Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48889 ที่เกี่ยวข้อง

ทหารพม่าบุกเผาชุมชนสิงขร อ้างกะเหรี่ยงหลบซ่อน ชาวบ้านร่ำไห้ลี้ภัยหลบเข้ามาพึ่งญาติฝั่งไทย

(18 ก.พ. 68) ทหารเมียนมาบุกเผาทำลายบ้านเรือนหลายหลังในหมู่บ้านสิงขร เขตตะนาวศรี ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยพลัดถิ่นต้องอพยพหนีตาย บางส่วนลี้ภัยเข้ามาฝั่งไทยอย่างหวาดกลัว ขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทหารเมียนมาเชื่อว่าหมู่บ้านสิงขรเป็นที่หลบซ่อนของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU และกองกำลังประชาชน PDF ก่อนหน้านี้เพียงสามวัน ทหารเมียนมาได้บุกโจมตีและเผาทำลายบ้านเรือนไปแล้ว 4-5 หลัง พร้อมใช้โดรนและเครื่องบินโจมตี ส่งผลให้วัดสิงขรวราราม ซึ่งเป็นวัดไทยโบราณในพื้นที่ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า “ทหารเมียนมาบุกเข้ามาตั้งแต่ช่วงเช้า เผาบ้านหลายหลังจนชาวบ้านต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด โชคดีที่พระและชาวบ้านบางส่วนหลบหนีออกมาได้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างไร้ที่อยู่อาศัย”

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวไทยพลัดถิ่นกว่า 100 ครอบครัวจำเป็นต้องละทิ้งบ้านเรือนของตน หลายคนพยายามลี้ภัยเข้ามายังฝั่งไทยผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน เนื่องจากไม่มีเอกสารที่สามารถยืนยันสถานะทางกฎหมายในประเทศไทยได้ หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบก็อาจถูกจับกุมและส่งกลับไปยังเมียนมา ซึ่งสถานการณ์ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

“พวกเขาไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร และเด็กๆ ก็นอนไม่ได้เรียนหนังสือ ทุกคนกอดคอกันร้องไห้เมื่อเห็นภาพบ้านของตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่าน” แหล่งข่าวกล่าวเสริม

หมู่บ้านสิงขรเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามมาก่อน แต่ต้องสูญเสียให้แก่อังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ปัจจุบันแม้ดินแดนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมียนมา แต่คนไทยในหมู่บ้านยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาไทยไว้อย่างเหนียวแน่น วัดสิงขรวรารามเป็นศูนย์กลางของชุมชนและเป็นหลักฐานของรากเหง้าไทยในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มต่อต้านทำให้ชาวบ้านต้องตกอยู่ในความเสี่ยง แม้พวกเขาจะพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลูกหลงจากสงครามได้

ขณะที่สถานการณ์ยังคงเลวร้าย ไม่มีรายงานว่ารัฐบาลไทยได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือชาวไทยพลัดถิ่นในพื้นที่ดังกล่าว มีเพียงกองกำลังทหารของไทยที่รับทราบสถานการณ์เท่านั้น

“คนไทยที่นี่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนต่างแดน พวกเขายังมีญาติพี่น้องในไทย มีสายเลือดและวัฒนธรรมร่วมกัน ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลไทยจะเข้ามาช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองคนไทยที่ถูกลืมเหล่านี้” แหล่งข่าวตั้งคำถาม

สถานการณ์ในหมู่บ้านสิงขรสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของชาวไทยพลัดถิ่นที่ยังคงยึดมั่นในอัตลักษณ์ของตนเอง แต่กลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไร้ที่พึ่ง การช่วยเหลือจากภาครัฐจะเป็นความหวังเดียวที่พวกเขามี เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง

‘ชาวเน็ต’ เปิดข้อมูลแจงปมชาวอิสราเอล 31,735 คน ยึด 'ปาย' ชี้ เป็นตัวเลข นทท.ตลอดทั้งปี 67 ส่วนที่ยังมีอยู่มีเพียง 1,800 เท่านั้น

(18 ก.พ. 68) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Nitipat Bhandhumachinda ว่า ตามกระแสข่าวที่ว่ามีชาวอิสราเอลมาพำนักกันอยู่ที่อำเภอปาย ที่ว่ากันว่ามีจำนวนถึงสามหมื่นกว่าคน จนสร้างความหวาดกลัวกันในสังคมไทยนั้น

