Friday, 23 May 2025
กกต

'สว.สมชาย' ฟันธง 'พิชิต' ขาดคุณสมบัติ จี้!! กกต.ส่งศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

(3 พ.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า…

คุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต มีความเสี่ยงที่จะขาดคุณสมบัติและอาจขัดรัฐธรรมนูญ กกต. มีหน้าที่เร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน

ตามที่ปรากฏข้อสงสัยในคุณสมบัติของความเป็นรัฐมนตรีนายพิชิตนั้น ขอเสนอข้อมูลข้อกฎหมายและข้อเสนอแนะนำเพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต. ที่มีหน้าที่เร่งเรื่องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรธน. มาตรา 82 ประกอบ มาตรา 170 วรรคสาม และ มาตรา 160 (4) โดยเร็ว เพื่อขอให้วินิจฉัยว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือไม่ ด้วยเหตุผลดังนี้

1) รัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดทุกอนุมาตรา ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้ จะทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวมาตรา 17 ทันที

โดยเรื่องนี้มีประเด็นสงสัยตาม รธน. มาตรา 160 (4) (5) ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และการประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

เพราะนายพิชิต เคยเป็นทนายความและเป็นจำเลยที่ 1 เคยต้องคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน

“ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องละเมิดอำนาจศาลที่วินิจฉัยว่า การกระทำเป็นความผิดละเมิดอำนาจศาลโดย เห็นว่า เงินที่มอบให้ม.ล.ฐิติพงศ์ เพื่อนำไปแบ่งกันกับเจ้าหน้าที่ในแผนกมีจำนวนมากถึง 2,000,000 บาท มีเจตนาที่จูงใจให้ม.ล.ฐิติพงศ์และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา จึงลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน”

2) รมต. ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 หาใช่มีคุณสมบัติเพียงแค่ที่ส่งไปถามให้กฤษฎีกาตีความแบบเฉพาะเจาะจงบางอนุมาตราใน รธน. มาตรา 160 แค่ (6) (7) หากยังต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5) ด้วย ปรากฏชัดตามหนังสือตอบที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลับ ลงวันที่ 1 ก.ย. 66 ที่มีเลขาธิการ ครม. ถามไปเพียงแค่บางประเด็น หาใช่การตอบครอบคลุมถึงคุณสมบัติรัฐมนตรีทั้งหมด ตาม รธน. ทั้งมาตรา 160 กำหนดหรือตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างแต่ประการใด

3) กรณีมีข้อสงสัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ แม้เมื่อรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว แต่อาจมีเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงได้ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการบางอย่างอันมีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ กกต. มีหน้าที่และมีผู้ไปร้องแล้ว จึงควรเร่งดำเนินการและควรร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้อง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยด้วยเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

#กกตมีหน้าที่ #ส่งศาลรธน

ครบรอบ 1 ปี เลือกตั้ง 66 สอย 2 ใบแดงถ้วน ส่วนเลือก สว. ซับซ้อน ส่อ!! ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

เขียนต้นฉบับนี้ บ่ายวันที่ 14 พ.ค. 2567 ครบรอบ 1 ปีการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 พอดิบพอดี...ก็ต้องสรุปว่า 1 ปี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอ ‘สอย’ สส. หรือยื่นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อเอาผิดกรณีทุจริตเลือกตั้ง ให้ใบดำใบแดงได้เพียง 2 รายเท่านั้น จากที่ขึ้นบัญชีเอาไว้มากถึง 71 คน…

ที่เหลือ 69 คนจะปล่อยผี…ไม่มีหลักฐานแม้เพียงน้อยนิด หรือมีอะไรมาปิดตาบังตาเอาไว้หรือเปล่า..!?

ก็แปลกดีนะ 2 คนที่ถูกยื่นสอยล้วนเป็น ‘สส.ภูมิใจไทย’ รายแรก นางมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 คนที่ 2 กกต.เพิ่งเคาะเมื่อวันที่ 13 พ.ค. นี้คือ นายสุวรรณา กุมภิโร หรือ ‘เสี่ยหม่ำ’ สส.บึงกาฬ...

