Sunday, 8 June 2025
กองทัพ

‘นายกฯ’ ชื่นชมกองทัพ เป็นที่พึ่งของประชาชนยามทุกข์ยาก พร้อมส่งกำลังใจให้กำลังพลปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย

(18 ก.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชื่นชมกองทัพเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยเฉพาะยามเกิดภัยพิบัติกองทัพได้นำกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างทุ่มเท เต็มกำลังความสามารถและอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า กองทัพอยู่เคียงข้าง ไม่ทอดทิ้งประชาชน

นายกฯ กล่าวว่า จากรายงานกองทัพได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนสถานการณ์คลี่คลายทั้งในพื้นที่ จ.เชียงราย, น่าน, หนองคาย, เลย, บึงกาฬ, นครพนม, ราชบุรี, อุบลราชธานี และ จ.กาฬสินธุ์ โดยได้ทำการช่วยเหลือประชาชน ดังนี้... 

1.ช่วยเหลือประชาชนล้างทำความสะอาด ดินโคลน (บ.เล่าลิ่ว ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย) 

2.ลาดตระเวนป้องกันอาชญากรรม เฝ้าระวังความปลอดภัยดูแลทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย (แม่สาย เชียงราย) 

3.ติดตั้งชุดประปาสนาม ผลิตน้ำประปาชั่วคราว 4 แห่ง ให้ประชาชนเชียงรายคลายความเดือดร้อน

4.ฟื้นฟู/ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย (รร.บ้านปอน ต.ปอน อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน) 

และ 5.ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่หนองคาย กรอกกระสอบทราย และนำกระสอบทรายไปวางเพื่อเสริมแนวกั้นป้องกันมวลน้ำโขง เพื่อจัดทำพนังกั้นน้ำ (บ้านปากมาง ม.12 ต.กองนาง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย)

“ขอเป็นกำลังใจให้กองทัพและกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง บนพื้นฐานความไม่ประมาท คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก” นายกฯ เน้นย้ำ 

'ปราชญ์ สามสี' ถอดบทเรียนประวัติศาสตร์ เหตุใดการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ

(19 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เผยแพร่บทความเรื่อง ‘บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ทำไมการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ’ มีเนื้อหาดังนี้ 

ที่ข้าพเจ้าเอาบทความทางทหารมาเล่าให้ฟังบ่อยขึ้น ๆ นั้นก็เพราะต้องการให้ ทุก ๆ ท่านตระหนัก ‘ให้ชัดเจน’ ประเทศไทยของเรากำลังใกล้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า สงครามขนาดใหญ่ที่เข้ามาประกบเราซ้ายขวาหน้าหลังเวลานี้ นับวันจะยิ่งส่อเค้าว่าจะหลบหนีไปจากสงครามเป็นไปได้ยากอีกด้วย เนื่องจาก ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยนั้น กำลังจะกลายเป็น รัฐกันชนกับสงครามใหญ่โต ระหว่าง จีนและสหรัฐฯ

และลองคิดดูสิว่า ในปี 2567 ถ้าหากประเทศเรามีกองทัพที่ไม่เข้มแข็ง ไม่พร้อมปกป้องบ้านเมือง ตอนที่มีศัตรูมารุกรานจะเป็นอย่างไร? คำตอบมันชัดเจนมาก: ประเทศจะเสี่ยงที่จะล่มสลาย ดังนั้น นี่คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเอง แต่มันยังทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยครับ
นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ

ในปี 2567 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยสงครามที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระดับมหาอำนาจ โดยเฉพาะในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนได้ขยายอิทธิพลทางทหารในพื้นที่ทับซ้อน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาททางทะเล ระหว่างหลายประเทศ จนกลายเป็นพื้นที่สีแดงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่าง ประเทศจีน และ ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา

การมีพื้นที่สงครามทางทะเลแปซิฟิกบริเวณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ตามหลักภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นับเป็นทางออกทะเลทางเดียวของประเทศจีน จึงไม่แปลก ที่ จีนจำเป็นจะหาทางออกทางทะเล แห่งใหม่ เพื่อหลบ หรือ ซ่องสุมอำนาจกองกำลังทางทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจีน 

