Wednesday, 23 April 2025
กรมสุขภาพจิต

"แรมรุ้ง" รองปลัดกระทรวง พม. เปิดใจรับฟังผู้นำคนพิการ และกรมสุขภาพจิต

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 "นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ" รองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้โอกาส "อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์" ประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยนำคณะ "กรมสุขภาพจิต" โดย ”หมอจ๋า” คุณมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา และทีมผู้บริหารที่ดูแลงานด้านสุขภาพจิต เข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดวางแนวทางการทำงานอย่างบูรณาการร่วมกัน ทั้งระบบสังคม / ระบบสุขภาพจิต / ระบบเครือข่ายคนพิการ ผู้ดูแลคนพิการ และชุมชนเครือข่ายสถาบันและโรงพยาบาลที่จัดบริการด้านสุขภาพจิต 20 แห่ง พร้อมสนับสนุนการทำงานร่วมกันแนวคิดสำคัญ คือ การร่วมมือทำงานภายใต้กฎหมายสุขภาพจิต กฎหมายคนพิการ เพื่อขับเคลื่อนแผนงาน Long Term Care สำหรับกลุ่มเปราะบาง 

โดยในส่วนคนพิการ อาจจัดทำชุด #Mental Health and Psycho-Social Support Package ทั้งระบบ และการเตรียมความพร้อมบุคลากรในเครือข่ายที่จัดบริการกลุ่มเปราะบางให้สามารถจัดบริการตามมาตรฐาน การรวมพลังทีมสหวิชาชีพ การประสานส่งต่อ เชื่อมต่อ(Transition) การทำงานร่วมกับครอบครัว ชุมชน ตามแนวCommunity Base โดยอาจสนับสนุนให้มี Comunity Service Center สำหรับกลุ่มออทิสติก พัฒนาการและจิตเวชในชุมชน โดยสถานพยาบาลระดับทุติยภูมิที่มีความเชี่ยวชาญมาเสริมหนุน และพัฒนาให้เป็น “ศูนย์บริการคนพิการเฉพาะทางด้านPsycho-Social รวมทั้งการสานต่อการทำงานระหว่าง กองทุนหลักประกันสุขภาพ / กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพขีวิตคนพิการ และกองทุนท้องถิ่น

ทั้งนี้ อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ได้นำเสนอแนวคิดในการนำ มาตรา 20 วรรค 3 แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ 2550 มาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุน การจัดศูนย์บริการคนพิการเฉพาะทาง โดยจัดทำระเบียบการสนับสนุนคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล ให้ได้รับสิทธิด้านสวัสดิการที่อยู่อาศัยและการเลี้ยงดู รวมถึงระเบียบการอุดหนุนสถานสงเคราะห์เอกชนจัดที่อยู่อาศัยและสวัสดิการ เพื่อรองรับระบบซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ และพร้อมเชื่อมองค์กรและภาคีเครือข่ายผู้ปกครอง และคนพิการที่สนใจร่วมดำเนิน

เด็กไทยฉลาดขึ้น!! กรมสุขภาพจิต เผยผลสำรวจ เด็ก ป 1. ไทยฉลาดขึ้น ไอคิวเฉลี่ย 102.8 ไอคิวสูงเกิน 130 มากกว่าละ 10

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงผลการสำรวจไอคิว อีคิว "เด็กไทย" ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปี 2564 ภายในงาน “เดินหน้า...สร้างเด็กไทยไอคิวดี” พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลที่ร่วมดำเนินงานพัฒนาเด็กไทยและพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยดีเด่น จำนวน 18 รางวัล