ตราบใดที่ศาลยังไม่รับคดีไว้พิจารณา ทั้งสองก็ยังปฏิบัติหน้าที่เป็น สส. ได้ต่อไปเรื่อย ๆ…

เท่าที่สังเกตดูตอนนี้แทบไม่มีใครสนอกสนใจเรื่อง ‘สอย’ สส.กันแล้ว เว้นแต่ สว. หนึ่งเดียวที่กัดไม่ปล่อยคือ สว.สมชาย แสวงการ ล่าสุดโพสต์ในเฟซบุ๊กจี้ใจดำ กกต. จนนาทีสุดท้าย… #กกต.ตื่นแล้ว #1ปีแจกใบแดงสส.2คน #ที่เหลือลอยนวล…

เท่าที่ติดตามฟังสุ้มเสียง สว.สมชายแล้ว สว.สมชายเข้าใจว่าพ้นเขต 1 ปี กกต.ก็น่าจะหมดอำนาจเอาผิดหรือสอย สส. ขี้โกงแล้ว แต่สายข่าว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ในกกต.บอกว่าถ้าจะเอาจริง กกต. ยังสอยได้เรื่อย ๆ ไม่มีอายุความ ส่วนระเบียบที่ออกมาให้รีบทำภายในหนึ่งปีนั้นเป็นเพียง ‘บทเร่งรัด’ เท่านั้น

ถ้าเป็นจริงตามนี้ก็น่าจะเป็นข่าวดี...ได้ยินมาว่าวันนี้พรุ่งนี้ 7 อรหันต์ กกต. จะล้อมวงคุยเรื่องนี้...ผลเป็นยังไงช่วยแถลงบ้างก็ดี…

พูดถึง กกต. ก็ดูท่าขึงขัง เอาจริงเอาจังกับการเลือก สว.ชุดใหม่ ภายใต้ระบบที่พิสดารพันลึกที่สุด...ล่าสุด กกต. ประกาศไทม์ไลน์มาแล้ว

>> 20-24 พ.ค.2567 รับสมัครรับเลือก
>> 29 พ.ค. 2567 วันสุดท้ายประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร
>> 9 มิ.ย. 2567 วันเลือก สว. ระดับอำเภอ
>> 16 มิ.ย. 2567 วันเลือก สว. ระดับจังหวัด
>> 26 มิ.ย. 2567 วันเลือก สว. ระดับประเทศ
>> ก.ค. 2567 ประกาศผลเลือก สว.(ยังไม่ระบุวัน)

ดูตามกฎกติมารยาทของการเลือก สว.ชุดใหม่แล้ว ค่อนข้างจะสลับซับซ้อน และเปิดช่องให้มีการร้องเรียน ฟ้องร้องกันวุ่นวายเป็นแน่แท้ แต่สายข่าวใน กกต. ระบุว่า ยังไง ๆ ก็จะยึดหลักการเดียวกับตอนประกาศผลเลือก สส. คือ ประกาศไปก่อนสอยทีหลัง…จะไม่ให้ สว. ชุดปัจจุบันรักษาการนานเกินเดือนก.ค.

สอดคล้องกับสายข่าวจากพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งระบุว่า...นายใหญ่เล็งเป้าไว้แล้วว่าจะร่วมด้วยช่วยให้ดันให้ประกาศผลเร็ว ๆ จะได้เล็งเป้าทำแนวร่วมกับบรรดา สว.พันธุ์ใหม่ เอามาเป็นพวก...ไม่แต่เท่านั้นบางกระแสระบุว่า ‘นายใหญ่’ รู้และวางตัวไว้คร่าว ๆ แล้วว่า...ประธานสว.คนใหม่ เป็นใคร...รู้แล้วจะหนาว..!!

สายข่าวขอเวลาสุดสัปดาห์หน้าจะมาเฉลย เขาคือใคร...รักแล้วรอหน่อย..!!

‘กกต.’ เผยตัวเลขยอดผู้สมัคร ‘สว.’ ทั่วประเทศ 4 หมื่นกว่าคน วันสุดท้ายมีผู้สนใจสมัครมากที่สุด ‘ศรีสะเกษ’ ครองแชมป์สูงสุด

(25 พ.ค. 67) ยอดผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา 2567 หรือ สว. ตั้งแต่วันที่ 20-24 พ.ค.2567 รวม 5 วัน มีผู้สมัครรวม 48,117 คน โดยแบ่งเป็นวันแรกมีผู้สมัคร 4,642 คน วันที่สองมีผู้สมัคร 6,607 คน วันที่สามมีผู้สมัคร 9,434 คน วันที่สี่มีผู้สมัคร 13,486 คน และวันที่ห้ามีผู้สมัคร 13,948 คน   