ดังนั้น การสนับสนุน กัมพูชา และ พม่า เพื่อจัดสร้างระบบการขนส่งทางราง และ แม่น้ำ รวมไปถึงการพัฒนาฐานทัพเรือสำคัญ ๆ ให้สามารถรองรับ เรือดำน้ำ และเรื่องบรรทุกเครื่องบิน ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำหรับจีน ในการการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่มีทรัพยากรสำคัญ และ เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ระหว่าง พม่าและกัมพูชาก็อาจกลายเป็นสมรภูมิในสงครามระหว่างสองมหาอำนาจนี้

ขณะเดียวกัน เราชาวไทยก็กำลังพบเจอกับปัญหาอีกเรื่องเกิดจากแนวโน้มสงครามภายในพม่าทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดคลื่นผู้ลี้ภัยหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอ็นจีโอ และฝ่ายการเมืองพยายามกดดันฝ่ายความมั่นคงไทยด้วยการกดดันให้ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยล้นทะลักเข้ามา ซึ่งหากเกิดจริงสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในไทย ผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามานี้อาจเป็นชนวนของความไม่พอใจภายในประเทศ คล้ายกับเหตุการณ์ ‘อาหรับสปริง’ ที่เคยเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นการประท้วงที่เกิดจากความไม่พอใจในระบบการจัดการและความไม่เท่าเทียม หากประเทศไทยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจนำไปสู่ความวุ่นวายภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้น

จากทั้งสองปัจจัย เราจะเห็นได้ว่า มันกำลังจะเป็นสงครามที่ระเบิด จากภายใน และ ภายนอก ในเวลาไล่เลี่ยกัน ... ดังนั้นสิ่งที่เขียนอยู่นี่ ทุกคนจะต้องตั้งสติให้ดี ๆ นะครับ

ข้าพเจ้าขอตัวอย่างที่อยากให้ลองฟังกัน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายถึงสถานการณ์บ้านเมือง จึงขออนุญาต ยกข้อคิดมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์รัสเซีย มหาอำนาจใหญ่ที่เคยผ่านวิกฤติการณ์ลักษณะคล้าย ๆ กันนี้มาแล้ว

หากต้องพูดถึงประวัติศาสตร์รัสเซีย สิ่งที่จะต้องรู้คือ รัสเซีย แท้จริงแล้วเป็นชาติที่มี ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนกับที่ใครบางคนเข้าใจว่า ‘เชื้อชาติรุส’ (Rus) เป็นต้นกำเนิดของชนชาติรัสเซีย เพราะ ข้อเท็จจริงแล้ว รัสเซีย เป็นดินแดนที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็น สลาฟ, ตาตาร์, เชเชน และอื่น ๆ เขารวมกลุ่มคนหลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศไทยของเราเลยครับ

ทำไมชาติรัสเซียถึงยิ่งใหญ่?

ในศตวรรษที่ 18 ภายใต้การปกครองของ ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) และ แคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) จักรวรรดิรัสเซียได้ขยายอาณาเขตไปยังยุโรปตะวันออก, เอเชียกลาง, และไซบีเรีย การขยายอาณาเขตครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพื้นที่ให้กับรัสเซีย แต่ยังรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายเช่น ชนกลุ่มคอเคซัส, ตาตาร์, ชาวเติร์ก และอื่น ๆ ที่ถูกนำมาอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ การรวมชาติของเขามีความเข้มแข็งมากเพราะแม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่กลับมีวัฒนธรรมร่วมที่แข็งแรงมาก เช่นการใช้ ภาษารัสเซีย เป็นภาษากลางที่ทุกคนใช้สื่อสารได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน จึงทำให้ความหลากหลายนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน หัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในการสร้างชาติรัสเซีย นั้นก็คือ ความรักชาติ (Patriotism) ที่ปลูกฝังในคนรัสเซีย ท่ามกลางพวกเขาภูมิใจในความเป็นรัสเซียและพร้อมเสียสละเพื่อปกป้องชาติ ไม่ต่างจากไทยที่เราต้องปลูกฝังความรักชาติในทุกคน เพื่อให้เราสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีจุดสูงสุดก็มีต่ำสุด ช่วงเวลาที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี 1991 ซึ่งเกิดจากการที่ผู้นำในยุคนั้นอย่าง มิคาอิล กอบาเชฟ ทำให้กองทัพอ่อนแอ กองทัพโซเวียตสูญเสียพลังและงบประมาณจนไม่สามารถรักษาความมั่นคงของประเทศได้ และสุดท้ายก็เกิดการล่มสลายของรัฐยิ่งใหญ่นั้น นี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ ต้องเรียนรู้

