Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48796 ที่เกี่ยวข้อง

ผบ.ตร.สั่งดำเนินคดี - ฟันวินัยเด็ดขาด ด.ต.หัวร้อน ภ.2 แจ้งข้อหาหนัก ชื่นชม “รองสารวัตร” เข้าระงับเหตุรวดเร็ว กล้าหาญ

(25 มี.ค. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า จากกรณี ด.ต.กิตติศักดิ์ ฯ  สังกัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับอดีตแฟนสาว และทำร้ายตำรวจสายตรวจ สภ.สัตหีบ ที่เข้าไประงับเหตุ จนทำให้ ร.ต.ต.พาสกร ภาชูระเบียบนา รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจตู้ยามเตาถ่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส นั้น ได้รายงาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทราบ ซึ่ง ผบ.ตร. ได้กำชับให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา พร้อมกำชับให้ดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา พร้อมกำชับให้ดำเนินการทางวินัยอย่างเฉียบขาดด้วย

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีว่า หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.คมสรร คำตุ่นแก้ว ผกก.สภ.สัตหีบ ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนเร่งคุมตัวผู้ก่อเหตุ กระทั่งเวลา 05.00 น. ด.ต.กิตติศักดิ์ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ จึงได้ทำการสอบสวนเบื้องต้น ดำเนินคดีข้อหา “เข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข โดยใช้กำลังประทุษร้าย ในเวลากลางคืน, ทำให้เสียทรัพย์, ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส” โดยตนกำชับให้ดำเนินคดีอย่างรอบคอบ ย้ำว่าแม้เป็นตำรวจก็ไม่มีการช่วยเหลือกัน ยิ่งเป็นตำรวจแล้วทำผิดเสียเองต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ส่วนการดำเนินการทางวินัย เป็นเรื่องของหน่วยต้นสังกัดที่จะดำเนินการต่อไป
 
ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ต้องชื่นชม ร.ต.ต.พาสกร ที่เข้าระงับเหตุอย่างทันท่วงที โดยวันนี้ได้ มอบหมายให้  พ.ต.อ.อรรถพล  พงษ์สุพรรณ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบรี เป็นผู้แทนมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุน Police Award และมอบกระเช้าเยี่ยมไข้เป็นการให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และขอให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยไว 

“ชื่นชมในการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เข้าไปช่วยเหลือแก้ปัญหา ระงับเหตุความเดือดร้อนของประชาชนอย่างรวดเร็ว ด้วยความกล้าหาญ แม้ว่าตัวเองจะเสี่ยงอันตราย และจากนี้กำชับให้ตำรวจสายตรวจเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าระงับเหตุ โดยเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย” ผบช.ภ.2 กล่าว

โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2568

(26 มี.ค. 68) ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตในประเด็นที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงนั้น พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า การออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่มีผลใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้มาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งฉบับใหม่ ยังคงหลักการและอัตราเงินประจำตำแหน่งไว้เช่นเดิม ไม่มีการปรับเพิ่มค่าตอบแทนแต่อย่างใด โดยมีเพียงการแก้ไขรายละเอียดให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายตำรวจฉบับใหม่ เช่น การปรับชื่อตำแหน่งให้ตรงตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย การเพิ่มสายงานวิชาชีพด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุมวิชาชีพเฉพาะด้าน เช่น กายอุปกรณ์ แพทย์แผนไทย เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก ตลอดจนการปรับลักษณะงานของตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญให้สอดคล้องกับการจัดกลุ่มสายงานในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดสิทธิในการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทบริหารให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งในสถาบันการศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จัดการศึกษาระดับปริญญา โดยไม่ตัดสิทธิการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่ใช้กับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและข้าราชการทหาร

การออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จึงมิใช่การปรับเพิ่มเงินประจำตำแหน่งให้แก่ผู้บริหารระดับสูงตามที่บางกระแสเข้าใจ แต่เป็นการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้

พล.ต.ท.อาชยน ฯ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการอย่างแท้จริง และมีนโยบายในการดูแลสวัสดิการของตำรวจทุกระดับ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นธรรมเป็นหลัก พร้อมกล่าวย้ำว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นในการบริหารงานอย่างโปร่งใส และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานของตำรวจตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนได้อย่างดีที่สุด”

จเรตำรวจแห่งชาติประชุมผู้แทนทูตนานาประเทศ ขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ 