จังหวัดที่มีผู้สมัครมากที่สุด คือจังหวัดศรีสะเกษ 2,764 คน อันดับที่สอง คือกรุงเทพมหานคร 2,489 คน อันดับที่สามเชียงใหม่ 2,000 คน อันดับที่สี่บุรีรัมย์ 1,836  คน และอันดับที่ห้านครศรีธรรมราช 1,798 คน  

ส่วนจังหวัดที่มีผู้สมัครน้อยที่สุด คือ จังหวัดน่าน 98 คน อันดับสอง ตาก 102 คน อันดับสาม สมุทรสงคราม 128 คน อันดับสี่ พังงา 134 คน และอันดับห้า อุตรดิตถ์และนครพนม จังหวัดละ 150 คน

ว่าที่ ส.ว. ‘นันทนา’ ข้องใจส.ว.ชุดเก่า ‘ขยันอะไรตอนนี้-ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ทำอะไร’  ชี้!! โดยมารยาท ควรหยุดทำงานได้แล้ว จี้ กกต.เร่งประกาศรับรองโดยเร็ว

(7 ก.ค.67) ที่อาคารบางซื่อจังชั่น รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่มีการประกาศรับรองส.ว.ชุดใหม่ ว่า กระบวนการเลือกและเสร็จสิ้นลงแล้ว พบว่ามีผู้ร้องคัดค้านค่อนข้างมากกับ แต่ว่าในการเลือกตั้งทุกครั้งจะพบว่าจะต้องมีผู้ร้องคัดค้าน แต่การร้องคัดค้านไม่ได้แปลว่าจะเป็นการล้มกระดานหรือโมฆะ เพราะฉะนั้นกกต.ก็ควรจะพิจารณาว่า การเลือกสิ้นสุดลงแล้ว มีผู้ผ่านการเลือกเข้ามาแล้วควรที่จะรับรองผู้ที่เข้ามาก่อน แล้วคนใดกรณีใดที่มีข้อสงสัยว่า มีการทุจริตในการเข้ามาแบบไม่ตรงกลุ่มอาชีพด้วยวิธีการใดๆ ตรงนี้กกต.สามารถที่จะแขวนเอาไว้ก่อน แต่ว่ากลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เข้ามาแบบปกติสุจริต ควรรับรองไปก่อน เพราะกระบวนการได้สิ้นสุดลงแล้ว และส.ว.ที่รักษาการอยู่ก็รักษาการมาพอสมควรแล้ว เราควรที่จะเปิดโอกาสให้คณะใหม่เข้ามา เรียกร้องไปยัง กกต.ควรที่จะรับรองไปก่อนแล้วก็สอยทีหลัง

“ไม่แน่ใจว่าส.ว.ชุดรักษาการจะเกิดมาขยันอะไรตอนนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้พบว่าทำอะไรสักเท่าไหร่ ตอนนี้น่าจะเปิดให้เป็นเวลาของส.ว.คณะใหม่เข้ามาได้แล้ว และโดยมารยาทการเลือกได้สิ้นสุดลงแล้ว หมดวาระหน้าที่ของส.ว.ชุดปัจจุบันแล้ว ควรจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว เป็นหน้าที่ของชุดใหม่ ” รศ.ดร.นันทนา กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีส.ว.ชุดรักษาการจะมีการนัดประชุมโดยพุ่งเป้าไปที่ส.ว.ชุดใหม่โดยตรงในเรื่องกระบวนการเลือก ส.ว. รศ.ดร.นันทนา กล่าวว่า กระบวนการเลือก ส.ว.ไม่ใช่เรื่องของส.ว.ชุดเก่า ถ้าบุคคลใดมีข้อสงสัยต้องการร้องคัดค้าน ก็ไปร้องคัดค้านที่กกต. ไปตรวจสอบกันตรงนั้น ไม่ใช่บทบาทของส.ว.เก่าที่จะมาตรวจสอบ ตนคิดว่าผิดช่องทาง ผิดภาระหน้าที่ ส.ว.ชุดเก่าควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว

‘กลุ่ม Clean Politic’ เดินหน้าฟ้อง ‘กกต.’ เอาผิดมาตรา 157 เหตุจัดการเลือกตั้ง ’สว.‘ มีมลทิน จ่อเอาใบแดงไปมอบให้พรุ่งนี้

(10 ก.ค.67) นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ เลขาธิการกลุ่ม Clean Politic เปิดเผยว่า ตนในฐานะอดีตผู้สมัคร สว.คนหนึ่ง และได้รับผลกระทบจากการจัดเลือก สว.ที่ผ่านมา เป็นการเลือกที่มีข้อครหามากมาย มีเรื่องร้องเรียนผ่าน กกต.กว่า 700 เรื่อง มีคนร้องเรียนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ตนเองไปร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้ไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองการรับรองผลการเลือกของ กกต.

“ถ้าพิจารณากันอย่างใช้สามัญสำนึกธรรมดา การเลือก สว.ครั้งนี้ ไม่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย ผมจึงเดินหน้าฟ้อง กกต.ฐานผิดมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

โดยในวันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. ตนจะเดินทางไปยังสำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ อาคาร B เพื่อเอาใบแดงไปมอบให้ กกต.พร้อมกับข้อเรียกร้องให้อดีตผู้สมัคร สว.ทั่วประเทศมอบใบแดงให้กับ กกต.ด้วยการเดินหน้าฟ้อง กกต.ตาม ม.157 เหตุจัดการเลือกตั้งมีมลทิน ในการลงสมัคร ผู้สมัครเชื่อว่า กกต.จะจัดการเลือกให้บริสุทธิ์ โปร่งใส เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย กกต.ก็เคยออกมาบอกว่ารู้ข้อมูลทุกอย่าง จ้องจะฟันโน้นฟันนี้ แต่สุดท้ายไร้น้ำยาเหมือนเดิม เหมือนการจัดเลือกตั้ง สส.คนรู้กันทั้งประเทศว่ามีการซื้อเสียงทุกหย่อมหญ้า แต่ กกต.ไร้น้ำยา ทำอะไรใครไม่ได้เลย ปล่อย สส.มีมลทินเข้าไปเต็มสภา

นายจาตุรันต์ กล่าวอีกว่า การเลือก สว.ก็เหมือนกัน สุดท้ายได้ สว.ที่หนีไม่พ้นบ่วงกรรมวงจรอุบาทว์จากการเมือง ได้คนที่เชื่อมโยงกับกลุ่มก้อนทางการเมือง บางคนก็ไม่ใช่ตัวแทนของกลุ่มอาชีพที่แท้จริง

“กกต.เองก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรเป็นอะไร การประชุมเพื่อพิจารณารับรองผลการเลือก สว.ถึงสองวัน จึงยังไม่กล้ามีมติออกมา ต้องให้ฝ่ายสำนักงานไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาชี้แจงอีก” นายจาตุรันต์ กล่าว

‘ดร.นิว’ ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของ ‘พรรคก้าวไกล’ ฟาด!! เล่นแง่กฎหมายไปเรื่อย ตีความเข้าข้างตัวเองได้ ในทุกกรณี

(4 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า …

ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของพรรคก้าวไกล

ข้อ 1. ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยยุบพรรคได้อย่างไรในเมื่อมีการบัญญัติไว้ใน พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ผ่านมาก็มีการยุบพรรคที่ทำผิดให้เห็นๆ กันอยู่ แล้วถ้าพรรคก้าวไกลทำผิด ทำไมจะยุบไม่ได้?

ข้อ 2. ถ้าคิดว่าคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พรรคก้าวไกลก็ต้องดำเนินการเอาผิดกับ กกต. ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถนำมาแถให้พรรคก้าวไกลพ้นผิดไปได้

ข้อ 3. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรและคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ก็มีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะสืบเนื่องมาจากการที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ก็แค่นำมาวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรยุบหรือไม่ ไม่ใช่ข้อหาที่แตกต่างกันตามที่พรรคก้าวไกลแถแบบโง่ๆ

ข้อ 4. เมื่อบุคคลทำเกินมติพรรคถ้าพรรคไม่ยอมรับก็ต้องจัดการแต่เนิ่นๆ ในทุกกรณี แต่ทว่าพรรคก้าวไกลกลับไม่เคยจัดการใดๆ การอภิปรายบิดเบือนให้ร้ายในสภาก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มี แถมพรรคก้าวไกลยังออกหน้าประกันตัว สส. ผู้กระทำผิด ม.112 อย่างชัดเจนอีกด้วย