แล้วมันเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง?

ประเทศไทยก็มีบทเรียนแบบเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ การที่กองทัพไทยเคยเข้มแข็งและปกป้องประเทศจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน ทำให้เราสามารถคงอธิปไตยของเราไว้ได้ แต่นึกดูสิว่าถ้าวันหนึ่งเราปล่อยให้กองทัพของเราอ่อนแอลง เราจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่า

ความเสี่ยงจะตามมา เช่น ความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ ที่มีโอกาสใช้ อ่าวไทย และ พื้นที่ตลอดชายแดนอาจเป็นสมรภูมิได้

คิดดูนะว่า ถ้าประเทศเราไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ เราอาจต้องสูญเสียทั้งอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียต

แล้วไทยจะทำยังไงต่อ?

สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากรัสเซียสอนเราว่า ความเข้มแข็งของกองทัพและความรักชาติ (Patriotism) เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ หากเราละเลยสิ่งเหล่านี้ อนาคตเราอาจจะเป็นเหมือนโซเวียตในอดีตก็ได้ ความรักชาติและการสนับสนุนกองทัพที่แข็งแกร่งจะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจว่า การมี กองทัพที่เข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม แต่เป็นการรักษาสมดุลของอำนาจในภูมิภาคและป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม ถ้าเราอ่อนแอ ประเทศอื่นอาจใช้โอกาสนี้ในการแทรกแซง ดังนั้น การสนับสนุนกองทัพและปลูกฝัง

ความรักชาติในทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติเรา

สรุปคือ การทำให้กองทัพอ่อนแอ ก็คือการทำลายประเทศนั่นเอง

‘ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์’ ส่ายหน้าแนวคิดในหนังสือ ‘ในนามความมั่นคงภายใน การแทรกซึมของกองทัพไทย’ ย้ำชัด! กองทัพไทย คือ ผู้ป้องกันการแทรกซึม

(2 ต.ค. 67) ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้โพสต์บัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัววิจารณ์หนังสือ ‘ในนามความมั่นคงภายใน การแทรกซึมของกองทัพไทย’ ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ว่า

#เชรีวิว ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย แบบอ่านผ่าน ๆ ผิดตรงไหนไปถามคนเขียนเอง 555

สรุปสั้น ๆ คือ เป็นงานที่ไม่ได้สะท้อนสัจธรรมหรือความเป็นจริงอะไร มีการตีความผ่านกรอบคิดแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย / อุดมคตินิยม (Liberalism/Idealism) แล้วก็หาหลักฐานเชิงประจักษ์ (แบบเข้ากรอบทฤษฎี) มาสนับสนุนตามสูตร ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นทฤษฎีหนึ่งของการศึกษารัฐศาสตร์เท่านั้น ยังมีทฤษฎีอีกเพียบที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ดีกว่าเช่นแนวคิดแบบสัจนิยม (Realism) หรือแนวคิดหลังสมัยใหม่ (Post-Modernism) หรือแนวคิดแบบโบราณสามก๊ก (Samkokism) ก็ยังได้เลย