ตัวเลขดังกล่าวจริงๆ แล้ว เป็นตัวเลขผู้มาท่องเที่ยวชาวอิสราเอลทั้งหมด ตลอดปี พ.ศ. 2567 ซึ่งเดินทางมาพักเที่ยวเมืองปาย เป็นจำนวนทั้งสิ้น 31,735 คน 

ซึ่งก็หมายความว่า เมืองปายเป็นที่เที่ยวยอดฮิตของชาวอิสราเอลจริง

แต่ไม่ได้หมายความว่า ณ ปัจจุบัน มีคนอิสราเอลอาศัยกันเต็มเมืองปาย ร่วม ๆ สามหมื่นกว่าคนอย่างที่เข้าใจ

เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นการมาเที่ยวแล้วก็เดินทางกลับภูมิลำเนาบ้านเขาตามเดิม และเท่าที่ทราบนั้น มีชาวอิสราเอลขอพำนักชั่วคราวที่ อำเภอปาย ณ วันนี้จำนวนทั้งสิ้น 1,857 ราย และมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเดินทางมาเที่ยวไปกลับเหมือนนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจำนวนทั้งสิ้น 4,446 คน

และที่มีพวกเกเรเกตุงสร้างความวุ่นวาย จนโดนไล่กลับประเทศนั้นก็เป็นเรื่องจริง

แต่จะเอารูปถ่ายการร่วมพิธีกรรมทางศาสนาของเขา ซึ่งน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องใดๆ กับพฤติกรรมเกเรเหล่านั้น ผมก็มองว่าเป็นการตั้งแง่ ด้วยการเจาะจงที่เชื้อชาติของเขาแบบเหมารวมอย่างไม่ยุติธรรมนัก

ที่นำมาเล่าก็ด้วยเห็นเพื่อนๆ หวั่นวิตกกันมาก ก็เลยไปหาข้อเท็จจริง มาอธิบายให้ฟัง

ก็น่าจะเฝ้าสังเกตสักนิดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นไร เพราะเหมือนเขาจะชื่นชมการมาเที่ยวเมืองปายกันมาก

แต่ก็ไม่ควรจะไปตื่นตระหนกจนเกินเหตุไปจากเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ นะครับ

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่พัทลุง-สงขลา เร่งแก้ปัญหาน้ำ ‘ทะเลน้อย’ พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนพัฒนาท่องเที่ยว - การค้า - การลงทุน

เมื่อวันที่(17 ก.พ. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.พัทลุง เพื่อเตรียมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568 ที่จังหวัดสงขลาในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เพื่อผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยในช่วงเช้า นายพีระพันธุ์ได้เดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดพัทลุง และได้ต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาบริเวณ “ทะเลน้อย” ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศไทยและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดพัทลุง 

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า  จากตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำบริเวณ “ทะเลน้อย” ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับน้ำจากจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราชเพื่อระบายออกไปยังทะเลสาบสงขลานั้น พบว่าปัจจุบันทะเลน้อยอยู่ในสภาพตื้นเขิน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยวัชพืชน้ำ ผักตบชวา จอก แหน ทําให้เกิดน้ำท่วมขัง ระบายน้ำได้ช้า เรือกสวนไร่นาของพี่น้องประชาชนเกิดความเสียหาย   ตนในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบไปด้วย ชุมพร สุราษฎร์ นคร พัทลุง สงขลา ก็รับแนวทางมาเพื่อที่จะดําเนินการแก้ไปปัญหาต่อไป  โดยเบื้องต้นได้ให้จัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือสําหรับเก็บกวาดวัชพืชน้ำ เพื่อนำไปต่อยอดทําเป็นปุ๋ยให้กับชาวบ้าน  และจะมีการขุดลอกพื้นที่เพื่อปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมต่อไป รวมไปถึงการส่งเสริมการเลี้ยง “ควายน้ำ” ซึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลน้อยตามความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

จากนั้น  นายพีระพันธุ์ได้เดินทางไปประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สุราษฎร์ธานี สงขลา ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง)  หรือ กรอ.  ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในการพัฒนาพื้นที่สําหรับการแก้ไขปัญหาบูรณาการในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่องเที่ยว การค้า การลงทุน