ข้อ 5. พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ถือหลักป้องปรามในการยุบพรรค พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองอย่างชัดเจนก็อาจเข้าข่ายโดนยุบพรรคเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคก้าวไกลยุยงปลุกปั่นมวลชนหรือใช้กำลังในการล้มล้างเสียก่อน

ข้อ 6. ยุบหรือไม่ยุบเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่ผู้วินิจฉัยเท่านั้น ส่วนจะสมควรแก่เหตุหรือไม่ก็เป็นดุลพินิจของศาล หากมองว่าการที่พรรคก้าวไกลสร้างความแตกแยกทางความคิดชี้นำไปสู่บั้นปลายของการล้มล้างซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงและการสูญเสีย เพียงแต่ยังไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเท่านั้น การยุบพรรคก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยกว่าเหตุ เพื่อยับยั้งความรุนแรงก่อนที่อนาธิปไตยจะเกิดขึ้นมาทำลายประชาธิปไตย

ข้อ 7-9. พรรคก้าวไกลเล่นแง่แถกฎหมายไปเรื่อย เพราะถ้าคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สิทธิในการเพิกถอนสิทธิจริงก็ควรจบตั้งแต่ข้อ 7. ไม่ใช่แถไปจนถึงข้อ 9. ในลักษณะต่อรองเป็นขั้นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่รู้กฎหมายจริง หากแต่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองสุดๆ ในทุกกรณี

ดังนั้น หากดูเพียงผิวเผินด้วยความไม่รู้กฎหมายก็อาจมองว่าพรรคก้าวไกลเก่งฉกาจที่สามารถยกข้อต่อสู้ทางกฎหมายขึ้นมาได้ถึง 9 ข้อ แต่ทว่าความเป็นจริง พรรคก้าวไกลก็แค่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองแบบเด็กเอาแต่ใจ ไร้วุฒิภาวะ ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการและความเป็นจริงแต่อย่างใด

ดร.ศุภณัฐ

4 สิงหาคม พ.ศ. 2567

‘หมอวรงค์’ เดินหน้าเสนอให้ยุบ ‘พรรคประชาชน’ หลังพบหลักฐานสำคัญ ชี้!! ‘ถิ่นกาขาว’ มีสาขาไม่ครบ เป็นพรรคที่สิ้นสภาพ เอามาดำเนินการไม่ได้

(11 ส.ค. 67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า ... 

#ทำไมต้องเสนอยุบพรรคประชาชน

ตามที่สื่อเสนอข่าวว่า พรรคประชาชนเกิดจาก การที่นำพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มาเปลี่ยนชื่อพรรค เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นสถาบันสำคัญ ของระบอบประชาธิปไตย ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้

จากการตรวจสอบผ่านเว็บกกต. พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคต้นกำเนิด ของพรรคประชาชน มีสาขาพรรค3สาขา ภาคเหนือ 2สาขา และภาคกลาง 1 สาขา ไม่มีสาขาภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

กฎหมายพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพ ถ้ามีสาขาพรรคการเมือง เหลือไม่ถึงภาคละ1สาขา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน1ปี นั่นหมายความว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ต้องมีสาขาครบทั้ง4ภาค ห้ามขาดหายไปติดต่อกัน1ปี ถ้าไม่ครบพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลต้องสิ้นสภาพ

ข้อมูลหน้าเว็บกกต. พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มีสาขาพรรคเพียงแค่ 2ภาค ซึ่งไม่ครบ4ภาค และจัดตั้งตั้งแต่ปี 2555 เพื่อความโปร่งใส กกต.ต้องตรวจสอบและชี้แจง ให้ประชาชนได้รับทราบ รายละเอียดการมีสาขาในแต่ละปี

ถ้าพรรคถิ่นกาขาวมีสาขาไม่ครบ4ภาค ติดต่อกัน1ปี จะเข้าข่ายการสิ้นสภาพของพรรคตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าพรรคประชาชน จะไม่สามารถนำพรรคที่สิ้นสภาพ มาดำเนินการเปลี่ยนชื่อพรรคได้

พรรคไทยภักดีจะไปยื่นเรื่องดังกล่าว ให้กกต.ตรวจสอบ และดำเนินการต่อไปให้เป็นไปตามกฎหมาย

‘เทพไท’ จี้!! กกต.คุม ‘ทักษิณ’ ด่วน ชี้!! ปราศรัย ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