มากไปกว่านั้น งานนี้ยังมีลักษณะที่กลับหัวกลับหางแปลกๆ เช่น
เริ่มจากการตั้งชื่อเรื่องที่ผิดทิศทาง กลับหัวกลับหางไปหมด ไม่รู้ว่าอาจารย์พวงทองงง หรือผมงง งงงไปหมดคือ

ก. การแทรกซึมทางสังคมของทัพไทย
คำถามคือ กองทัพแทรกซึมสังคมไทยได้เหรอ? ตกลงกองทัพไทยกับสังคมไทยไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ตกลงเป็นกองทัพไทยหรือเป็นกองทัพอะไร งง?

คำว่า แทรกซึม มันต้องใช้กับรัฐคู่ขัดแย้งหรือคู่สงครามสิคับ อาจารย์ยกบริบทของสงครามเย็น ซึ่งในทางปฏิบัติมันเป็นสงครามตัวแทน (Proxy War) ระหว่างรัฐมหาอำนาจซ้อนกันหลายชั้น

ในบริบทของสงครามเย็นในประเทศไทย กองทัพไทยเป็น ฝ่ายป้องกันหรือเจ้าบ้าน เขาถึงตั้งชื่อว่ากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในไงคับ

ถามว่าป้องกันการแทรกซึมจากใคร ก็ป้องกันการแทรกซึมจากพวกอาจารย์ของอาจารย์ เช่น อาจารย์ธงชัย ที่อาจารย์อ้างอิงในหนังสือ ซึ่งอาจารย์ธงชัยนี้เองก็เป็นสหาย หรือกลไกที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เข้ามาจัดตั้งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และใช้อาจารย์ธงชัยแทรกซึมสังคมไทย เช่น ผลิตความคิดที่ต่อต้านค่านิยมหลักหรือบ่อนทำลายความมั่นคงของสังคมและของรัฐต่าง ๆ นา ๆ เพื่อปูทางไปสู่การยึดอำนาจรัฐของ พคท. ในที่สุด แบบนี้สิครับเขาถึงเรียกว่าแทรกซึม ซึ่งการแทรกซึมมันก็คือยุทธวิธีการบ่อนทำลาย (Sabotage) แนวหลังของศัตรูให้อ่อนแอทั้งทางด้านความคิด สติปัญญาและทรัพยากร ฯลฯ 

ในขณะที่รัฐไทยก็ต้องป้องกันการแทรกซึมจัดตั้งของ พคท. โดยจัดตั้งไทยอาสาป้องกันชาติ ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง ฯลฯ มาสู้กับกลุ่มจัดตั้งของพคท. ในทุกองคาพยพของสังคม เช่น สหภาพแรงงาน ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา กลุ่มไฟลามทุ่ง ฯลฯ ถ้าไม่ทำอะไรก็เรียบสิคับ แดงทั้งแผ่นดิน เสร็จ พคท. หมด 

ประธานเหมายังบอก ทหารคือปลา ประชาชนคือน้ำ อาจารย์ได้เรียนหรืออ่านสรรนิพนธ์ทางการทหารบ้างป่าวคับ ถึงชอบตั้งคำถามว่า ทหารมีไว้ทำไม? ได้คำตอบยังคับ 

แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตรงบทสรุป หน้า 216 อาจารย์พวงทองสรุปว่า 
"ข้อสรุปสำคัญของงานศึกษาชิ้นนี้คือไม่ใช่การป้องกันประเทศจากการคุกคามของศัตรูภายนอก แต่คือกิจกรรมความมั่นคงภายในที่เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพ"

เห้ย ถามจิง แค่นี้มันต้องทำวิจัยด้วยเหรอ ไปไล่เรียงประวัติศาสตร์การก่อตั้งรัฐตั้งแต่สมัยโบราณถึงสมัยใหม่แล้วมาตอบให้หน่อย ว่ากองทัพแมวที่ไหนมันไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันรักษาเอกราชทั้งจากภายนอกและภายใน และภายในมันต้องเข้มแข็งก่อนด้วยถึงป้องกันภายนอกได้ 