“ผมดีใจที่มีน้อง ๆ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม และได้นำเสนอแนวความคิดดี ๆ ในการพัฒนาพื้นที่ ผมจึงมอบหมายให้ทางสภาอุตสาหกรรมจังหวัด หรือหอการค้า ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ ช่วยกันทำงานกับน้อง ๆ รุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพื้นที่  และให้ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นทางจังหวัด หรือ ทางสภาพัฒน์ฯ ช่วยกันสนับสนุนส่งเสริมและดูแลให้โครงการต่าง ๆ ในการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้บางส่วนที่สามารถนําเข้า ครม. ได้ ก็จะนำเข้าสู่การประชุม ครม. สัญจรในวันพรุ่งนี้  ซึ่งผมจะเรียนให้ทราบความคืบหน้าต่อไปครับ” นายพีระพันธุ์กล่าว

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #2 ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีสารที่เป็นพิษ ส่งผลทำให้เสพติด และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

(18 ก.พ. 68) บทความ “E-cigarettes contain hazardous substances, addictive and harmful” โดย ดร. Jos Vandelaer ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย ได้สรุปถึงพิษภัยของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เอาไว้ดังนี้

ข้อเท็จจริง 5 ประการของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’
1. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ปลอดภัย! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ยังคงเป็นบุหรี่ แม้ว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่มีส่วนผสมของยาสูบ แต่ยังมีนิโคตินและสารเคมี สารเติมแต่ง และสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นสารเคมีชนิดใดบ้าง และเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สารเคมีชนิดต่าง ๆ เหล่านั้น มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งกลับสูดดมเข้าไป ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อาจดูไม่เป็นอันตราย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เมื่อเราใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เราได้สูดดมไอระเหยที่มีพิษ เป็นไอระเหยที่มีอนุภาคและสารเคมีที่เข้าสู่ทางเดินหายใจที่เล็กที่สุด และร่างกายสามารถดูดซึมเข้าไปได้ สารเคมี สารเติมแต่ง และนิโคตินนั้นล้วนแต่เป็นพิษและเป็นอันตราย ไม่เพียงแต่สำหรับผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อื่นด้วย เนื่องจากพวกเขาสามารถสูดดมไอระเหยได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่มือสอง 

ตัวอย่าง : ในสหรัฐอเมริกา มีหลักฐานที่บันทึกไว้ว่าเกิดการระบาดของอาการป่วยที่ปอดและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ยืนยันกรณีการบาดเจ็บที่ปอดที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) จำนวน 2,807 กรณี และเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าว 68 ราย

2. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีนิโคติน นิโคตินเป็นสารหลักในบุหรี่ทั่วไปและ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และเป็นสารที่เสพติดได้ง่าย ทำให้อยากสูบบุหรี่และทำให้มีอาการหงุดหงิดหากเพิกเฉยต่อความอยาก นิโคตินเป็นสารพิษ ซึ่งจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหัวใจวาย การบริโภคนิโคตินในเด็กและวัยรุ่นมีผลกระทบสำคัญต่อการพัฒนาสมองและอาจนำไปสู่ความผิดปกติของการเรียนรู้และความวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะของอุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ การได้รับนิโคตินในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน นิโคตินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้อีกด้วย ดังนั้น นิโคตินจึงไม่เพียงแต่ทำให้เสพติดเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอีกด้วย และนิโคตินเป็นส่วนประกอบหลักของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’

3. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ทำให้เสพติดได้เช่นเดียวกับบุหรี่ยาสูบแบบดั้งเดิม เนื่องจากทั้ง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และบุหรี่ยาสูบต่างก็มีนิโคติน บุหรี่ทั้งสองชนิดจึงทำให้ผู้สูบเสพติดได้ ดังนั้น การใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เพื่อเลิกบุหรี่ยาสูบ จึงไม่ใช่ความคิดที่ดี เนื่องจากบุหรี่ทั้งสองชนิดมีสารเติมแต่งชนิดเดียวกัน คือ นิโคติน ผู้สูบบุหรี่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีในการรับสารที่มีพิษแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น และดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ จึงไม่ใช่ทางเลือกในการเลิกบุหรี่ยาสูบที่ปลอดภัย แคมเปญต่อต้านบุหรี่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมากในการโน้มน้าวให้ผู้คนเลิกบุหรี่ แต่ปัจจุบัน ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มักได้รับการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ "ลดความเสี่ยง" "ปลอดบุหรี่" และ "เป็นที่ยอมรับในสังคม" โดยใช้ความรู้สึกในลักษณะ "เท่" ทำการตลาด แต่ความเป็นจริงแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ได้ "เท่" แต่อย่างใด เพราะยังคงทำให้เสพติดได้ ไม่ดีต่อสุขภาพ และทำให้เกิดการสูบบุหรี่มือสอง ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะทำให้การสูบบุหรี่เป็นเรื่องปกติอีกครั้ง และกระตุ้นให้ผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ทำให้เสพติดได้ในระยะยาว

4. คนรุ่นใหม่กำลังติด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้เปิดตัวแคมเปญการตลาดที่เข้มข้นมูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นที่โซเชียลมีเดีย คอนเสิร์ต และงานกีฬาเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสูบบุหรี่ที่อันตราย โปรดอย่าลืมว่า ยาสูบคร่าชีวิตผู้คนไป 8 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สื่อต่าง ๆ สามารถช่วยเปิดโปงกลวิธีเหล่านี้ได้ กลวิธีที่พยายามทำให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะเยาวชน และพยายามโน้มน้าวพวกเขาว่า หากต้องการ “เท่” ก็ต้องสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เช่นเดียวกับที่อุตสาหกรรมยาสูบทำเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน สื่อสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับอันตรายของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้ จากการสำรวจสุขภาพนักเรียนในโรงเรียนทั่วโลกในประเทศไทย พบว่าการใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในหมู่เด็กนักเรียนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จาก 3.3% ในปี 2015 เป็น 8.1% ในปี 2021 โดยเป็นในกลุ่มเด็กอายุ 13 - 15 ปี! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เป็นภัยคุกคามต่อความพยายามควบคุมยาสูบของประเทศไทย และสามารถพลิกกลับความสำเร็จที่ได้รับจากการควบคุมยาสูบมาหลายทศวรรษ ไม่เพียงแต่เด็กที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะติดนิโคตินเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าในอนาคตอีกด้วย

5. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้องได้รับการควบคุม ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามจำหน่ายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศไทย ในประเทศอื่นๆ บุหรี่ไฟฟ้าถูกควบคุมในฐานะสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์ยาสูบ หรือสินค้าประเภทอื่นๆ หรือไม่ได้รับการควบคุมเลย ในขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการขายออนไลน์และช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ และต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อตอกย้ำว่า มีกฎหมายอยู่จริง การผ่อนปรนไม่ได้ช่วยให้การห้าม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไปได้ถึงไหน

องค์การอนามัยโลกสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการห้ามนำเข้าหรือจำหน่าย ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อย่างแข็งขัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของประเทศไทยที่จะปกป้องประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนจากอันตรายของการใช้ยาสูบ ตลอดจนปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก และองค์การอนามัยโลกยังคงมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามของประเทศไทยในการยับยั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท และปกป้องคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตจากการใช้ยาสูบและโรคไม่ติดต่ออื่น ๆ

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ

พยาบาลสาวถูกญาติคนไข้ตบ ยัน ไม่ยอมความจะเอาเรื่องถึงที่สุด หลังผู้ก่อเหตุเย้ยบนโรงพัก “พลาดที่ทำในเวลาทำการ”

(18 ก.พ.68) เพจ ‘ชมรมพนักงานกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดระยอง’ โพสต์กรณี พยาบาลถูกญาติคนไข้ทำร้าย โดยโพสต์แรกเป็นข้อความระบุว่า ญาติคนไข้ตบพยาบาลศูนย์ แต่ฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลกลับพยายามไกล่เกลี่ย และไม่ให้วงจรปิด เพื่อที่จะเป็นหลักฐานดำเนินคดี จริงหรือไม่ ความปลอดภัยของบุคลากรอยู่ที่ใด

