Sunday, 25 May 2025
ข่าวบันเทิง

‘แจ็คสัน หวัง’ พาคุณพ่อ-คุณแม่กินหมูกระทะ แฟนคลับเห็นแล้วชื่นใจ อยากให้อยู่ไทยนานๆ

(21 ก.ค. 66) มาพร้อมกับรอยยิ้มให้เหล่าอากาเซ่ได้ฟินกันอีกแล้ว สำหรับศิลปินดังระดับโลก อย่าง ‘แจ็คสัน หวัง’ หนึ่งในสมาชิกวง ‘GOT7’ ที่ล่าสุดมาประเทศไทย พร้อมกับคุณพ่อและคุณแม่

เรียกได้ว่าทำเหล่าอากาเซ่ปลื้มใจอย่างมาก เพราะนอกจากจะมาทำงานแล้ว แจ็คสันยังเลือกประเทศไทยเป็นประเทศที่มาพักผ่อนกับพ่อแม่ด้วย เรียกได้ว่าประเทศไทยเป็นสถานที่ที่อบอุ่น และฮีลใจสำหรับแจ็คสันแน่นอน

ล่าสุดมีผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งโพสต์คลิปสุดน่ารัก แจ็คสันพาพ่อแม่ไปกินหมูกระทะร้านดัง แถวสยามสแควร์ พร้อมกับระบุข้อความว่า

“อยู่🇹🇭นานๆ ได้มั้ย เห็นพี่แล้วมันชื่นใจ ยิ่งเห็นป๊าม๊าอยู่ด้วย ยิ่งมีความสุข”

หลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า…

“พักผ่อน กินให้อิ่ม อยู่กับครอบครัวให้มีความสุขนะคะเฮีย🥰🥰 อยากให้อยู่นานๆจังเลย”
“ขอให้มีความสุขมากๆ”
“พักผ่อนให้มีความสุขนะคะ” เป็นต้น

ทีมงานเบื้องหลังเล่าถึงความเป็นมืออาชีพของ ‘อั้ม พัชราภา’ เผย รับผิดชอบหน้าที่-ตรงต่อเวลา สมฉายา ‘ซุปตาร์ตัวแม่’

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 66 อีกหนึ่งซุปตาร์ตัวแม่มากความสามารถที่โลดแล่นในวงการมานาน สำหรับซุปตาร์ตัวแม่อย่าง ‘อั้ม พัชราภา’ อย่างที่ทราบกันว่าเธอเป็นมืออาชีพในการทำงาน ใครที่ได้ร่วมกับเธอต่างพูดไปในทางเดียวกันว่าเธอนั้นมีความรับผิดชอบในหน้าที่แบบสุด ๆ

ล่าสุดเเฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ Aum Patchrapa Fanclub’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความของทีมงานเบื้องหลังที่ชื่นชม ‘อั้ม พัชราภา’ พร้อมเผยถึงความเป็นมืออาชีพในการทำงาน โพสต์ดังกล่าวระบุข้อความว่า…

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับพี่อั้ม พัชราภา คือ วินัยของการเป็นนักแสดง ความรับผิดชอบในหน้าที่ความชัดเจน ความพร้อม และตรงต่อเวลา

เขาจะมาถึงกองก่อนเวลานัดเสมอๆ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำการบ้าน ไม่บกพร่องไม่ให้ใครว่าได้เลย ชัดเจน คือต้องทำอะไร อย่างไร เมื่อไร ความพร้อมก่อนเข้าฉาก เปลี่ยนชุดเลย พร้อมเข้าฉากตลอดเวลา ไม่ชอบให้ใครรอ และไม่ชอบรอใคร เลยต้องพร้อมตลอดเวลา

ที่สำคัญ ฉันจะไม่สวยออกสื่อเด็ดขาดตลอดระยะเวลาหลายเดือน ก็ได้เรียนรู้สไตล์การทำงานร่วมกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ เข้านอกออกในพื้นที่ส่วนตัวได้ เราก็สบายใจ งานราบรื่น ผ่านไปได้ด้วยดีตลอดการถ่ายทำ

เปิดชีวิตแต่งงาน ‘แองจี้ เฮสติ้ง’ กับสามีเศรษฐีบ่อน้ำมันชาวคูเวต หลังอำลาวงการบันเทิงไปสวมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2

(5 ก.ค. 66) อดีตนักแสดงสาว แองจี้ เฮสติ้ง ที่วันนี้จะมาเปิดชีวิตหลังอำลาวงการไปแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี พร้อมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2 แถมเล่านาทีชีวิต รกพันคอลูก ต้องคลอดก่อนกำหนด ผ่านทางรายการคุยแซ่บ show ทางช่องวัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว?
แองจี้ : ประมาณ 8 ปีแล้ว คือเราแต่งงานไป เราตั้งใจแล้วว่าเราลาวงการ แล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับมาออกรายการด้วย ไปอยู่ที่นู่นด้วย โควิดด้วย คือไม่พร้อม

ก่อนแต่งคบมานานเท่าไหร่?
แองจี้ : กว่าจะได้แต่ง กว่าจะให้เขารู้ตัวว่าเราเป็นโซลเมทใช้เวลานานมาก 10 ปี บวกอีก 8 ปี เป็น 18 ปี

ย้อนไปตอนนั้นพี่ทำยังไง ให้เขารู้ว่ายูคือโซลเมทของฉันนะ ขอฉันแต่งงานได้แล้ว?
แองจี้ : ตอนนั้นคบได้ 9 ปีแล้ว ก็บอกเขาถึงเวลาแล้วนะ ยูควรจะตัดสินใจเพราะว่าในตอนนั้น เรา 35 แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน จะเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย หรือว่าเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนไปเลยไม่ต้องแต่งงานก็ได้ เลยบอกสามีว่าฉันให้เวลาอีกปีหนึ่งนะ ถ้าไม่ขอฉันแต่ง ฉันจะตัดขาด ตั้งใจที่จะทำงานต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เราก็มั่นใจว่าเขาต้องขอเราแน่ๆ

แล้วทำยังไงอยู่ๆ เขามาขอเรา?
แองจี้ : ตอนเขามาขอเรา เราคิดเลยว่าเขาต้องจัดฉากโรแมนติกนู่น นี่ นั่น แต่ตอนเขาขอแต่งงานเขาไม่ได้จัดฉากอะไรเลย เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเขามาขอ เหมือนเขาจะหลอกเราไปถ่ายรูป เขาเป็นคนชอบถ่ายรูป เขาพาไปถ่ายที่แบบเหม็นๆ ที่คูเวต เขาบอกยูมาถ่ายรูปหน่อย รอนานแล้ว ยูจะผูกรองเท้าอะไรนักหนา แล้วเขาก็ดึงแหวนออกมาจากรองเท้า แล้วหน้าเราก็แบบ โอ้โห…

ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว MTV และละครบูมมาก อะไรที่ทำให้พี่ยุติวงการบันเทิง?
แองจี้ : ตอนที่แต่งงานกับเขาจี้ยังไม่ได้ย้ายนะ ยังถ่ายละครอยู่ ยังรับงานอยู่ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี เขาบอกว่ายูแต่งงานนะ ยูเป็นภรรยาของฉันนะ ทำไมยูยังไม่ย้าย ทำไมยังถ่ายละครอยู่ เราก็ลืมไป ไม่ได้คิดว่าแต่งงานเสร็จเราต้องย้าย เราคิดว่าแต่งงานก็คือแต่งงาน