(26 มี.ค.68) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการ ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ (International Coordination Center for the Anti-Cyber Crime and Human Trafficking Task Force) โดยมีผู้แทนผู้ช่วยทูตตำรวจ และนายตำรวจประสานงานจากนานาชาติที่ประจำอยู่ในประเทศไทย จาก 14 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บังกลาเทศ แทนซาเนีย อิตาลี เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ลาว เคนยา จีน อินเดีย รัสเซีย มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

การประชุมครั้งนี้เพื่อติดตามภาพรวมสถานการณ์ กำหนดช่องทางการประสานงานในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ตลอดจนติดตามขยายผลการสืบสวนสอบสวนจากนานาชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยหารือในเรื่องกลไกการดำเนินงานร่วมกัน การทบทวนและปรับปรุงกลไกการส่งตัวผู้กระทำความผิดกลับประเทศให้เหมาะสม โดยเน้นที่การต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ การแบ่งปันข้อมูล และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไทยมีการยกระดับมาตรการเข้มงวดชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่านเข้า-ออกประเทศเพื่อนบ้าน ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกันนี้ขอความร่วมมือจากสถานทูตประเทศต่าง ๆ ในการแจ้งประกาศคำเตือนจากรัฐบาลไทย รวมถึงให้บริการล่ามเมื่อได้รับการร้องขอ ที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือการประสานข้อมูลผลจากการสอบสวนผู้ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศ เพื่อประโยชน์ในการคัดแยกเหยื่อและผู้กระทำความผิด รวมทั้งการแบ่งปันข้อมูลจากประเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาจหลบหนีกบดานในไทย และหากมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอให้ประสานข้อมูลให้ทราบ เพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำการสอบสวนและดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด

หน่วยฝึกนาวิกโยธิน ฝึกผสม ทร.ไทย - ทร.สปจ. BLUE STRIKE 2025 ณ เมืองจ้านเจี้ยง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 

(25 มี.ค.68) หน่วยฝึกนาวิกโยธิน ที่เข้าร่วมการฝึกผสม ทร.ไทย - ทร.สปจ. (BLUE STRIKE 2025) ณ เมืองจ้านเจี้ยง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 

ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลจาก ร.ล.อ่างทอง ณ ท่าเรือ หม่าเสี่ย เมืองจ้านเจียง ไปยังค่ายหนานถิง เมืองจ้านเจียง โดยมีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ เป็นกันเอง ในการนี้ การฝึกผสมฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ระหว่างหน่วยทหารนาวิกโยธิน ทั้ง 2 ประเทศ และเน้นการฝึกทางด้านองค์บุคคล องค์ยุทธวิธี และความรู้ที่ได้รับจะนำไปพัฒนาขีดความสามารถ เพิ่มทักษะให้กับทหารนาวิกโยธิน ต่อไป 

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

#กองทัพเรือ
#นาวิกโยธิน 
#กองพลนาวิกโยธิน
#กองพันรถถังกองพลนาวิกโยธิน
#BLUESTRIKE2025
#เมื่อรบต้องชนะ
#นำดีตามดี
#SmartMarines
#จงรักภักดี_รู้หน้าที่_มีวินัย
#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE

”พลโท ชนินทร์“ ติวเข้มเครือข่ายเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายที่ภูเก็ต มุ่งสร้างตาสับปะรดของชุมชน

(27 มี.ค. 68) ที่จังหวัดภูเก็ต -พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการ ศปป.3 กอ.รมน. เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนการก่อการร้าย” โดยมีเจ้าหน้าที่สนามบิน ภาคประชาชน และหน่วยงานความมั่นคง เข้าร่วมอบรม

การอบรมครั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยคุกคามสมัยใหม่ ทั้งการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะสำคัญ ประกอบด้วย การจดจำใบหน้าบุคคลต้องสงสัย การเอาตัวรอดจากสถานการณ์ก่อการร้าย

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ ศปป.3 กอ.รมน. เดินหน้าเสริมพลังเครือข่ายประชาชน โดยจัดกิจกรรมอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยการก่อการร้ายที่ จ.ภูเก็ต มุ่งสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” ให้รู้เท่าทันภัยก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย และเอาตัวรอดจากเหตุร้าย ในการเสริมสร้าง เครือข่ายภาคประชาชน เพื่อเฝ้าระวังภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีทั้งสนามบินนานาชาติ ท่าเรือ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และชุมชนที่มีความหลากหลาย

ทั้งนี้ ศปป.3 มีแผนจะขยายกิจกรรมลักษณะนี้ไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศ โดยจะเน้นพื้นที่เป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น จังหวัดชายแดน พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศมีบทบาทร่วมในการดูแลความมั่นคงร่วมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเราเชื่อว่า พลังของประชาชน คือแนวป้องกันประเทศที่เข้มแข็งที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top