(12 ม.ค. 68)  นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เทพไท – คุยการเมือง’ ว่า กกต.จัดระเบียบ ‘ทักษิณ’ ด่วน

ผมได้เห็นกำหนดการเดินสายปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร ลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 18-20 ม.ค.68 ที่จังหวัดนครพนม บึงกาฬ หนองคาย และมหาสารคาม จากนั้นวันที่ 24-25 ม.ค.68 จะเดินทางไปจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อหาเสียงให้ผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยนั้น

ในความเป็นจริงนายทักษิณไม่ได้มีเป้าหมายหลักในการหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกอบจ. แต่ต้องการใช้เวทีหาเสียงการเมืองท้องถิ่น เพื่อขยายผลไปยังการเมืองระดับชาติ โดยนายทักษิณจะขึ้นปราศรัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรัฐบาล ทั้งที่ตัวนายทักษิณไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่อย่างใด กลับประกาศนโยบายและแผนงานที่จะทำของรัฐบาล จนอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของตัวผู้สมัครได้

ผมได้ติดตามการปราศรัยบนเวทีนายกอบจ.3แห่ง คือ ที่จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี และเชียงราย นายทักษิณจะใช้เวลาหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกอบจ. ใช้เวลาเพียง 5 นาที นอกจากนั้นก็จะปราศรัยในประเด็นการเมืองอื่นๆ พาดพิงไปทุกภาคส่วน จนเป็นประเด็นร้อน จนสื่อต้องนำไปขยายผล และผู้ที่ถูกพาดพิงก็ใช้สิทธิ์ตอบโต้ มีการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นของคุณหาเสียงทักษิณหาเสียงอยู่หลายวัน ทำให้กระแสของนายทักษิณอยู่ในหน้าสื่อตลอดเวลา ประสบความสำเร็จตามแผนการโฆษณาทางการเมืองที่วางไว้

สิ่งที่นายทักษิณปราศรัยหมิ่นแหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในฐานะผู้ช่วยผู้หาเสียง ซึ่งเรื่องนี้นายอิทธิพล บุญประคอง ประธานคณกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาแสดงความเห็นในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่ฟันธงว่า นายทักษิณทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ อยากให้กกต.ได้เร่งสรุปการปราศรัยหาเสียงของนายทักษิณว่า ฝ่าฝืนหรือผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่ เพื่อจะไม่ให้เป็นประเด็นข้อกฎหมายต่อไป เพราะการหาเสียงของนายทักษิณ ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในระหว่างผู้สมัครด้วยกัน

ถ้ากกต.ยังปล่อยให้นายทักษิณปราศรัยหมิ่นแหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายเช่นนี้ และไปสรุปหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ก็อาจจะช้าเกินไป จนอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และจัดเลือกตั้งใหม่ ซึ่งทำให้ผู้สมัครนายกอบจ.หลายคนเสียโอกาส และเสียงบประมาณของราชการโดยไม่จำเป็น

อยาดขอความชัดเจนจากกกต.ออกมาความระเบียบ และกำชับให้นายทักษิณปฏิบัติตามกฏหมายเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด กล้าๆหน่อย อย่าเกรงกลัว เกรงใจคนทำผิดกฏหมายอีกเลย

กกต.ตรวจสอบ 'มาดามหน่อย' ผู้สมัครนายก อบจ. เบอร์ 2 ส่อฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง หลังโอนงบ 23 ล้านก่อนลาออก

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมโรงแรมเซ็นทาราโคราช อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "สร้างผู้ปฏิบัติงานการเลือกตั้งมืออาชีพ" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีตัวแทนประชาชนระดับอำเภอจากทั่วทั้งจังหวัดรวมกว่า 1,200 คน เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ นายไพฑูรย์ ถนัดหมอ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ได้กล่าวถึงความสำคัญของการทำงานอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมในการเลือกตั้ง  

นายไพฑูรย์ ยังเปิดเผยถึงการตรวจสอบกรณี นางยลดา หวังศุภกิจโกศล หรือ “มาดามหน่อย” ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา หมายเลข 2 ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการกระทำที่อาจขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หลังจากมีรายงานว่า ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายก อบจ. ได้เสนอญัตติการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อซื้อครุภัณฑ์ใหม่แทนของเก่าที่ชำรุด โดยรายการโอนงบประมาณดังกล่าวรวมเป็นเงินกว่า 23 ล้านบาท ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสมาชิก อบจ. 36 คน จากทั้งหมด 39 คน  