มันเป็นกฎของครอบครัวคนคูเวตหรือเปล่าต้องย้าย?
แองจี้ : คือเราแต่งงาน เราต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม จี้ลืมไป ไม่ได้คิดว่าเราแต่งงาน เราต้องย้าย เพราะเราอยู่แบบนี้มา10 ปี ลืมไปเลย

พอละครปิดกล้องก็ไป?
แองจี้ : ก็กลับไปเลย เขาแต่งงานกับเราเนี่ย เขาขอร้องให้เราย้ายไปอยู่กับเขา มันก็ต้องตัดสินใจย้ายไปอยู่ ก็ทำใจเราชอบการแสดงมาก พอตัดสินใจเราต้องเด็ดขาด

บางคนก็บอกว่าเราโชคดีจังเลย สามีมีฐานะ หนูตกถังข้าวสาร ตอนนั้นตัวเราเองที่รักกันมา 10 ปีกว่าจะได้แต่งงาน เรารู้สึกยังไง?
แองจี้ : ตอนที่ย้ายไปอยู่ที่คูเวต คิดเหมือนกันว่านี่คือชีวิตเราเหรอ อยู่บ้านใหญ่โต ตื่นมาสามีก็ไปทำงาน แล้วเราก็เดินแบบทำตัวไม่ถูกจริงๆ มันไม่ใช่เราไง เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก มันชินกับลูทีนที่เราต้องตื่นไปถ่ายละครแต่เช้าแล้วกลับบ้าน ล้างหน้าแล้วกลับไปนอน เช้ามาก็ไปทำงานเหมือนเดิม คือมันเปลี่ยนไปเยอะเลย เราไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองพอไปอยู่ประเทศที่ไม่เหมือนบ้านเรา ไปอยู่ประเทศที่มีแต่ทะเลทราย ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ แม่

จริงไหมที่สามีคุณคือเศรษฐีบ่อน้ำมัน?
แองจี้ : ทำงานน้ำมัน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน

ไปอยู่วันแรกเจ้าหญิงเลย?
แองจี้ : ลงมาก็มีคนดูแล ที่บ้านเขาจะเรียกเรามาดาม จี้มีพนักงานประมาณ 14-15 คน ที่บ้านอยู่กันมีแองจี้ สามี พ่อสามี ทั้งหมด 3 คน

แล้วมีพนักงาน 14 คน?
แองจี้ : ก็มีกุ๊ก มีคนละชั้นกัน บ้าน 4 ชั้นครึ่ง

อาทิตย์หนึ่งหรือเป็นเดือนกว่าจะปรับตัวได้?
แองจี้ : ก็นาน เดินไปเดินมา ตายแล้วสามีจะให้เราทำผมทุกวันเลยเหรอ ทำเล็บทุกวันเลยเหรอ มันไม่ใช่เราแล้ว เราต้องหาอะไรทำ แต่เราก็ไม่รู้ไง ภาษาเราก็ไม่ได้ อะไรที่ถนัดก็คือความสวยความงาม ก็เลยหาธุรกิจที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้วทำ นั่นคือนำเข้าแบรนด์จากเกาหลีมาขายที่คูเวต และเป็นเจ้าแรก ตอนนั้นไม่มีตลาด มันยังใหม่ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขายังไม่รู้เลยว่าเกาหลีคืออะไร

ตอนแรกยากไหม?
แองจี้ : ยาก แต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะจี้มีพาสเนอร์เป็นอินฟูที่ดังมากอยู่แล้ว เขาช่วยสื่อสารภาษาให้กับฟอลโลเวอร์ว่ามันเป็นของเกาหลี ราคาก็ได้ ราคาก็ดีเทียบกับลัคชูรีแบรนด์

แล้วสามีที่เขาคาดหวังให้เราทำเล็บทุกวัน ทำผมทุกวัน?
แองจี้ : ก็อธิบาย สามีบอกเธอไม่อยากเป็นมาดามเหรอ เธอแปลกมากเลยนะคนอื่นเขาอยากเป็นมาดาม ไม่ต้องทำอะไร แต่เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก

แล้วอย่างนี้ขัดใจสามีไหม?
แองจี้ : เขาคงงงๆ จริงๆ ที่นู่นเขาไม่อยากให้ผู้หญิงทำงาน เราก็อธิบายแล้วเขาก็เข้าใจแหละว่าเราอยู่อย่างนั้นไม่ได้เราต้องทำงาน เพราะถ้าอยู่อย่างนั้นเราเครียดนะ ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย ไม่มีสังคม จะอยู่บ้านกับสามี เราก็อยากออกไปทำงาน มีรายได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี แต่ตอนนั้นยังไม่มีลูก

แล้วอะไรที่ตัดสินใจว่าคุณสามีเราต้องมีลูก?
แองจี้ : เราก็นอนกระดิกเท้ากัน นี่พ่อ แม่ ฉันมาพูดแล้วนะว่าเมื่อไหร่จะมีลูกสักที อยู่ด้วยกันมา 2-3 ปีแล้วนะแล้ว ทำไมยังไม่มีทายาทสักคน ยูก็แฮปปี้ ไอก็แฮปปี้ ทำไมต้องมีลูกด้วย เขาพูดมาว่าเนี่ย เขาขอร้อง

ฝั่งครอบครัวเขาอยากได้ เราก็เปลี่ยนใจตามเขา แต่การขอร้องไม่ธรรมดา เขามาเป็นแพ็คเกจโรงพยาบาล?
แองจี้ : ใช่ เขานัดหมอให้เรียบร้อยเลย แล้วเขาก็พาแองจี้ไปด้วย ให้ไปตรวจร่างกาย ไปตรวจเลือดทุกอย่าง

ฝากไข่มีไหม?
แองจี้ : ใช่ เขาเร่งไง เขาบอกว่าไม่ต้องธรรมชาติแล้ว จี้ทำ IVF 9 รอบ ใน 2 ปี ถามว่าเจ็บไหม ไม่นะ แต่มันเป็นการเดินทางที่เหงา โดดเดี่ยว ฮอร์โมนเราปรับขึ้นๆ ลงๆ บางวันเราร้องไห้ไม่อยากทำ มันทำให้เราปั่นป่วน คือหมอที่เราทำ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นผู้หญิงคุณต้องมีลูกแล้ว หมดหนทางแล้ว มันทำให้เราคิดว่าตายแล้ว เราแก่เหรอ มันทำให้เราเศร้านะ หมอจะพูดเลยว่าสุดทางแล้วนะ แก่แล้วนะ รีบๆ แล้วจี้ก็กลับมาทำหมอที่เมืองไทยด้วย

พอติดก็พาน้องไปคลอดที่อังกฤษ?
แองจี้ : จี้รู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่า แล้วเราเป็นลูกครึ่งอังกฤษ อยากไปคลอดโรงพยาบาลที่เราคุ้นเคย แล้วอยากพาครอบครัวเราไปอยู่กับเราด้วย จี้ไม่อยากให้พ่อ แม่จี้มาอยู่ที่คูเวต

แล้วฝั่งสามีไปอังกฤษไหม?
แองจี้ : เขาไม่ได้ไปค่ะ เพราะว่าเขาทำงานหนัก เขามีงานที่ต้องทำไปไม่ได้ ดีแล้วสำหรับจี้ จี้อยากอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่

จริงไหมที่ท้องได้ 7 เดือน คนนี้ต้องรีบออก?
แองจี้ : ใช่ ถ้าเราเดินทาง มันจะมีระยะเวลาที่เราเดินทางบนเครื่องบินได้ ถ้าเลย 7 เดือนเขาจะไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่จี้ก็เลยมาแล้ว เลยบอกเขาว่าท้อง 5 เดือน