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการสำรวจระดับสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประจำปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่า มีระดับสติปัญญา (ไอคิว) เฉลี่ย 102.8 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติและผ่านเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดให้เด็กไทยมีไอคิวไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 100 และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 พบว่า เด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 4.5 จุด ส่วนเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 90 ลดลงจาก 31.8% เหลือ 21.7% สะท้อนความสำเร็จจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในการพัฒนาเด็กไทยให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีไอคิวในเกณฑ์บกพร่อง ต่ำกว่า 70 อยู่ถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดให้ไม่เกิน 2% แสดงว่ายังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่ส่งผลต่อสติปัญญาในช่วงแรกเกิดถึง 5 ปี ซึ่งพบในกลุ่มขาดโอกาสทางสังคม เช่น ครอบครัวที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็กที่เกิดจากมารดาวัยรุ่น ครอบครัวขาดความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กขณะที่ตั้งครรภ์

สำหรับเด็กที่มีระดับสติปัญญาในเกณฑ์ฉลาดมาก คือ "ไอคิวสูง" มากกว่า 130 พบสูงถึง 10.4% เป็นผลจากได้รับการส่งเสริมศักยภาพอย่างเต็มที่จากครอบครัวและสังคม ซึ่งทุกหน่วยงานควรนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งประเทศ

ส่วนผลสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว) พบอยู่ในเกณฑ์ปกติ 83.4% แสดงว่าเด็กยังมีความสามารถในการรู้จัก เข้าใจ ควบคุมอารมณ์ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ เอาชนะอุปสรรคในชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จและความสุขในอนาคต

“การที่เด็กไทยมีระดับไอคิวสูงขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนสารไอโอดีนในเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยมากขึ้น จึงขอให้กรมสุขภาพจิตและกรมอนามัยเพิ่มเรื่องความรอบรู้ด้านไอโอดีนให้แก่ อสม. เพื่ออธิบายต่อกับชาวบ้านถึงความสำคัญในการให้เด็กได้บริโภคอาหารที่มีสารไอโอดีน” นายอนุทินกล่าว

'รัฐบาล' ห่วงใยสภาพจิตใจปชช. หลังเกิดเหตุกราดยิงฯ ด้านกรมสุขภาพจิต แนะนำ 5 ข้อ 'ลดเครียด-ดูแลจิตใจ'

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุโศกนาฏกรรมที่จังหวัดหนองบัวลำภู ก่อให้เกิดความเสียใจแก่คนไทยทั้งประเทศ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด และเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเครียดทางด้านจิตใจกับประชาชนทุกคน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยในสภาพจิตใจของผู้ที่เผชิญเหตุการณ์ที่รอดชีวิต ผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก รวมทั้งประชาชนคนไทยที่เกิดความเครียดทางด้านจิตใจจากเหตุการณ์ดังกล่าว

กรมสุขภาพจิตชี้ มุมมองทางการเมืองของแต่ละบุคคลแตกต่างกันได้ วอน สื่อสารด้วยความเข้าใจ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก

วันนี้ (15 พฤษภาคม 2566) กรมสุขภาพจิต ขอให้สังคมติดตามการรายงานผลการเลือกตั้งด้วยสติ ใช้เวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผลการเลือกตั้งอย่างเหมาะสม เนื่องจากทุกบุคคลมีพื้นฐานความชื่นชม ศรัทธาและประสบการณ์ต่างกัน ย่อมมีความคาดหวังที่หลากหลาย ทำให้มีทั้งผู้ที่มีความเห็นแตกต่างและไม่สมหวังในผลของการเลือกตั้งฯ ครอบครัวและชุมชนควรสื่อสารกัน ด้วยความเข้าใจ ยอมรับ และป้องกันความขัดแย้งอันจะนำไปสู่ความรุนแรงทั้งในครอบครัวหรือในสังคม

