00 น. เรือตรวจการณ์ 815 และ 632 ยังคงทำการค้นหา ปัจจุบันยังไม่พบเรือ ของกลาง จำนวน 3 ลำ แต่อย่างใด โดยเรือทั้งหมด ถูกตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (กก.2 บก.ปอศ.) จับกุมเมื่อวันที่ 17 มี.ค.67 ที่ผ่านมา      

โดยเรือน้ำมันเถื่อนของกลางทั้งหมด จอดรวมกันในวันที่เกิดเหตุและได้เกิดพายุลมแรง จึงให้นำเรือทั้งหมดออกไปจอดทอดสมอห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ตำรวจที่เข้าเวรยังมองเห็นเรือดังกล่าวเปิดไฟ เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 11 มิ.ย.67 กระทั่งช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. เรือทั้งหมดได้ดับไฟ จนกระทั่งช่วงเช้าจึงพบว่าเรือหายไปแล้ว จึงมสแจ้งความร้องทุกข์เพื่อเป็นหลักฐานต่อไป

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งคลี่คลายคดีอย่างเร็วที่สุด โดยให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกค้นหา ทั้งทางเรือและทางอากาศ เนื่องจากของกลางหายเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะอยู่ในความควบคุมของตำรวจ โดย พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. ได้ตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงให้เร็วที่สุด และหาผู้กระทำผิดมารับผิดชอบต่อไป

สำหรับเรือทั้ง 3 ลำ ที่หายไปในครั้งนี้ เป็นเครือข่ายของ 'โจ้ น้ำมันเถื่อน' หรือ 'โจ้ ปัตตานี' ซึ่งเป็นขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในภาคใต้ ที่หลบหนีหมายจับคดีน้ำมันเถื่อนหลายคดีอยู่ในต่างประเทศ

ชลบุรี- 'บิ๊กเต่า' ลั่นฟัน 157 หากพบเจ้าหน้ามีส่วนเกี่ยวข้อง เรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ

ความคืบหน้ากรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) รายงานว่าเรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

ล่าสุดวันนี้ (13 มิถุนายน) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ และเจ้าหน้าตำรวจสอบสวนกลาง ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง เรือบรรทุกน้ำมันหาย 3 ลำ ณ ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก่อนเข้าประชุมเร่งรัดหาข้อเท็จจริง

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า การดำเนินการติดตามเรือที่หาย ได้มีการตั้งคณะกรรมการในการดำเนินคดีออกเป็น 3 ส่วน คือ เจ้าาหน้าที่ตำรวจน้ำที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และในส่วนของลูกเรือ โดยได้ตั้งกองอำนวยการสืบสวนหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุเรือบรรทุกน้ำหาย และจะเร่งนำเรือของกลางกลับมาโดยเร็ว ทั้งนี้เชื่อว่าเรือที่หายทั้ง 3 ลำ ยังคงอยู่ในอ่าวไทย และยังไปไม่ถึงประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเรือทั้ง 3 ลำมีน้ำมันอยู่ด้วย ทำให้เรือสามารถวิ่งได้ประมาณ 7-8 นอต และจะต้องใช้ระยะเวลาในการวิ่งเรือจากพื้นที่เกิดเหตุไปประเทศเพื่อนบ้านที่มีระยะทาง 240 ไมล์ทะเล โดยต้องใช้ระยะ 15 ชั่วโมง

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าทำไหมเรือบรรทุกของกลางที่จอดด้วยกัน 5 ลำ จึงหายไปเพียง 3 ลำนั้น ด้วย เรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำที่หายนั้น จากสืบข้อมูลเชิงลึก เรือทั้ง 3 ลำ มีเจ้าของและเป็นเรือของผู้มีอิทธิพลเรื่องน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ปัตตานี และเหตุที่คาดการว่าเรือทั้ง 3 ลำจะไปประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยเจ้าของเรือคาดว่าอีก 2 ลำ เป็นเรือไม่มีเจ้าของ แต่ถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกัน สำหรับลูกเรือที่จับได้ทั้งหมด 28 คน และหายไปกับเรือ 3 ลำ 18 คน ทั้งนี้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสั่งลงมาให้ดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง หากพบเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจและปล่อยเรือออกไปก็จะดำเนินคดี เพราะไม่ทำหน้าที่เท่าที่ควร มีอะไรกับเป้าหมายหรือไม่ รับรองว่าการเข้ามาทำหน้าที่ของตนตรงไปตรงมา หากพบเจ้าหน้าที่นายไหนมีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมดำเนินคดี 157 ทันที และเชื่อว่าบนเรือไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในเรือของกลาง อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชา ให้ช่วยติดตามหาเรือทั้ง 3 ลำแล้ว พร้อมเตรียมออกหมายจับลูกเรือที่หนีไป