พอไปน้องคลอดตอน 7 เดือนมันมีภาวะยังไง?
แองจี้ : มันจะมีกำหนดผ่า เพราะถ้าเราเลย 40 แล้วเขาจะไม่ให้เราคลอดธรรมชาติ เขาให้เรากำหนดวันเลยว่าจะผ่าวันไหน ประมาณ 35 วีค ตกเลือด ตกใจเหมือนกัน เลยบอกแม่เลือดออกมาเยอะมากเลย ทำยังไงดี เราตกใจ ช็อก คุณแม่บอกว่าเราต้องรีบไปหาหมอ เขาบอกว่าลูกไปโดนสายสะดือ แล้วมันทับสะดือแล้วมันก็ขาด เลยรีบผ่าด่วน

ตอนนั้นหมอได้บอกไหม มีภาวะอันตรายอะไร?
แองจี้ : เราเสียเลือดเยอะ เราอาจจะช็อก ตัวเด็กเนี่ยก็ขาดออกซิเจน เพราะหัวใจเขาก็เริ่มช้าลง เขาเลยรีบผ่าออก

พอทราบข่าวเราจะคลอด คุณสามีว่ายังไงบ้าง?
แองจี้ : ตอนนั้นจี้ไม่ได้พูด เพราะจี้อยู่ในห้อง ให้คุณแม่กับน้องสาวคุยกับสามี เขาก็คงตกใจและตื่นเต้นแหละ แต่พูดไม่ออก

บินตามมาเลยไหม?
แองจี้ : เขาก็บินตามมาภายใน 2 วัน เพราะที่คูเวตถ้าเราจะบิน เราต้องทำวีซ่าก่อน ไม่ใช่ว่าจะไปขอแล้วได้เลย ต้องทำออนไลน์

พอมีน้องแล้วอยู่ที่อังกฤษแป๊บนึงแล้วค่อยบินกลับไปที่คูเวต คุณพ่อสามีว่ายังไงบ้าง?
แองจี้ : หลานคนแรกที่เป็นผู้ชาย แล้วเป็นทายาทของทางครอบครัวคนแรกด้วย

คนนี้มาด้วยวิทยาศาสตร์ แต่คนที่ 2 ธรรมชาติล้วนๆ?
แองจี้ : ใช่ ช่วงโควิดมั้ง เขามาเอง เพราะว่าผู้หญิงไม่ควรจะเครียด อารมณ์ดี นอนหลับเพียงพอ กินดีอยู่ดี ร่างกายมันจะสมบูรณ์

แต่พอมีลูกแล้วอาการซึมเศร้าหนักกว่า?
แองจี้ : เพราะว่าเรากลัวไปหมด กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า เราเลี้ยงดีหรือเปล่า เราให้นมได้หรือเปล่า มีนมหรือเปล่า มันหลายๆ อย่าง มันก็เครียด หนักก็คือทั้งบ้านเป็นโควิดหมดเลย 14 คน รวมสามีด้วย ช่วงสามีเป็น เป็นโควิดสายพันธุ์แรกที่แรง เขาโดนไปอยู่โรงพยาบาลเลยเป็นหลายอาทิตย์

ตอนนั้นก็หนักเหมือนกัน มีภาวะยังไงบ้าง?
แองจี้ : มันชา ไม่มีความรู้สึก เหมือนเรารักเขานะ แต่เหมือนเราไม่เต็มที่ เรานอนน้อยด้วย แล้วอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราชาไปหมดเลย ไม่มีความรู้สึก

6 เดือน เอาครูมาสอนลูกแล้ว?
แองจี้ : ใช่ สอนการสื่อสาร การดูรูปภาพ การฟัง แล้วก็ให้ไปเรียนว่ายน้ำด้วย จี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เป็นซุปเปอร์มัมและไม่คิดที่จะเป็นซุปเปอร์มัม และไม่คิดว่าแม่บ้านหรือแด๊ดดี๊ต้องมาสอนลูก ก็เลยเอาครูมาสอน เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ แล้วการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนช่วยนะ เขาพูดเก่งมาก

ทำไมถึงกลัวลูกคนที่ 2 เป็นผู้หญิง?
แองจี้ : จี้รู้สึกว่าที่คูเวตยังไม่พร้อมสำหรับเพศหญิง คือจะไม่เท่าเทียมกัน จี้รู้สึกว่าผู้หญิงน่าจะเลี้ยงยากกว่าผู้ชาย

คำว่าไม่เท่าเทียมคืออะไร หมายถึงสิทธิเหรอ?
แองจี้ : ถูกต้องค่ะ ผู้ชายจะได้มากกว่าผู้หญิง มันยังไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งพอหมอบอกว่าเป็นผู้ชายก็โล่งอก อย่าลืมนะที่คูเวตผู้ชายสามารถมีเมียได้ 4 คน แต่สามีมีคนเดียว แต่เขาก็จะขู่เหมือนกัน มีได้นะ 4 คน เราก็ขู่กลับ ขออนุญาตก่อนไหม

อยากมีลูกต่ออีกคนไหม?
แองจี้ : ไม่ค่ะ พอแล้ว แต่จี้ฝากไข่ สามารถที่จะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สามีบอกว่า 2 คนโอเคแล้ว พอแล้ว

‘ใหม่ ดาวิกา’ อวดลุคเดรสสีหวาน สวยสะพรั่ง เผย น้ำหนักขึ้นมา 5 โลแล้ว ดูเปล่งปลั่งขึ้นสุดๆ!!

จากที่ก่อนหน้านี้นางเอกสาว ‘ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่’ ได้ทำการรีดหุ่นให้ผอมบาง เพื่อให้สมบทบาทของตัวละครที่เธอได้รับเล่นไว้ จนถูกโซเชียลวิจารณ์ว่าคลั่งผอมเกินไป ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้เผยภาพในลุคสดใส สวยเปล่งปลั่งเหมือนเคย ที่มาพร้อมแคปชั่นน่ารักๆ “💓”

นอกจากนี้ เจ้าตัวยังได้คอมเมนต์บอกไว้อีกด้วยว่า “นน.ขึ้นมา 5 โล!!! 😎” ที่ทำเอาแฟนๆ เข้ามาส่งหัวใจให้แบบรัวๆ

‘บอย ปกรณ์’ เผยสาเหตุบวชเงียบ ยัน!! ไม่ได้เตรียมเบียด พร้อมบอก อยากบวชมานานแล้วแต่ยังไม่มีจังหวะเฉยๆ

แฟนคลับร่วมอนุโมทนาบุญใหญ่กับพระเอกหนุ่ม ‘บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์’ ที่เข้าอุปสมบททดแทนบุญคุณพ่อแม่ไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้หลายคนสงสัยว่า จู่ๆ ทำไมเจ้าตัวถึงได้บวชเงียบๆ เรียบง่าย หรือมีสาเหตุอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจจนต้องไปพึ่งผ้าเหลืองหรือเปล่า

ล่าสุดวันนี้ (25 ส.ค. 66) ได้เจอกับพระเอกหนุ่มที่สึกออกมาได้สักพักใหญ่ ในงานประกาศรางวัล ‘ContentAsia Awards 2023’ เพื่อคัดเลือกผลงานคุณภาพมาตรฐานระดับเอเชียเผยแพร่สู่ตลาดโลก ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทลแบงค็อก (แกรนด์ฮอลล์)

ไปบวชมาเงียบมากๆ?