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากกระแสความใส่ใจในการเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566  กรมสุขภาพจิตได้ติดตามสถานการณ์ทางอารมณ์และสุขภาพจิตของประชาชนอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับในทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญในสังคม และจากรายงานทางระบบ Mental Health Check In ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 พบว่า ประชาชนมีระดับความเครียดเริ่มขยับตัวสูงขึ้นจาก ร้อยละ 2.17 ตั้งแต่ต้นปี 2566 และในระยะสองสัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง ระดับความเครียดขยับเพิ่มถึง ร้อยละ 3.07 และมีระดับสูงขึ้นเท่าตัว คือสูงกว่าร้อยละ 6.0 ในบางวัน และในช่วงเวลาการรอคอยผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการนี้ มีแนวโน้มที่ความเครียดของประชาชนจะสูงขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครอบครัวหรือกลุ่มต่างๆในสังคมที่มีสมาชิกหลายกลุ่มวัย ที่อาจมีผลต่อมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างได้มากขึ้น 

แพทย์หญิงอัมพร กล่าวต่ออีกว่า  สิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ คือ สถานการณ์การรายงานผลการเลือกตั้งฯ ที่ประชาชนหลายภาคส่วนยังคงตั้งใจ จดจ่อเพื่อติดตามว่าพรรคหรือบุคคลที่ตนเองเลือก จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งในวงจรของการเลือกตั้งย่อมมีทั้งผู้ที่ลงคะแนนเลือกแล้วเป็นไปตามที่หวังและไม่สมหวัง หากผู้ที่ติดตามข่าว ไม่สามารถดูแลอารมณ์ของตนได้ อาจเกิดปัญหาการมีปากเสียงหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งได้ กรมสุขภาพจิตเสนอข้อแนะนำเพื่อการดูแลสุขภาพจิตและสัมพันธภาพกับคนรอบข้างในช่วงของการรอผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ด้วยหลัก 4 ไม่ 4 ต้อง โดย 4 ไม่ ได้แก่ 1. ไม่กดดัน ตำหนิ ผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง 2. ไม่เยาะเย้ย ดูถูก หรือถากถาง ผู้ที่ผิดหวัง 3. ไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึกกับข่าวมากเกินไป 4. ไม่ล้อเลียน ไม่ซ้ำเติมความผิดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ และ 4 ต้อง ประกอบด้วย 1. ต้องรับฟังอย่างเปิดใจ 2. ต้องหลีกเลี่ยงการรับข่าวสารมากเกินไป 3. ต้องหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจตนเอง 4. ต้องให้กำลังใจ พูดคุย ด้วยสติและถ้อยคำที่สุภาพแสดงความห่วงใย ซึ่งโอกาสนี้นอกจากผู้ที่ไม่สมหวังจะต้องยอมรับในความเห็นที่แตกต่าง ผู้ที่สมหวังเองก็ต้องแสดงออกถึงการให้เกียรติ มีน้ำใจนักกีฬาโดยยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อให้ครอบครัวหรือญาติมิตรได้ปรับปรุงสายใยความผูกพันและสังคมก็สามารถดำเนินพัฒนาการทางการเมืองระดับมหภาคต่อไปได้ ด้วยความสงบและสันติสุข

กรมสุขภาพจิต ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารผลของการลงคะแนนการเลือกตั้งฯ อย่างมีสติและปล่อยใจให้สงบ แต่หากรู้สึกเครียดสามารถสำรวจสุขภาพใจด้วย Mental Health Check-In (MHCI)เพื่อรับทราบแนวทางการดูแลตนเอง หรือรับการปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้านหรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง 
 
เสริมสร้างสุขภาพใจ และสายใยครอบครัว ในช่วงลุ้นผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
นภาพร/เชียงใหม่

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงแนวทางการดูแล ‘หยก ธนลภย์’ เพื่อป้องกันความขัดแย้งบานปลายในสังคม โดยกล่าวว่า…

“สิ่งที่ต้องเร่งทำ คือการหาตัวผู้ปกครองที่เหมาะสมกับเด็ก ตามกลไลทางกฎหมาย เพื่อคุ้มครองเด็ก ตามสิทธิเด็กที่พึงมี โดยไม่อาจปล่อยให้เด็กเป็นเหยื่อ ขณะเดียวกันเห็นว่าบรรดาพรรคการเมือง ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเด็ก และควรหยุดนำเด็กมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แบบรายบุคคล แต่ควรกลับไปคิดเชิงระบบของการแก้ไขปัญหาเด็ก ว่าควรจะทำอย่างไรให้เยาวชนเป็นพลเมืองที่ดีมีภูมิคุ้มกันทางสังคม