อย่างไรก็ตาม การอนุมัติในช่วงเวลา 90 วันก่อนที่นางยลดาจะยื่นลาออกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 65 ของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2566 โดยกฎหมายดังกล่าวระบุห้ามกระทำการใดๆ ที่อาจเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้โทษตามกฎหมายดังกล่าวระบุไว้ในมาตรา 126  

ปัจจุบัน การตรวจสอบยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของนางยลดา และสมาชิก อบจ. ที่ร่วมเห็นชอบการอนุมัติครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมหรือสนับสนุนการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ โดยจะพิจารณาในแต่ละกรณีอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป 

เลขา กกต. แจงปมจัดเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 68 อ้างต้องทำให้เสร็จภายใน 45 วัน ทั้งที่ 2 ก.พ. ยังอยู่ในกรอบเวลา

(21 ม.ค. 68) ขอเหตุผลที่ดีของ กกต.ในการจัดเลือกตั้ง อบจ.วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์

ที่ประชุมวุฒิสภาสอบถามสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า ทำไมจัดการเลือกตั้งนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ มั้ง ๆ ที่ก่อนหน้ามีการคาดการณ์กันว่า น่าจะเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ และที่ผ่านมาก็จัดเลือกตั้งวันอาทิตย์มาโดยตลอดหลายสิบปีมาแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

ตามกฎหมายเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่นกำหนดไว้ว่า ถ้าลาออก หรือพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุใดก็ตามเว้นหมดวาระ ให้เลือกตั้งใน 60 วัน

แต่ถ้าอยู่จนครบวาระ จะต้องเลือกตั้งใน 45 วัน นายกฯอบจ.และ ส.อบจ.ที่กำลังจะเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือชุดที่อยู่จนครบวาระ 4 ปี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา

แสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต.อธิบายต่อที่ประชุมวุฒิสภาเพียงสั้นๆว่า

“การเลือกตั้ง 1 ก.พ. นั้น กกต.มีหน้าที่รักษากระบวนการเลือกตั้งให้สำเร็จ หากเกินจากนั้นเวลาที่กฎหมายกำหนด อาจมีคนไปร้องและทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ดังนั้นต้องรักษากระบวนการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ตนเข้าใจคนที่ลงแข่งขันอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่กกต.ต้องรักษาระบบ” นายแสวง ชี้แจง

นายกฯอบจ. และ ส.อบจ.ชุดที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่หมดวาระ 19 ธันวาคม นับไป 45 วัน เดือนธันวาคม 11 วัน คือตั้งแต่ 20 ธันวาคม ถึง 31 ธันวาคม เป็น 11 วัน เดือนมกราคม 31 วัน ถ้าเลือกตั้ง 1 กุมภาพันธ์ เท่ากับ 43 วัน ถ้าเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เท่ากับ 44 วัน ยังงัยก็ไม่เกิน 45 วัน

ก็ไม่เข้าใจว่า นายแสวง บุญมี เอาตรรกะอะไรมาอธิบายว่า ต้องรักษากระบวนการเลือกตั้งให้แล้วสำเร็จ คืออะไร หมายถึงอะไร จริงๆ กกต.นอกจากต้องจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จแล้ว กกต.ยังมีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย

แต่การเลือกตั้งที่ผ่านมา เต็มไปด้วยข้อครหาทุจริตการเลือกตั้ง มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งทุกระดับที่ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้ง แม้กระทั่งการเลือก สว.ครั้งที่ผ่านมา ยังมีเรื่องร้องเรียน ฟ้องศาลกันเต็มไปหมดเป็น 100 เรื่อง และถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ยุบทิ้ง กกต.ก็มี

อยากจะถามไปยังเลขาฯ กกต.และคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า การกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานอะไร เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร กลัวคนไปร้องเรียนเรื่องอะไร

ส่วนตัวผมเองฟังแสวงอธิบายต่อ สว.แล้วไม่เข้าใจ เพราะอย่าลืมว่า วันเสาร์ผู้มีสิทธิ์บางคนทำงาน อาจไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อันเป็นการทำให้คนเสียสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

หาเหตุผลใหม่มาอธิบายเถอะ เหตุผลที่อธิบายสั้นๆ มันฟังไม่ขึ้น อย่าแถไปข้างๆคูๆเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top