ถ้าเป็นภาวะสงครามมันก็มีทั้งสงครามที่มาจากภายนอกและสงครามการบ่อนทำลายภายใน เช่น การบ่อนทำลายทางความคิด ฯลฯ เช่น ประเทศไหนมีระบบความคิดที่มั่นคง ก็นำแนวความคิดสมัยใหม่เข้าไปทำให้ประเทศเกิดความอ่อนแอ ขัดแย้งกัน พอตีกันเองก็ไม่ต้องพัฒนา ดูหลายๆประเทศรอบบ้านก็ได้ ตอนนี้ตีกันเข้าไป หัวเก่าหัวใหม่ สุดท้ายประเทศลุกเป็นไฟ

อย่างหมดยุคสงครามเย็น ตอนนี้ก็เป็นสงครามในรูปแบบใหม่ ตอนนี้ไม่ยึดครองโดยตรงแล้ว แต่ใช้วิธีการให้ทุนสนับสนุนองค์กรต่างๆมาเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของรัฐมหาอำนาจ ที่ต่างก็ต้องทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ใครเคยรับงานบ่อยๆก็จะทราบดีครับ หวานเจี๊ยบ พูดหรือเคลื่อนไหวอะไรสอดคล้องต้องกันหมดราวกับรับงานมา เด็กปั้น อิอิ

ตัวอย่างการแทรกซึมสังคมไทย แนวคิดไหนที่ไม่เคยมีในสังคมไทยมาก่อนถือว่าแนวคิดนั้นเข้ามาแทรกซึมนะคับอาจารย์ เช่น ทุนนิยม คอมมิวนิสต์ หหรือประชาธิปไตย เป็นต้น โดนหมดไม่ว่าไทย ยูเครน ซีเรีย อาเซียน ฯลฯ ผ่านแนวคิดเรื่อง สิทธิเสรีภาพ เสมอภาค โว๊ค ไม่เคารพพ่อแม่ บ่อนทำลายสถาบันหลัก ศาสนา ค่านิยม ฯลฯ

ในทางปฏิบัติเขาก็จะมีการจัดตั้ง การให้ทุน ส่งไปเรียน จัดค่าย เสวนา การระดมมวลชน หรือการตั้งพรรคการเมือง รวมไปถึงองค์กรมูลนิธิต่าง ๆ การให้รางวัล ฯลฯ โดยมีเป้าหมายการเคลื่อนไหวที่สอดประสานต้องกัน แทรกซึมเข้าไปในสถาบันการศึกษา โรงเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย ที่ปรากฏออกมาเป็นม็อบจัดตั้งเป็นระยะๆ ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับคนจัดตั้ง ตั้งแต่สมัยโบราณจนมาถึงสมัยปัจจุบันอะ ไม่เคยเปลี่ยน
อย่างเช่น รัฐ A อยากจะจัดการ รัฐ B วิธีการง่าย ๆ แบบไม่ต้องใช้กำลังทางทหารซึ่งสิ้นเปลืองมากก็คือบ่อนทำลายรัฐ B จากภายใน ให้ฟาดกันเองให้ย่อยยับ ให้ทุนสนับสนุนอย่างลับ ๆ 

ยิ่งถ้าเป็นรัฐประชาธิปไตยยิ่งง่าย เลี้ยงพรรคที่อาจได้รับการเลือกตั้ง เลี้ยงพรรคหอกข้างแคร่ หนุนพรรคแปลก ๆ หรือเอาศาสนา ยาเสพติด โรคระบาด ปล่อยข่าวลบ ข่าวลือ ระบบเหตุผลแปลก ๆ หรือทำให้คนในรัฐนั้นโง่ ปัญญาอ่อน ฯลฯ ร้อยสารพันวิธี ถ้าอ่านประวัติศาสตร์มาบ้างอะ แล้วเข้ามากวาดแบบหวานเจี๊ยบ เป็นต้น 