โพสต์ต่อมา ระบุว่า เหตุบุคลากรของโรงพยาบาลในจังหวัดระยอง ถูกญาติคนไข้ทำร้ายร่างกาย ด้วยการตบหน้า เพราะไม่พอใจที่ถูกเตือน ถือเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรง และไม่ควรจะเกิด ทางชมรมจึงขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้สำนักงานข่าวช่วยให้ความเป็นธรรม กับบุคลากรรายนี้ด้วย เพราะทราบมาว่า หน่วยงานต้นสังกัด ไม่ให้ความร่วมมือในการเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ว่า เหตุที่เกิดขึ้น เพราะพยาบาลให้คำแนะนำว่า ไม่ควรเอาเด็กเข้ามา ภรรยาออกไปบอกสามี สามีเดินเข้ามาเคาน์เตอร์ ทำการตบเจ้าหน้าที่ มีกฎหมายไม่ยอมความมากกว่านี้ไหม ขอทนายด่วน ช่วยแชร์หน่อยค่ำ

ต่อมา โพสต์ที่ 3 ระบุว่า เหตุทำร้ายร่างกายตบหน้าพยาบาล ฝ่ายกฎหมายโรงพยาบาลได้มอบคลิปหลักฐานถึงมือตำรวจแล้ว พบว่า ตบไปถึงสองครั้ง จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ผู้ก่อเหตุกล่าวทิ้งท้ายเป็นนัยยะว่า "พลาดที่ทำในเวลาทำการ" ส่วนกระแสข่าวว่าทางโรงพยาบาล ไม่อยากให้ผู้เสียหายเอาความนั้น ไม่เป็นความจริง ทางผู้อำนวยการยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าว ได้โพสต์ “ขอบคุณทุกคนค่ะ รพ. เจ้าหน้าที่ รพ. พลังโซเชียล ทางครอบครัวขอไปต่อค่ะ ดำเนินคดีโดยนิติกร รพ.และท่าน ผอ.ก็ช่วยค่ะ ไม่ยอมความและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

“กรณีโดนญาติคนไข้ตบหน้า ขอทนายฝีมือเก่งๆหน่อยค่ะ เหตุเพราะให้คำแนะนำว่าไม่ควรเอาเด็กเข้ามา ภรรยาออกไปบอกสามี สามีเดินเข้ามาเคาน์เตอร์ทำการตบเจ้าหน้าที่ มีกฎหมายไม่ยอมความมากกว่านี้ไหม ขอทนายด่วน ช่วยแชร์หน่อยค่ะ ณ สถานีตำรวจทิ้งท้ายที่ว่า พลาดที่ทำในเวลาทำการ ประโยคแบบนี้คือการข่มขู่ไหมคะ จะเอาให้ถึงที่สุดดดด คลิปถึงสถานีตำรวจหล่ะค่ะ

ขอบคุณทุกคนค่ะ รพ เจ้าหน้าที่รพ. พลังโซเชียล ทางครอบครัวขอไปต่อค่ะ ดำเนินคดีโดยนิติกร รพ.และท่าน ผอ.ก็ช่วยค่ะ ไม่ยอมความและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

ขณะที่เพจ Drama-addict ได้โพสต์ข้อความที่ระบุว่า เป็นฝั่งญาติคนไข้ ที่ออกมาชี้แจงว่า ครอบครัวมีกัน 6 คน พ่อ แม่ ลูก 3 คน และคุณยาย น้องทั้ง 3 คนไปโรงเรียนและติดไข้หวัดสายพันธุ์ A กันมาแล้ว โดยคุณยายเป็นคนดูแลน้องเลยติดไข้มา เช้าวันเสาร์คุณยายมีอาการไข้ พาไปหาหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ยากลับมากิน เช้าวันอาทิตย์ มีอาการช็อกหายใจไม่ออก เลยส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน โรงพยาบาลเลยส่งต่อมาโรงพยาบาลใหญ่ เพราะไวรัสลงปอดทั้งสองข้างแล้ว มันเร็วมากจนตั้งตัวไม่ติด