บอย : “ความจริงแล้วต้องบอกพี่ๆ สื่อว่าเราเกรงใจพี่ๆ ด้วยครับ ที่ไม่ได้ชวนไปเพราะเกรงใจ ผมชวนคนน้อยมากชวนเฉพาะคนใกล้ๆ ตัว ไม่กล้าเชิญใครเลย อันนี้พูดจริงๆ เราเกรงใจทุกๆ คนเลย ไม่ใช่แค่เฉพาะพี่ๆ สื่อ แต่คนที่รู้จักก็จะเชิญเฉพาะคนที่ใกล้ตัวจริงๆ เพราะงานมันเช้าด้วย และเราเป็นคนไม่ค่อยกล้าบอกเรื่องอะไรพวกนี้ เกรงใจ ก็ดีครับ ได้ไปบวชอยู่ 3 อาทิตย์ ก็ใช้คำว่าดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ”

ความตั้งใจคือยังไง?

บอย : “ความตั้งใจสำหรับผมเอง เราเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนไทย ครั้งหนึ่งเราก็ต้องบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ก็เรียกว่าเป็นจุดประสงค์หลักเลยที่ตั้งใจบวช ซึ่งผมตั้งใจมากสำหรับผมและครอบครัว แต่ความจริงก็คือต้องบวชมานานแล้ว แต่ยังหาจังหวะไม่ได้ ก็เพิ่งจะมีจังหวะนี้ที่ละครจบ จริงๆ ต้องบวชตั้งแต่ช่วงโควิดแล้ว เพราะตอนนั้นรอเรื่องสายลับลิปกลอสปิดนี่แหละ

ผมก็บอกกับทางช่องแล้วว่าหลังจากเรื่องนี้ผมขออนุญาตไปบวชก่อน แล้วก็มาเจอเรื่องโควิด ละครหยุดถ่าย มันก็ดีเลย์ไปอีก 1-2 ปี ก็เลยมาเป็นช่วงนี้ที่จังหวะพอดี ซึ่งก็ยากเหมือนกัน เพราะการเคลียร์งานนู่นนี่ ช่วง 3 อาทิตย์ที่หายไปมันไม่ยากหรอก แต่หลังจากที่ต้องรอผมยาวก็ยากตรงนี้ เพราะมันมีทั้งงานละครด้วย งานถ่ายโฆษณาอะไรก็ตามที่มันต้องใช้ทรงผม ก็ต้องวางแผนให้ดีครับ”

บอย ปกรณ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า “ความจริงผมรู้อยู่แล้วว่าอยากจะบวชให้แม่ เป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว แต่หาจังหวะไม่ได้เลย เวลาถามเพื่อน เห็นหมาก (ปริญ) บวช เห็นเกรท (วรินทร) บวช ก็ยังถามว่าเคลียร์ยังไงเนี่ย เขาบอกก็เคลียร์ยากกว่าจะลงตัว จนถึงจุดที่เราพยายามจะเคลียร์ ความจริงผมบอกแม่ตั้งแต่ช่วงถ่ายเรื่องลิปกลอสจบประมาณสัก 2-3 ปีที่แล้ว

แม่ก็บอกว่า เออดีๆ บวชสักที เพราะตอนนั้นภัทรบวชไปแล้ว แต่หน่องยัง แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวกับที่หน่องบวชนะเพราะผมเองก็อยากบวชอยู่แล้ว ก็พยายามหาช่วงที่สามารถทำได้ ก็มาได้จังหวะตรงนี้ แม่เขาก็ดีใจอยู่แล้วครับ ก็เรียกว่าอิ่มบุญอิ่มใจ”

แม่บอกยังไงบ้าง หลังจากได้เห็นผ้าเหลืองของเรา?

บอย : “ผมก็สัมผัสได้ว่าแม่เขาดีใจแหละ มันคงเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจ ปลื้มปลิ่ม ก็ไม่ได้มีอะไรมาก อาจจะแค่โมเมนต์ที่ผมขอขมาแม่ บอกว่าถ้าผมเคยทำอะไรให้แม่ไม่สบายใจ แม่ก็บอกว่าเหมือนกัน คุณแม่ก็มีน้ำตาไหล แต่ผมเข้มแข็ง(ยิ้ม) ผมไม่เหมือนหน่องกับภัทรที่ไม่เข้มแข็ง(หัวเราะ) จริงๆ ก็ตั้งใจทำให้แม่กับคุณพ่อนั่นแหละ รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของลูกชายครับ”

บอกว่าดีกว่าที่คิด?

บอย : “ใช่ๆ คือถ้าพูดตรงๆ ก่อนที่จะมาบวชเราก็เป็นคนที่มีคำถามในหัวตลอด ว่าปกติแล้วทำไมคนเราที่มีชีวิตอยู่ทางโลกถึงมาบวช แล้วไปอยู่ทางธรรมนานๆ เป็นปี ที่ไม่ใช่มาบวชเหมือนผมช่วง 1 เดือน หรือคนที่เป็นพระวันๆ หนึ่งทำอะไรบ้าง นอกจากสวดมนต์ แต่พอได้มาอยู่ตรงนี้ก็ได้มาเจอพระพี่เลี้ยงที่เขาเป็นสายเคร่งมากๆ ดีมากๆ เลย

ผมก็ได้ซึมซับอะไรจากหลวงพี่ท่านนี้เยอะเลย ได้เห็นเลยว่าวันนึงพระมีอะไรทำเยอะเลยนะ มากกว่าแค่ทำวัตร สวดมนต์เช้า-เย็น มีงานเอกสารที่ผมเห็นว่าหลวงพี่ยุ่งมาก ต้องทำโน่นทำนี่หลายอย่าง มีเอกสารทางวัดที่ต้องไปติดต่อโน่นนี่ งานทางวัดมีเยอะมาก”

“และอีกมุมหนึ่งก็ได้มาตอบคำถามของตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงละทางโลกแล้วมาอยู่ทางธรรม ก็ได้คำตอบว่าคนเรามีความชอบที่ไม่เหมือนกัน อย่างเราอาจจะชื่นชอบศิลปินเกาหลี เพราะผมนั่งสนทนากับหลวงพี่เลยครับ ว่าทำไมหลวงพี่มาเป็นพระ สำหรับเราไอดอลคือวงเกาหลี แต่สำหรับหลวงพี่ไอดอลคือพระพุทธเจ้าครับ ท่านชอบตั้งแต่เด็กๆ ท่านศึกษานู่นนี่ ท่านบอกว่าตอนที่ท่านไปอินเดียครั้งแรก ได้ไปยืนอยู่ที่ประสูตรพระพุทธเจ้าครั้งแรก ท่านปลื้มปลิ่มน้ำตาไหล เราก็เลยคิดได้ว่าคนเรามีความชอบ มีความมุ่งมั่นแต่ละทางไม่เหมือนกัน

ผมโชคดีที่ได้เจอพระพี่เลี้ยงที่ดีมากๆ ท่านให้ความรู้เราหลายอย่าง ทำให้ผมรู้สึกที่ผมบอกว่าดีกว่าที่คิด อย่างตอนแรกสิ่งที่ผมคิดว่าผมบวชทดแทนบุญคุณให้คุณพ่อคุณแม่ ผมก็ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น นั่งปฏิบัติธรรม สงบนิ่ง ครบ21 วันผมก็สึก