ดังนั้น หน้าที่ของกองทัพและสังคมก็คือต้องช่วยป้องกันการแทรกซึมของแนวความคิดบ่อนทำลายชาติและรัฐเหล่านี้ ที่แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเครื่องมือในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มคนบางกลุ่มได้ ทำแค่นี้ผมว่าน้อยไปด้วยซ้ำคับ อย่าตีกันมาก มีคนจ้องจะงาบคุณอยู่ เว้นแต่ว่ารับงานมา อิอิ

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ชัดเจน ไม่แก้ระเบียบกลาโหม มอง!! กองทัพเป็นสถาบันหลัก แก้กฎหมาย จะกระทบถึงความมั่นคง

(10 ธ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ... ว่า

ในการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว ได้เคยมี สส.ฝ่ายค้าน ยื่นเรื่องร่างกฎหมายเพื่อจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาแล้วในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งในขณะนั้น ทางคณะรัฐมนตรีได้รับไปพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าให้ชะลอไว้ก่อน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าการแก้ไขดังกล่าวเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่อย่างไร เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบกับหลายภาคส่วน ในการเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือกฎเกณฑ์ในกระทรวงกลาโหม จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และที่สำคัญกองทัพถือเป็นสถาบันหลักของชาติที่เกี่ยวกับความมั่นคง จะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ

ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เคยหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และ สส.ของพรรค ได้มีความมติในเบื้องต้นว่าไม่เห็นด้วยในการรับร่างของ พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฯ ของพรรคก้าวไกล ในสมัยนั้น ซึ่งไม่เห็นด้วยในรายละเอียดหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกองทัพโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของสภากลาโหมที่มีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งหลักในกองทัพและประเด็นอื่นๆอีก  ซึ่งในขณะนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติไม่เห็นด้วย กับเสนอร่างกฎหมายของพรรคฝ่ายค้านที่เคยยื่นเข้ามา 

ดังนั้น ในกรณีการยื่นร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ... ของพรรคเพื่อไทย หากมีรายละเอียดที่มีความคล้ายคลึง กับ ร่างกฎหมายของพรรคฝ่ายค้านที่เคยยื่นมาแล้ว โดยให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกองทัพ พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอยืนยันมติพรรคไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติเห็นด้วยกับการทำให้กองทัพมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่ต้องไม่กระทบกับความมั่นคงโดยเฉพาะการให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกิจการของกระทรวงกลาโหม

‘เยอรมนี’ อาจฟื้นระบบเกณฑ์ทหารปีหน้า หากไม่มีอาสาสมัครมากเพียงพอในอนาคต

(26 พ.ค. 68) บอริส พิสโตริอุส รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ (24 พ.ค.) ว่า รัฐบาลอาจพิจารณานำระบบเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ภายในปี 2569 หากจำนวนผู้สมัครใจเข้าร่วมกองทัพยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

เยอรมนีในฐานะสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) กำลังเร่งเสริมศักยภาพทางการทหารนับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2565 แต่การรับสมัครทหารโดยสมัครใจยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

กองทัพเยอรมนีระบุว่า ยังต้องการกำลังพลเพิ่มอีกประมาณ 100,000 นายในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธะผูกพันกับ NATO ได้อย่างเต็มที่

พิสโตริอุสกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังเน้นการรับสมัครทหารแบบสมัครใจเป็นหลัก แต่หากจำนวนผู้สมัครไม่เพียงพอในอนาคต อาจจำเป็นต้องพิจารณานำระบบเกณฑ์ทหารภาคบังคับกลับมาใช้ พร้อมเสริมว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในวันที่ 1 ม.ค. 2569

ด้านอันเดรียส เฮนเน ผู้บัญชาการกองบัญชาการปฏิบัติการภายในประเทศของกองทัพเยอรมนี กล่าวสนับสนุนความพยายามในการเพิ่มจำนวนผู้สมัคร โดยระบุว่า เยอรมนีกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ยังจำเป็นต้องเร่งให้มากขึ้น โดยเฉพาะในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน และกำลังพล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top