ช่วงบ่ายคุณหมอโทรมาบอกว่า คุณแม่อาการหนัก ให้สแตนด์บายรอที่ รพ. ลูกสาวเลยโทรบอกสามีให้มาอยู่ด้วย ก็ต้องเอาลูกมาด้วยอยู่แล้ว เพราะไม่มีคนเลี้ยง พอถึงเวลาเข้าเยี่ยม สามีก็เลยพาหลานรักยายเข้า 1 คน เผื่อถ้าคุณยายเห็นจะได้มีกำลังใจสู้ เจอพี่พยาบาลคนที่ 1 เค้าก็พูดจาน่ารัก บอกเด็กเข้ามาอันตรายนะคะ พ่อเค้าเลยบอกว่า ยายติดจากเด็กครับ เด็กเพิ่งหาย มาให้ยายเห็นหน้าหน่อย ยายจะได้สู้ ๆ พี่พยาบาลคนเดิมบอกว่า ได้ ๆ แต่คนไข้เช็ดตัวอยู่ ค่อยเข้ามาใหม่นะ ก็เดินออกไปจากห้อง

รอบใหม่ ลูกสาวบอกเดี๋ยวพาน้องไปดูแม่เอง (เพราะสามีต้องเฝ้าลูกอีก 2 คน ที่ต้องหอบมาด้วย) ลูกสาวก็พาน้องเข้าไป พยาบาลที่เช็ดตัวยายอยู่ เดินออกมาจากห้อง ปิดประตูดัง ดึงแมสลงจากปาก ชักสีหน้าแล้วพูดเสียงดังแบบตะคอก ว่า สูญเสียแม่อีกคนยังไม่พอ อยากจะสูญเสียลูกอีกคน ยอมรับได้ใช้ไหม พาเด็กออกไปเดี๋ยวนี้

ลูกสาวก็ตกใจ พูดแต่ว่า โอเคได้ค่ะ แล้วเดินออกไป ยังไม่ทันได้ดูแม่เลย พอออกไปข้างนอก ก็บอกสามีว่า เธอเข้าไปดูแม่คนเดียวเลย เดี๋ยวพาลูกลงไปรอข้างล่าง โดนพี่เค้าว่ามา แล้วลูกก็เล่าพ่อเค้าว่า ปาป๊า พยาบาลด่าหนู แล้วพี่เค้าก็ไม่ขอโทษหนูเลย เค้าตะคอกใส่หนู พร้อมพ่อถามด่าเรื่องอะไรลูก เมียเลยเล่า แล้วร้องไห้หนักมาก ไม่ได้ร้องไห้เพราะโดนด่ามา แต่งงว่า สรุปแม่ตายแล้วเหรอ คือแม่จะไม่รอดเหรอ มันรวดเร็วไปหมดในความรู้สึกนั้นมาก สามีเค้าเลยโมโห แต่เข้าไปแล้วดูแม่ยาย ก็พยายามอดทนคำพูดที่ได้ยินมา แต่ไม่ไหวจริง ๆ เลยถามเมื่อกี้ใครด่าลูกเมียผม และตบที่หน้าไป 2 ครั้ง ก็สอนไปว่าเวลาพูดกับใครก็ให้รู้จักให้เกียรติคนไข้และญาติคนไข้บ้าง ทำร้ายความรู้สึกกันทำไม คุณเป็นพยาบาล ไม่มีจรรยาบรรณบ้างเหรอ แล้วก็เดินมาบอกเมียว่า เดี๋ยวรอพบตำรวจ และก็ยอมรับกับตำรวจว่า ทำจริงครับ ผมบันดาลโทสะ ไปจริง ๆ ทางครอบครัวเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง และยอมรับว่าทำจริง จากการบันดาลโทสะ และถ้าทางคู่กรณีจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก็ยินดีน้อมรับ

ทีมข่าวสอบถามไปที่ผู้โพสต์ ซึ่งเป็นญาติของพยาบาลที่ถูกทำร้าย โดยการคุยทาง Inbox บอกว่า ได้นำคลิปไปยื่นที่สถานีตำรวจแล้ว และตอนที่ถูกทำร้าย รุนแรงจนเซ ญาติคนอื่นเห็น คนไข้ที่นอนใส่ท่อเห็น ส่วนน้องสาว หลังถูกทำร้ายก็ยังมีอาการปวดกกหู เวียนหัวไม่หาย รวมถึงปวดที่ต้นคอด้วย ยืนยันว่าจะเอาเรื่องผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด หาก รพ.พร้อม พวกหนูก็พร้อม กลัวเรื่องจะเงียบ และกลัวว่าน้องจะถูกรังแกอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top