แต่ปรากฎว่าพอผมได้มาเป็นพระจริงๆ ผมได้มาเรียนรู้หลายอย่าง ได้มาทำในสิ่งที่ผมไม่เคยใกล้เลย ผมได้เห็นประโยชน์ของการสวดมนต์ จากที่ตอนแรกคิดว่าคนเราทำไมต้องสวดมนต์ สวดมนต์ทำไม(หัวเราะ) ผมไม่ได้ลบหลู่นะแต่มันเกิดคำถามว่าทำไมคนเราถึงชอบสวดมนต์

แต่พอมาเป็นพระถึงรู้ว่าสวดมนต์มันดีอย่างนี้นี่เอง ทำให้เราจิตใจจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับบทสวด ทำให้จิตใจโล่ง พอสวดเสร็จทำให้เราจิตใจสบายด้วย ยิ่งเราทำงานตรงนี้ งานเราเป็นงานที่ค่อนข้างมีสิ่งเร้าต่างๆ มากมาย เราก็ได้ไปอยู่ในอีกทางหนึ่งที่สุดโต่งคือเงียบสงบไปเลย ก็ดี”

หลังจากสึกมาที่เปลี่ยนเลยคืออะไร?

บอย :  “ที่ผมรู้สึกเลยคือผมใกล้วัดมากขึ้นแน่นอน ตั้งแต่ที่ผมสึกมา ทุกๆ วันพระผมก็ไปที่วัด เมื่อเช้าผมก็ไป คือพระพี่เลี้ยงของผมทุกๆ วันท่านปกติจะบิณฑบาตรอยู่ตรงประตูน้ำ แต่ทุกวันพระท่านจะต้องเดินไปบิณฑบาตรอีกที่หนึ่งแถวๆเพลินจิต ซึ่งตอนที่ผมเป็นพระผมเคยตามหลวงพี่ไป โหไกล ผมก็เลยตั้งใจว่าหลังจากนี้ทุกๆ วันพระ ถ้าไม่ใช่ผมหรือหน่องหรือคนที่บ้าน เพราะตอนหน่องบวชก็เป็นหลวงพี่รูปนี้ที่ดูแลเหมือนกัน ก็จะมาขับรถให้หลวงพี่ไปที่เพลินจิต ไปบิณฑบาตรตรงนู้น ท่านจะได้ไม่ต้องเดินไกล เหนื่อยมาก”

มีความรู้สึกว่าอยากอยู่ต่อไหม ตอนที่จะสึก?

บอย : “คือผมพูดด้วยความสัจจริง ผมอาจจะยังไม่มีความคิดถึงขั้นว่าอยากจะต่ออีกสักหน่อย เพราะว่าตอนนั้นผมรู้แค่ว่าผมมีภารกิจที่จะต้องทำต่อ คือมันมีเวลาที่ผมล็อกมาพอดีแล้ว สึกเสร็จต้องทำเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าผมรู้สึกดีกับการบวชครั้งนี้มากๆ ก็คือวันที่ใกล้สึก 2-3 วันผมรู้สึกใจหาย ว่าเดี๋ยวอีก 3 วันเราจะไม่ได้อยู่ในสถานภาพแบบนี้แล้วแต่โดยรวมก็ดีครับ เพราะฉะนั้นแล้วใครที่กำลังลังเลหรือหาเวลาที่จะบวชอยู่ ผมแนะนำเลยครับ บวชเลย ดีครับ”

บวชใกล้ๆ กับเจมส์ บังเอิญหรือตั้งใจ?

บอย : “บังเอิญครับ แต่ตอนที่ผมเป็นพระและไปร่วมงานอุปสมบทเจมส์ อันนั้นผมตั้งใจ คือพอคุยกับเจมส์ว่าเดี๋ยวผมจะบวช เจมส์ก็บอกว่าจะบวชเหมือนกัน ก็บอกว่าดีเลย งั้นเดี๋ยววันที่มึงเป็นพระ กูจะไปทั้งที่เป็นพระนี่แหละ (ยิ้ม) ไปขลิบผมให้ เป็นสิริมงคล (ยิ้ม) คุยกันตั้งแต่ก่อนบวชครับ”

พอบวชแล้ว คนถามเยอะจะเบียดเลยหรือเปล่า?

บอย : “ไม่ได้บวชเพื่อเบียดครับ บวชเพราะอยากบวชเฉยๆ ความจริงก็มีคนถามเยอะแหละ บวชแล้วเบียดเลยหรือเปล่าเนี่ย ก็คือบวชเฉยๆ ครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน (ยิ้ม) คือถ้าเรื่องนั้น (แต่งงาน) ผมว่ามันต้องเป็นความพร้อมของทุกๆฝ่าย ลองถามน้องดูครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าพูดถึงตัวผม ถ้าเรื่องหน้าที่การงาน ครอบครัว วัย มันก็เกินมานานแล้วแหละที่เหลือผมว่ามันเป็นเรื่องของการสั่งสมเวลาเกี่ยวกับการคบกัน การเรียนรู้กัน และความพร้อมทั้งหมดของทุกๆ ฝ่ายครับ”

ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ๆ?

บอย : “ก็ไม่สามารถบอกได้ (ยิ้ม) ซึ่งถ้าน้องพร้อม แล้วเราพร้อมเลยไหม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องคุยกัน คือก็อย่างที่บอกว่าเรื่องอายุ เรื่องอะไรต่างๆ เอาง่ายๆ ถ้าผมไม่ได้มาทำงานเป็นดารา ผมคงแต่งงานมีลูกไปนานแล้ว ตั้งแต่เรียนจบเลย เพราะโดยส่วนตัวผมมีความคิดอยากมีครอบครัวมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อยากมีลูก และส่วนใหญ่เพื่อนๆ ที่ทำงานเภสัชฯ เขาก็แต่งงาน ทยอยแต่ง มีลูกกันไปหมดแล้ว แต่เพื่อนๆ รอบตัวอย่างคนในวงการ เกรท วรินทร หนักกว่าผมอีก ยังไม่เปิดตัว หมายถึงยังไม่มีไง ก็เลยยังไม่เปิดตัว (ยิ้ม)”

อ้าวเขามีแฟนแล้วเหรอ?

บอย : “คือเขายังไม่มีให้เปิดตัว ผมใช้คำว่าผมไม่รู้ดีกว่า ไม่รู้ว่าเขามีหรือไม่มี แต่ที่รู้ๆ คือผมไม่เห็นเขาเปิดตัวครับ(ยิ้ม) เพราะฉะนั้นผมก็ขอความกรุณาพี่ๆ ทุกคนอย่าไปบอกคุณเกรทว่าผมบอกว่าเขามี แต่เขาไม่เปิดตัว อ้าว! ไลฟ์สดเหรอ คุณเกรท ผมบอกพี่ๆ ทุกคนว่าผมไม่รู้ว่าคุณมีหรือไม่มี คุณก็เลยไม่ได้เปิดตัว คือหลังๆ ก็ไม่ค่อยคุยกันเรื่องนี้ ผมว่ามันคงกลัวผมโป๊ะแหละ คงกลัวผมหลุดมั้ง เปล่าหรอก ไม่ๆ ที่ผมรู้คือตอนนี้ไม่มี เอาที่ผมรู้แล้วกัน คือก็คุยกันว่าเป็นยังไงบ้าง แต่เขาก็บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีครับ”

วันเกิดที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?