ทั้งนี้ จะเห็นว่า คำว่า ‘ชุดนักเรียน’ หรือการแต่งกาย ไม่ได้เป็นข้อจำกัดทางการศึกษาอยู่แล้ว บริบทของปัญหามีความหลากหลายไม่มีถูกผิด เช่น ในตามพื้นที่ห่างไกล ยากไร้ การใส่ชุดนักเรียน เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่าย และในโรงเรียนที่ร่ำรวย และเด็กส่วนใหญ่มีเศษสถานะที่ดี การสวมชุดนักเรียน ช่วยให้เด็กอยู่ระเบียบ และลดความเหลื่อมล้ำในแต่ละครอบครัว”

เชียงใหม่-กรมสุขภาพจิต หนุนพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยา ยกระดับบริการสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน

กรมสุขภาพจิต หนุนพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยา ยกระดับบริการสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน จัดโครงการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทย ครั้งที่ 2

วันที่ 6 สิงหาคม 2567เวลา 10.30 น. นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทย Thai Standardized Achievement Test (TSAT) ครั้งที่ 2 สำหรับนักจิตวิทยาคลินิกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข อาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน หนุนการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาคลินิกในเขตสุขภาพที่ 1 ในการคัดกรองดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยมี นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน ณ ห้องอิมพีเรียลบอลรูม โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่

นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กไทยมีความน่าเป็นห่วงมากขึ้น จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต เด็กอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน พบมีพัฒนาการล่าช้า เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) มีปัญหาทางเชาวน์ปัญญา (IQ) และมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตต่อเนื่องไปจนถึงวัยรุ่นและนำไปสู่การใช้ยาเสพติด สอดคล้องกับการรายงานของโรงพยาบาลสวนปรุง ปี 2566 เด็กอายุ 6-12 ปี เข้ารับการรักษา จำนวน 213 คน ปี 2567 ช่วง 9 เดือน จำนวน 164 คน มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยโรคที่พบมาก 5 อันดับ ได้แก่ สมาธิสั้น ความผิดปกติแบบไม่อยู่นิ่ง ภาวะซึมเศร้า ความบกพร่องทางการเรียนรู้ และภาวะวิตกกังวล  

กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตและยาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถและมีนวัตกรรมด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยมีจำนวนนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบประกอบโรคศิลปะ จำนวน 1,320 คน ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ และน่าน) มีจำนวน 53 คน โครงการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทยนี้ จึงเป็นโครงการที่ช่วยเหลือได้อย่างตรงจุดและเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน 

โดยนักจิตวิทยามีบทบาทสำคัญนอกจากจะช่วยให้จิตแพทย์วินิจฉัยกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ นำเด็กเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็วแล้วยังช่วยส่งต่อข้อมูลให้กับครูการศึกษาพิเศษ นักแก้ไขการพูด นักกิจกรรมบำบัดเพื่อวางแผนกิจกรรมการช่วยเหลือให้กับเด็กได้อย่างเหมาะสม เป็นการยกระดับการบริการสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที ดูแลคุ้มครองเด็กกลุ่มป่วยอย่างถูกต้องเท่าเทียม ทั่วถึงและต่อเนื่องจนหายทุเลา