ด้านพ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยว่า เรือ 3 ลำได้ยึดเป็นของกลางในคดี ทั้งเป็นคดีของพนักสอบสวนกลางและกรมสรรพสามิต ซึ่งเรือแต่ละลำมีทะเบียนเรือไม่ตรงกับข้อมูลเรือ บางลำไม่มีทะเบียนเรือ และจากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่าเรือ 3 ลำ ที่หายไปเป็นเจ้าของเดียวกัน ส่วนการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 5 ลำ นั้น ด้วยมีการขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลในฝั่งทะเล ออกทะเลอันดามัน เพื่อจะเอาน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักร จึงมีการจับกุม ส่วนการจัดเก็บของกลางตามระเบียบ สตช. ระบุให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดูแล และหากของกลางเป็นประเภทเรือ ของกลาง จะต้องให้ตำรวจน้ำในพื้นที่ดูแล

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ขนน้ำจืด แจกจ่ายให้ปชช. เพื่อแก้วิกฤตภัยแล้ง ที่เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

(15 มิ.ย.67) ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 1 จัดเรือหลวงราวี ให้การสนับสนุนส่งน้ำจืด จำนวน 200,000 ลิตรให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้ง

เนื่องจากฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จนทำให้ประชาชนไม่มีน้ำใช้ และฝนที่ตกลงมา ก็ไม่ได้ไปตกในพื้นที่ เกาะล้าน 

โดยมี นางสาวสิริกร มหามิตร หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเกาะล้าน เมืองพัทยา ข้าราชการ และประชาชน อำนวยความสะดวกในพื้นที่

‘เศรษฐา’ ลงพื้นที่ ‘วอคกิ้งสตรีท พัทยา’ ทักทาย ผู้ประกอบการ เน้น!! ให้ดูแลด้าน ‘ความปลอดภัย-ทรัพย์สิน’ ของนักท่องเที่ยว

เมื่อวานนี้ (22 มิ.ย.67) เวลา 20.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งรถโดยสารประจำทาง รอบเมืองพัทยา (รถสองแถว หมายเลข 224) เดินทางมายัง ถนนวอล์คกิ้งพัทยาใต้ หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อเยี่ยมชมเมือง และ บรรยากาศ ย่านสถาบันเทิงระดับโลก พร้อมกับ ทักทายนักท่องเที่ยว โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี , นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 และ หัวหน้าราชการต่างๆ ให้การต้อนรับ

สำหรับการเดินทาง ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาส่วนตัว เพื่อเยี่ยมชมบรรยากาศ สถานบันเทิง และ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองพัทยา ร่วมถึง ดูระบบ การดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเที่ยวเมืองพัทยา  ระหว่างลงพื้นที่เยี่ยมชม มีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และ ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ชาวเกาหลี ต่างโบกมือทักทาย และ มีกลุ่มผู้ประกอบนำดอกไม้มาให้กำลังใจท่านนายกเศรษฐา อีกด้วย

ด้านนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า  ซึ่งในวันนี้ นายกเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้มาพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อตรวจสอบเรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยว ตั้งแต่เช้า โดยไปลงพื้นที่เกาะล้าน สนามกีฬาฟุตบอล 20,000 ที่นั่ง จากนั้นก็ได้ร่วมงาน Pattaya International Pride Festival 2024 และได้ลงพื้นที่ดูการท่องเที่ยวภาคกลางคืน บริเวณถนนวอคกิ้งสตรีท พัทยา นายกเศรษฐาก็ได้ทักทาย ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงได้ดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวหลังจากการดื่มภายในสถานบันเทิง หลังจากที่เมืองพัทยาได้ขยายเวลาปิดเป็น 04.00 น. ทางเมืองพัทยาก็เข้มงวดในเรื่องการเมาแล้วขับ โดยมีการให้นั่งห้องสำหรับพักผ่อน ก่อนที่จะเดินทางกลับ ก็ดูภาพรวมการท่องเที่ยวและการเติม เฟสติวัลระดับใหญ่เข้ามาจัดในพื้นที่เมืองพัทยา และสิ่งที่นายกเศรษฐาให้ความสำคัญ คือการดูแลความปลอดภัยและทรัพย์ของนักท่องเที่ยว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top