บอย : “วันเกิดที่ผ่านมาก็ปกติเหมือนทุกปี สำหรับผมแล้ววันเกิดก็ไม่ได้มีอะไรมาก ผมต้องการแค่ครอบครัว หรือพอมีแฟนก็คือเฟย์ ก็วันนึงกินข้าวกับที่บ้าน อีกวันนึงก็กินข้าวกับแฟนแค่นั้นครับ เฟย์ก็ให้เสื้อแจ็คเก็ตครับ น่ารักเชียว(ยิ้ม) เขาก็ไปสรรหามาเอง เขาบอกว่าซื้อให้ผมยากมาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหมือนกับเขาไม่รู้ว่าผมอยากได้อะไร แต่พอได้มาก็ชอบ ถูกใจ (ยิ้ม) แต่ยังไม่ได้ใส่เลย แต่ลองแล้วพอดี (ยิ้ม) ยังไม่มีโอกาสได้ใส่ครับ ดีครับ ก็เป็นวันเกิดที่แฮปปี้ครับ”

ตอนนี้งานเยอะขนาดไหน สึกออกมา?

บอย : “พอสึกมาก็ยุ่งๆ อยู่นะครับ แต่ละครยังไม่มี เพราะคงรอเรื่องให้ผมยาวด้วย แต่สตูดิโอผมก็ใกล้เปิดแล้ว คือที่ผมเคยเปิดเป็นสตูดิโอคุณแม่ เป็นบ้านสำหรับถ่ายทำละคร และตอนนี้เปิดอีกสตูฯ อีกแห่งหนึ่งใกล้ๆ กัน เป็นสตูฯสำหรับคนที่จะมาใช้ถ่ายภาพนิ่ง อยู่ใกล้ๆ กันครับ เร็วๆ นี้จะเปิดใช้บริการแล้วครับ (ยิ้ม)”

‘ใยไหม ชินารดี’ โอดอยากลบภาพจำดาราเด็ก ลั่น!! “หนูโตแล้วค่ะ” พร้อมบอก อยากลองรับบทฆาตกร-โรคจิต เผื่อคนจะสลัดภาพจำได้บ้าง

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 เข้าวงการตั้งแต่ 3 ขวบ ขึ้นแท่นดาราเด็กสุดฮอต และหลายคนจำชื่อและหน้าตากันได้ดี สำหรับ ‘น้องใยไหม ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ’ นักแสดงสาวน้อยมากความสามารถ แถมฉายแววสวยตั้งแต่เด็กๆ จนตอนนี้กลายเป็นสาวเต็มตัว อายุ 18 ปีแล้ว

แม้ว่าเจ้าตัวจะกลายมาเป็นนางเอกเต็มตัวแล้ว แต่หลายคนยังติดภาพจำวัยเด็ก และยังมีคนทักอยู่บ่อยๆ ว่า “น้องใยไหมโตแล้วเหรอเนี่ย”

ล่าสุด ‘ใยไหม’ มาร่วมงาน ‘First Preview ละคร Across the Sky ลัดฟ้าล่าฝัน’ ในฐานะนักแสดงของเรื่อง ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเธออยากให้คนจำบทบาทใหม่ๆ ในชีวิตนักแสดงของเธอบ้าง 

“ตอนนี้อายุ 18 ปีแล้วค่ะ (ยิ้ม) ล่าสุดตอนนี้เรียนอยู่ปี 1 ที่ มศว. คณะอุตสาหกรรม เอกการแสดงค่ะ” น้องใยไหม กล่าว

>> ได้เป็นเฟรชชี่แล้ว?
“จริงๆ ค่อนข้างตื่นเต้นค่ะ เพราะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ และสังคมใหม่ๆ”

>> ตั้งใจเรียนตรงสายเลยใช่ไหม?
“จริงๆ ถ้าตรงสายของหนูตั้งแต่เด็กก็คงจะเป็นนวัตกรรม ค่ะ แต่หนูเคยเล่นละครเวทีตั้งแต่เด็ก ก็รู้สึกว่าเราชอบแนวนี้ ก็เลยอยากลองศึกษาเพิ่มเติม ก็เลยเลือกเข้าศิลปกรรม เพราะว่าศิลปกรรมกับนวัตฯ จะคนละแบบ”

>> ชีวิตตอนเป็นนักแสดงเด็ก กับชีวิตการเป็นนักแสดงวัยรุ่นแตกต่างกันไหม?
“แตกต่างนะคะ เพราะตอนเด็กๆ การตัดสินใจในหลายๆ เรื่องจะไม่ค่อยซับซ้อนเท่าตอนโตเท่าไหร่ แต่พอโตมาและได้รับบทใหม่ๆ ที่โตขึ้น มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ซับซ้อน คดเคี้ยวมากขึ้น”

>> คนก็ทักตลอด?
“ใช่ค่ะ ทุกคนก็จะบอกว่าน้องใยไหมโตแล้วเหรอ (ยิ้ม) จริงๆ มันก็ผ่านมา 15 ปีแล้ว (หัวเราะ)”

>> คนเข้ามาถามเยอะมั้ยกับบทบาทใหม่ๆ ที่เราได้รับ?
“มีค่ะ แต่ส่วนใหญ่เข้ามาคอมเมนต์ในไอจีหรือเฟซบุ๊กเยอะว่าอายุ 18 แล้วเหรอ โตเร็วจัง”

>> ดีใจมั้ยที่หน้าเรายังบล็อกเดิม ไม่เปลี่ยน?
“(หัวเราะ) ดีใจค่ะ เพราะรู้สึกว่าใบหน้าเราก็เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้ทุกคนจำได้”

>> พออายุ 18 แล้วอยากทำอะไรที่แตกต่างจากตอนเป็นเด็กไหม?
“ก็ต้องเรียกว่าแสดงได้ทุกบทแหละค่ะ แต่ในอนาคตก็คงจะมีคาแร็กเตอร์บางอย่างที่ชาเลนจ์ตัวเรามากขึ้น”

>> อยากให้คนมองภาพเราเปลี่ยนไปจากตอนเด็กไหม?
“อยากนะคะ เพราะคนส่วนใหญ่จะติดภาพที่ไหมตอน 3 ขวบ แต่อยากจะบอกว่าโตแล้วนะ (หัวเราะ) ก็อยากให้ทุกคนจำเราในบทบาทใหม่ๆ บ้าง”

>> งานที่เข้ามาเป็นยังไงบ้าง โตขึ้นมั้ย หรือยังมีแนวเด็กๆ อยู่?
“เหมือนตอนนี้เรายังเป็นวัยรุ่น บทต่างๆ ที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็เป็น 17-20 ก็เลยอาจจะยังไม่ได้ดูโตมากขนาดนั้น แต่จริงๆ หนูอยากลองเล่นบทโรคจิต ฆาตกร อยากเล่นแนวนั้นเลย เพราะน่าจะทำให้ทุกคนพอจะสลับภาพจำไปได้บ้าง (หัวเราะ) เพราะที่ผ่านมาจะมีบทดรามาที่คนจะจำได้เยอะๆ คนจะจำว่าน้องใยไหมเป็นนักแสดงที่ร้องไห้ได้เก่งๆ ก็เลยรู้สึกว่ามีสกิลอื่นๆ ที่เราทำได้ดีเช่นกัน ก็อยากให้ทุกคนได้เห็นค่ะ”

>> แสดงว่าภาพจำก็มีผลกับงาน?
“มีค่ะ เพราะส่วนใหญ่เวลาเล่นละครก็จะได้บทดรามาเยอะมากๆ ก็เลยอยากจะได้ลองเล่นบทอื่นๆ ด้วย”