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง กล่าวว่า แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย (Thai Standardized Achievement Test) หรือ TSAT เป็นเครื่องมือมาตรฐานของ นักจิตวิทยาคลินิกที่ใช้ในการตรวจประเมินเชิงคลินิกและค้นหาปัญหาทางการเรียน ทั้งในด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณของเด็กไทยอายุ 6-12 ปี เพื่อช่วยเหลือ “จิตแพทย์” ในการวินิจฉัยเด็กกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) โดยทีมวิจัยได้ทดสอบจากกลุ่มตัวอย่างเด็กไทยทั่วทุกภูมิภาค จำนวน 1,680 คน และได้จัดโครงการอบรมฯ นำร่องไปแล้ว จำนวน 75 คน ได้รับการตอบรับที่ดีและยอมรับว่าแบบทดสอบ TSAT แปลผลได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว ทำให้เด็กได้รับการช่วยเหลืออย่างตรงจุด ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษา 

รพ.สวนปรุง จึงได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทย Thai Standardized Achievement Test (TSAT) ครั้งที่ 2 ขึ้น ระหว่างวันที่  6-8 สิงหาคม 2567 สำหรับ นักจิตวิทยาคลินิกในเขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 60 คน โดยมี ทีมผู้วิจัย จิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิกจากกรมสุขภาพจิต รวมถึงเครือข่ายภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร 

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน กล่าวเพิ่มเติมว่า หากผู้ปกครอง หรือครู พบว่าเด็กในการดูแลมีปัญหาทางการเรียนสามารถนำมาตรวจประเมินในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกประจำอยู่ หรือขอคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต โทร 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง   

เชียงใหม่-กรมสุขภาพจิต พัฒนาศักยภาพผู้ดูแลเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เขตสุขภาพที่ 1 และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 7 เชียงใหม่

วันที่ 6 สิงหาคม 2567 เวลา 11.00 น. นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างพลังใจ คืนเด็กไทยสู่สังคม สำหรับ ผู้ดูแลเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เขตสุขภาพที่ 1, ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 7 เชียงใหม่/ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุขสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด/โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปและหน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิต เขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 50 คน โดยมี นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน ณ ห้องประชุมนพเก้า โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ 

นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์เด็กและเยาวชนกระทำความผิดเป็นสถานการณ์ที่พบได้ทั่วโลก จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ ปี พ.ศ.2564 พบว่าในแต่ละปีมีเด็กและเยาวชนทั่วโลกกระทำความผิดประมาณ 10 ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบว่าปี 2561–2565 การกระทำความผิดที่เกิดจากเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 45.91 แต่กลับมีการถูกจับซ้ำในอัตราที่สูงขึ้นโดยเฉพาะ 3 ปีหลัง จากการถูกปล่อยตัวซึ่งสูงถึงร้อยละ 41 โดยคดีที่มีการจับกุมมากที่สุด 3 อับดับแรก ได้แก่ 1) ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ 2) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และ 3) ความผิดเกี่ยวกับอาวุธและวัตถุระเบิด การกระทำผิดเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้านความมั่นคงของประเทศ และด้านการพัฒนาประเทศในระยะยาว

การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกรมสุขภาพจิตและกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างปัจจัยปกป้องให้เด็กและเยาวชนมีภูมิคุ้มกันทางใจป้องกันไม่ให้กลับไปก่อความรุนแรงหรือก่อคดีซ้ำ อันจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาความรุนแรงและการมีสุขภาวะที่ดีในวัยผู้ใหญ่ต่อไป

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง กล่าวว่า การจัดโครงการเสริมสร้างพลังใจ คืนเด็กไทยสู่สังคม ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรในสถานพินิจและศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนฯ มีความรู้และทักษะในการจัดการกับอารมณ์/พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนได้อย่างเหมาะสม และสร้างแรงจูงใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนให้ไปในทางที่ถูกต้อง รวมถึงพัฒนาศักยภาพเครือข่ายผู้รับผิดชอบงานด้านสุขภาพจิตในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนฯ ให้มีทักษะในการคัดกรอง ดูแล และส่งต่อเด็กและเยาวชนในรายที่จำเป็นเข้ารับบริการในหน่วยบริการสาธารณสุขต่อไป

นภาพร/เชียงใหม่ (ภาพ-ข่าว)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top