>> ได้เอาสิ่งที่เรียนมาใช้ไหม?
“จริงๆ ที่เรียนที่มหาวิทยาลัยก็คือเพิ่งเปิดเทอมค่ะ ก็เลยยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก แต่หวังว่าในอนาคตถ้าได้เรียนในชั้นปีที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็คงได้เอาสกิลอะไรบางอย่างมาใช้จริงบ้าง”

>> กลัวการทำงานจะกระทบกับผลการเรียนไหม?
“จริงๆ ไม่กลัวนะคะ เพราะที่ผ่านมาเราก็สามารถจัดการเวลาระหว่างเรียนกับทำงานได้ และหวังว่าอนาคตก็คงจะไม่มีอะไรที่ทำให้สองอย่างนี้กระทบกันค่ะ แต่สุดท้ายแล้วไหมก็จะเลือกเรื่องเรียนก่อนอันดับแรกค่ะ”

>> ผลงานตอนนี้?
“ที่เพิ่งถ่ายจบไปก็ Across the Sky และอีกเรื่องนึงก็คือ Shadow เงาล่าตาย ก็เลยยังไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอีเวนต์หรือเป็นงานโปรโมตมากกว่าค่ะ”

>> กลัวในอนาคตมั้ยว่าเราเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องจบช้ากว่าเพื่อน?
“จริงๆ ที่บ้านไหมไม่ซีเรียสเรื่องการเรียน คือไม่ได้ซีเรียสว่าถ้าวันนึงเรางานเยอะขึ้นมา จะต้องจบพร้อมเพื่อน เพราะที่บ้านไหมไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น เขาเข้าใจในการทำงานของเรา แต่ความตั้งใจของไหมก็คือให้จบพร้อมเพื่อน และจริงๆ หนูเป็นคนค่อนข้างซีเรียสเรื่องผลการเรียน ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น แต่เราก็อยากจะให้มันดีทั้งคู่ ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องการทำงาน”

>> ถ้ารับงานก็จะเลือกไม่ให้กระทบกับเวลาเรียนใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ”

‘ยิปซี คีรติ’ ควงคู่ ‘นิโคลัส ฮอว์’ เข้าสู่ประตูวิวาห์ บรรยากาศอบอุ่น เต็มไปด้วยรอยยิ้มของครอบครัว

นับเป็นวันที่น่ายินดีสุดๆ สำหรับสาว ‘ยิปซี คีรติ’ ที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 66 ได้ควงคู่แฟนหนุ่มชาวต่างชาติ ‘นิโคลัส ฮอว์’ เข้าสู่ประตูวิวาห์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังคบหาดูใจกันมานานกว่า 4 ปี โดยมีครอบครัวของทั้งคู่ และคนสนิท มาร่วมเป็นสักขีพยาน

โดยบรรยากาศงานแต่งของ ‘ยิปซี’ และ ‘นิโคลัส’ เป็นไปอย่างเรียบง่าย อบอุ่น อบอวลไปด้วยความสุขและรอยยิ้มจากทั้งคู่บ่าว-สาว และแขกที่มาร่วมงาน ขณะที่น้องสาวอย่าง ‘ยิปโซ อริย์กันตา’ ก็โพสต์ IG Story ภาพบรรยากาศในงาน พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขของคุณพ่อและคุณแม่

เพจดังอ้าง!! เป็นเพื่อน ‘แสตมป์’ เผย!! นักร้องดังเล่าไม่หมด ชี้!! จุดเริ่มต้นทั้งหมดของ ‘การโกหก’ คือ ‘การนอกใจ’

(19 ม.ค. 68) จากกรณีเรื่องร้อนรับต้นปี หลัง“แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” ศิลปินชื่อดัง ประกาศบนเวทีคอนเสิร์ต Wednesday Song ถึงเหตุผลที่ห่างหายจากวงการไปว่า เพราะดำเนินการฟ้องร้องบุคคลที่เข้ามาบุกรุกภรรยาเขาหลังเวที และสร้างความเกลียดชังให้เกิดความเข้าใจผิด จนกลายเป็นคดีความ และมีพ่อทหารยศนายพลมาเกี่ยวข้องด้วย จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดีย มีการโยนหลักฐานออกมาจากฝั่งคู่กรณีโยงถึงคดีชู้สาว

โดยล่าสุด เพจเฟชบุ๊ก ‘โตแล้วจะไปญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ได้’ ได้เปิดเผยข้อมูลร่ายยาว โดยอ้างว่าเป็นเพื่อนกับแสตมป์และผมคือหนึ่งในพยานให้นิว คดีชู้สาว พร้อมแนบข้อความแชทที่อ้างว่าเป็นบทสนทนาของแสตมป์ ว่า

สวัสดีครับ ผมชื่อ ป้อง เป็นเพื่อนกับแสตมป์ ผมคือหนึ่งในพยานให้นิว คดีชู้สาว (แต่ไม่ถึงปากที่ให้ไปขึ้นศาล) ผมไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคู่กรณีทั้งแจมและแก๊ป

แต่ผมเป็นคนกลางติดต่อแจมให้แสตมป์ในช่วงเวลาที่เขาติดต่อกันเองไม่ได้ ผมรู้เรื่องราวเกือบทั้งหมดของปัญหานี้ แบบมีหลักฐานเป็นแชททุกช่องทางกับแสตมป์ (แต่ไม่รู้ว่าเป็นคำโกหกของเพื่อนผมหรือไม่)

แม้ผมจะเป็นเพื่อนแสตมป์ แต่ผมรู้สึกไม่โอเคกับการเล่าบนเวทีเพราะแสตมป์เล่าไม่หมด จึงเกิดความวุ่นวายในสังคม ศิลปินและบุคคลหลายคนได้รับผลกระทบทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาของ 4 คนนี้เลย

ผมได้คุยไลน์กับแสตมป์ครั้งสุดท้ายหลัง 30 พฤษภาคม 2566 ไม่กี่วัน (ซึ่งตอนแรกผมต้องไปเป็นพยาน) โดยให้ผมเช็ค IG แจมว่าลบรูปบางอย่างไปหรือยัง ผมตอบไปแล้วหลังจากนั้นผมไม่ได้คุยกับเพื่อนผมอีกเลย จนเกิดเหตุพูดบนเวที ผมทักไลน์ไปว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมยังมีปัญหาอีก เห็นว่าจบ แยกย้ายต่างคนก็ใช้ชีวิตกันไปแล้ว

กลายเป็นนิวตอบไลน์มาว่า “ไม่ต้องห่วง ไว้ว่ากันกำลังมีคนโพสด่าอยู่พอดี” แล้วไม่ตอบอะไรผมอีกเลยผมรอให้คู่กรณีคือแก๊ปได้โพสก่อน เพื่อจะได้อธิบายว่าเป็นคดีชู้สาว ไม่ใช่เป็นเรื่องการคุกคามแบบซาแซงที่แสตมป์เล่าบนเวที

ถ้าบนเวทีแสตมป์เริ่มต้นว่า

ทุกคนครับ ผมนอกใจเมียผมเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่เมียผมจะจับได้ แล้วหลังจากนั้นจึงเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นครับ (อย่างที่พูดบนเวที) สารที่ประชาชนรับรู้ จะต่างไปจากตอนนี้ ไม่มากไม่น้อยอย่างแน่นอน

อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ทัวร์ไปลงผิด ศิลปินหลายคนก็ไม่ต้องกี่ยวข้องเลยแบบนี้

ความจริงผมก็ไม่เกี่ยวข้องเลย แต่ยอมที่จะแลกเพราะ ทำไมเรื่องความรักที่ไม่ปกติของ 4 คน ต้องมีผู้ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบแบบนี้ สังคมวุ่นวายไปหมด แฟนเพลงของแต่ละคนต้องมาปะทะกันเองอย่างที่ผมเคยทวีตไปว่า ไม่สงสัยเลยหรอว่าศิลปินเกือบทั้งวงการทราบเรื่อง แต่ทำไมไม่มีใครอยากยุ่ง เพราะ

1. ทุกคนอาจมีแผล หากเข้ามายุ่งเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจถูกขุดแบบมั่วๆ ก็ได้ จึงเลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า

2. ถ้าออกมาเทคแอคชั่นแล้ว แฟนเพลงฝ่ายนั้นไม่เชื่ออีก ก็กลายเป็นทำให้แฟนเพลงปะทะกันเองแบบที่เกิดขึ้นตอนนี้

3. ถ้าประชาชนรู้ว่าแสตมป์นอกใจเมีย คนที่พังคือตัวแสตมป์เอง

ในเมื่อไม่มีใครเล่าอะไรให้ชัดเจน (แบบไม่โกหก)

ผมขอใช้พื้นที่เพจ ‘โตแล้วจะไปญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ได้’ โพสแบบยาวๆ เพื่อที่จะให้ทุกคนทราบ พฤติกรรมความไม่ปกติหลายๆ อย่างจากทั้งแสตมป์และนิว

ผมไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องกลับจากฝ่ายใดเลย หากผมยึดหลักพูดความจริงจากหลักฐานแชททั้งหมด หากถูกฟ้องจะต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าผมพูดเท็จ แม้แชทจะเป็นเรื่องโกหกที่แสตมป์เล่ากับผมก็ตาม

ตัวอย่างแรกแสตมป์เคยบอกผมว่าเขาไม่ได้เงินใช้เลยเงินอยู่ที่นิวทั้งหมดเขาอยากสร้างบ้านใหม่ให้แม่ นิวก็ไม่ให้เงินเรื่องนี้แสตมป์บอกผมปี 64 เลยทำให้ผมไม่ชอบนิว แต่พอต้องขึ้นศาล ผมไปเล่าให้ทนายฟังแบบนี้ มีการบันทึกเทปไปให้นิวกับแสตมป์ฟังว่าผมพูดอะไรบ้าง วันต่อมา แสตมป์มาขอโทษผมว่าเรื่องทั้งหมด เขาโกหกผมมาตลอด

หากแสตมป์โกหกผมแบบนี้ แสตมป์ก็สามารถโกหกให้นิว แจม และทุกคนเข้าใจผิดได้เช่นครับขอจบเรื่องแรกเท่านี้ก่อนครับ ไว้จะมาอธิบายความประหลาดอื่นๆ อีก

หมายเหตุ:

1. ก่อนโพสนี้ผมได้คุยกับ โอม Cocktail และวง Tillybird แล้วด้วย เพื่อเช็ความข้อมูลฝ่ายเขา ตรงกับผมที่ได้รับจากแสตมป์ไหม ปรากฎว่า ไม่ตรงกันหลายเรื่อง (ตอนนี้ทั้งหมดบินไปอเมริกาเมื่อคืนนี้)

2. ขอบคุณคุณ Art Eakarat ที่ให้คำปรึกษาด้วยครับ

ปล. ถ้าหลายจากนี้มีชื่อ ผัก อยู่ผักคือ aka ที่แสตมป์ใช้เรียก แจม ครับ

‘ไทด์ เอกพันธ์’ เปิดใจรักใหม่!! หวานใจนางเอกคนดัง ‘ทับทิม อัญรินทร์’ เผยความสัมพันธ์!! จากเล่นละครเป็นพ่อลูกกัน จนสนิทกันจริง 15 ปี

(26 ม.ค. 68) จากเล่นเรื่องไหนเป็นพ่อลูกกันตลอด เซอร์ไพรส์มาก ไทด์ เอกพันธ์ เปิดใจรักใหม่ นางเอกคนดัง บิณฑ์ แซวเตรียมแต่งงาน เข้าใจลูกโตเป็นสาวหมดแล้วใครเข้ามาก็ต้องละเอียดอ่อน

ช่อง7 เผย คลิป ไทด์ เอกพันธ์ เปิดใจรักใหม่หวานเวอร์ เปิดโมเมนต์หวานน่ารักกับนางเอกสาวคนสนิท ทับทิม อัญรินทร์

ล่าสุดถามถึงช่วงนี้ทำคอนเทนต์เต้นด้วยกันบ่อยๆ ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร ไทด์ บอกว่า “เล่นเรื่องไหนเขาเป็นลูก เราเป็นพ่อ คลุกคลีกัน 10 กว่าปีแล้ว 15 ปีได้ น้องเขาก็น่ารัก เรารู้สึกมีความผูกพัน (ถามว่าตอนนี้เป็นพี่ชายคนสนิท ใช้คำนี้ได้ไหม) ได้”

พร้อมทั้งเผยโมเมนต์หยอกล้อกันหวานไปอีก ไทด์ แกล้ง ทับทิม จนนางเอกสาว บอกว่า “โดนแกล้งตลอด ตั้งแต่สมัยถ่ายรายการ ”

ด้าน ไทด์ บอกเลย “แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องมองตาปริบๆ”

ขณะที่ รายการ นิว พาซ่า ซึ่งมีพี่น้องแฝดพระเอกสายบุญ บิณฑ์ – เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ มาเปิดใจเรื่องความรักตอนหนึ่ง บิณฑ์ แซวน้องชายว่า “เอกพันธ์ เขาจะเป็นคนที่หัวใจสีชมพูตลอด เขาจะมีความรักของเขาตลอด (เอกพันธ์ เอามาตีหัวพี่ชายบอกเหรอๆ) เขาจะกุ๊กกิ๊กของเขาตลอด”

เอกพันธ์ ยอมรับว่า “คุยๆอยู่ ”

บิณฑ์ ถามว่า “เห็นว่าจะแต่งงานกันแล้วเหรอ (เอกพันธ์ หัวเราะ) ยังๆ ปีนี้ยังไม่ได้แต่ง เพราะยกช้างไม่ขึ้น ”

เอกพันธ์ กล่าวว่า “ดูๆ กันไปก่อน คบกันไปก่อน ถ้าใช่ก็ใช่ ยังไม่ฟันธง 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ ต้องดูให้กาลเวลา เรื่องแบบนี้ ละเอียดอ่อน เราอายุมากแล้ว วางแผนก้าวเดินต้องระวัง เอาคนโน้นคนนี้มาเป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ จะเสียหายน้องเขา (บิณฑ์ : เขามีลูกสาวโตเป็นสาวหมดแล้ว ถ้าใครเข้ามา ทั้งเขาทั้งลูกละเอียดอ่อน)”

ปลุก!! คนไทย ให้ต่อต้าน การทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนเอาใจใส่ ‘การรัก-เลิกกัน’ ของดารา

(19 เม.ย. 68) นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า …

ถ้าสังคมไทย นักจัดรายการดัง ๆ ทางโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ 
สนใจ เอาใส่ใจ ช่วยกันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ของนักการเมือง ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ 

เหมือนกับการเอาใจใส่เรื่องการคบกัน หรือเลิกรักร้างรากันแล้ว ของเหล่าดารา ศิลปินทั้งหลาย ประเทศไทยต้องดีกว่า ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top