Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48796 ที่เกี่ยวข้อง

‘เอกนัฏ’ ล่องใต้เยือน ‘ตรัง-พัทลุง’ ผลักดันอุตสาหกรรมท้องถิ่น เน้น!! ชุมชนเข้มแข็ง เข้าถึงแหล่งเงินทุน รุกตลาดออนไลน์

(14 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการ SME จังหวัดตรังและจังหวัดพัทลุง เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่น ต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค ยกระดับให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ มุ่งเน้นด้านอาหารและหัตถกรรม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับการ ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ ให้ความสำคัญ ‘Save อุตสาหกรรมไทย’ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่นและต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยร่วมกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่สนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SME โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น สินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ (เสือติดปีก) และ สินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงินกู้รวม 1,900 ล้านบาท เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนและพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้คณะฯ ได้เยี่ยมชมร้าน กวนนิโตพาทิสเซอรี (KUANITO Patisserie) ในจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นกับเทคนิคการทำขนมแบบฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ผ่านโครงการสินเชื่อเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก ให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและดึงดูดลูกค้าจากทั่วประเทศ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวัฒนธรรมและวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และสามารถแข่งขันในตลาดระดับสากลได้ จากนั้น ได้เยี่ยมชมโรงงานแปรรูปไก่ของ บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด ในจังหวัดพัทลุง เป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล มีการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แช่แข็งไปยังหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป และมีการใช้แนวคิดตามหลัก ESG (Environment Social and Governance) ที่ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยวางหลักการทำงานว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องพัฒนาชุมชนและสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals: SDGs) และยังได้เยี่ยมชมหัตถกรรมกระจูดวรรณี & โฮมสเตย์ จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตงานหัตถกรรมกระจูดที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อใช้ในการจัดหาเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย 

"การสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจให้สามารถต่อยอดธุรกิจและสามารถแข่งขันได้ ถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาคโดยการนำเอกลักษณ์ท้องถิ่นไปสู่ระดับสากล เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนสู่เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรม ยินดีให้การสนับสนุนในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เสริมและเพิ่มศักยภาพให้อุตสาหกรรมท้องถิ่น การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม ผลักดันไปสู่ซอฟต์พาวเวอร์ในพื้นที่ภาคใต้ ตามนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ ที่ให้ความสำคัญ ‘Save อุตสาหกรรมไทย’ อย่างยั่งยืน และสอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป" นายเอกนัฏกล่าวทิ้งท้าย

บัณฑิตจีน สิ้นหวัง เกษียณกลับบ้านเกิด ด้วยความท้อแท้ เหตุ!! อุตสาหกรรมทรุดตัว บริษัทเลิกจ้าง แรงงานล้นตลาด

(14 ต.ค. 67) หากคิดว่าหางานใน ‘ไทย’ ยากแล้ว ใน ‘จีน’ กลับยิ่งหางานยากกว่ามาก แม้มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หนุ่มสาวจบใหม่ในจีนตอนนี้กลับหางานลำบากยิ่งนัก โดยอัตราว่างงานของหนุ่มสาวจีนในเดือนสิงหาคม “ทำสถิติใหม่” ที่ 18.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบบันทึกสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในเดือนกรกฎาคม

มีเรื่องราวของสาวจีนที่จบการศึกษามาไม่นาน เธอชื่อ สวี่อวี่ (Xu Yu) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง และใช้เวลาหางานเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว

แม้เธอจะมีผลการเรียนดีเยี่ยมและประสบการณ์ฝึกงานถึงสามครั้ง สวี่อวี่ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดงานที่ดุเดือด เธอลงทุนเงินกว่า 20,000 หยวน หรือราว 90,000 บาทเพื่อเข้าฝึกอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความผิดหวังเมื่อได้รับจดหมายปฏิเสธจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Tencent Holdings และ JD.com

ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ ถังฮุ่ย (Tang Hui) เธอได้รับข้อเสนองานด้านบัญชีจากผู้ผลิตรถพลังงานใหม่ชั้นนำก่อนจบการศึกษา แต่ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดให้กับผู้จบใหม่ ถังฮุ่ยได้รับเงินชดเชยเป็นค่าแรงหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้น แม้ว่าเธอจะสมัครงานไปกว่า 50 บริษัทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ได้รับข้อเสนอใด ๆ กลับมา เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของบัณฑิตใหม่จีนหลังจบการศึกษา

ในปีนี้ เหล่าบัณฑิตจีนที่จบออกมามีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11.8 ล้านคน และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อ่อนแอที่สุดที่จีนเคยเผชิญมาหลายปี จากการที่บรรดาบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกระดูกสันหลังของจีน ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง 

ยกตัวอย่าง ‘เหล่าบริษัทเทคโนโลยี’ อย่าง  Alibaba, Tencent และ Baidu ก่อนหน้านี้เคยขยายการจ้างงาน แต่ปัจจุบันตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง โดย Alibaba ตัดพนักงานลงมากกว่า 13%

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ ‘ธุรกิจกวดวิชา’ ที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลออกระเบียบลดภาระการบ้านและการติวหลังเลิกเรียน อีกทั้ง ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีจีนก็ยังคงซบเซา จนทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้ได้หายไปในปีนี้

ส่วนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทนและเซมิคอนดักเตอร์ ยังไม่สามารถทดแทนด้านการจ้างงานได้ เพราะการสรรหาบุคลากรเหล่านี้ ‘ต้องการความสามารถเฉพาะทาง’ ซึ่งมักมีวุฒิขั้นสูง เช่น BYD ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้ได้ลดการรับสมัครนักศึกษาลงมากกว่าครึ่งจาก 30,000 คนในปี 2023

หลายคนอาจมีค่านิยมว่า จบจากมหาวิทยาลัยดังมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ปัจจุบันนี้อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป หลายบริษัทต้องการคนมีประสบการณ์และเคยผ่านงานด้านนั้นมากกว่า  

จากที่เคยเป็นเพียงส่วนเสริม ‘ประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมา’ ได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดโอกาสในการทำงาน หลิว จื่อเฉา (Liu Zichao) บัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเขาคว้าตำแหน่งงานเทคโนโลยีมาครองได้สำเร็จหลังจากฝึกงานที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok 

เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่การฝึกงานเฉพาะทาง กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่สำคัญยิ่งกว่าวุฒิการศึกษา

นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนอันซบเซาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ บัณฑิตจบใหม่หลายคนกำลังเผชิญปัญหาการหางานที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง โดยมีคุณสมบัติเกินกว่างานระดับล่าง แต่ขาดประสบการณ์สำหรับงานระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังด้านอาชีพที่สูงขึ้นของบัณฑิตในปัจจุบัน กำลังทำให้ความไม่ลงรอยกันในตลาดแรงงานของจีนเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลหลายคนรายงานว่า ความทะเยอทะยานที่เกิดจากโซเชียลมีเดียสำหรับงานเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้นำไปสู่การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงเกินจริง ทำให้บัณฑิตจำนวนมากไม่พอใจกับตำแหน่งงานที่มีอยู่

จาง (Zhang) ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า บัณฑิตที่สอบข้าราชการไม่ผ่านมักเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่พร้อม และเรียกร้องเงินเดือนสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมมาก

ในทำนองเดียวกัน หยาง เจียน (Yang Jian) ซึ่งทำงานด้านการสรรหาบุคลากรสำหรับบริษัทอัตโนมัติขนาดเล็กกล่าวว่า ความคาดหวังที่ไม่สมจริงของบัณฑิตจบใหม่ และความลังเลในการยอมรับงานที่มีรายได้ต่ำกว่า ทำให้บริษัทของเธอหยุดรับสมัครบัณฑิตใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมามองดูมุมมองของเหล่าบัณฑิต ผู้หางานรุ่นใหม่รู้สึกไร้อำนาจในตลาดแรงงาน สวัสดิการพื้นฐานเช่น วันทำงานแปดชั่วโมงและประกันสังคมที่ได้รับกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งหรูหรา โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีนพบว่า พนักงานรุ่นใหม่ทำงานหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นการทำงานเฉลี่ย 251.9 ชั่วโมงต่อเดือน และมีความคุ้มครองด้านประกันสังคมที่ต่ำจากนายจ้าง

ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรู้สึกสิ้นหวังในตลาดแรงงาน ชาวจีนรุ่นใหม่จึงถอยกลับไปยังชนบท โดยหลังจากประกาศว่าตนถูกเลิกจ้าง ลาออก หรือว่างงาน ชาวจีนเจน Z และ Y ก็บันทึกชีวิตประจำวันแบบ ‘เกษียณอายุ’ ในชนบทของตนบนโซเชียลมีเดีย  

เมื่อปีที่แล้ว ผู้เกษียณอายุที่ประกาศตนเองวัย 22 ปี ซึ่งใช้ชื่อแฝงว่า เหวินจือ ต้าต้า (Wenzi Dada) ได้ตั้งถิ่นฐานในกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาในมณฑลกุ้ยโจวของจีน เหวินจือ ซึ่งเคยทำงานในหลากหลายสาขา เช่น ซ่อมรถยนต์ ก่อสร้าง และการผลิต บอกกับสื่อท้องถิ่นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องจัดการกับเครื่องจักรทุกวัน จึงลาออกเพื่อกลับบ้านเกิด

นอกจากนี้ บัณฑิตบางคนหันไปทำงานอิสระ เช่น เป็นคนขับส่งของหรือพี่เลี้ยงเด็ก ในขณะที่อีกหลายคนก็เลื่อนการเข้าสู่ตลาดแรงงาน

เจาะตลาด ‘ซอส-เครื่องปรุงรส’ ธุรกิจที่สร้างผลกำไรมหาศาลทั่วโลก คาด!! ในปี 2029 จะมีมูลค่าสูงถึง 226.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

(15 ต.ค. 67) รู้กันไหมว่าในปี 2024 มูลค่าตลาดซอส เครื่องปรุงรส และน้ำสลัดทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 171.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 226.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2029 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 5.74% ความต้องการซอสและเครื่องปรุงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความนิยมในการบริโภคอาหารชาติพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น เช่น อาหารไทย เม็กซิกัน และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ การขยายตัวของการบริโภคซอสสำเร็จรูปในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรปก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดนี้ด้วย

โดยในไทยเองตลาดซอสและเครื่องปรุงในประเทศไทยคาดว่าจะมีมูลค่า 2.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.17% ระหว่างปี 2024-2029 สินค้าหลักที่มีการบริโภคมากในตลาดไทยได้แก่ ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ และซอสถั่วเหลือง การเติบโตของตลาดยังได้รับแรงผลักดันจากการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและความนิยมในอาหารชาติพันธุ์ รวมถึงการส่งออกซอสไทยไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ซอสพริกและน้ำปลาด้วย ไปดูกันว่า 3 บริษัทที่ผลิตซอสยักษ์ใหญ่ของโลก และอีก 3 บริษัทของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีบริษัทอะไรกันบ้าง นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่ผลิตซอสที่คุณถามถึง รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ชื่อบริษัท ตลาดหุ้นที่จดทะเบียนมูลค่าทางการตลาด (พันล้านเหรียญ)    จุดเด่น McCormick & Company NYSE 22.15 

- Frank’s RedHot ซอสพริกยอดนิยมที่ใช้ในการทำปีกไก่ Buffalo และอาหารเม็กซิกัน 
-French’s ซอส Worcestershire และ Buffalo Sauce                                                                                        Kraft Heinz Company NASDAQ 42.58 - Heinz Ketchup
- Heinz BBQ Sauces
- Heinz Mayonnaise
Campbell Soup Company NYSE 14.21 - Prego: ซอสพาสต้าชั้นนำ มีหลากหลายรสชาติ ตั้งแต่ซอสมะเขือเทศแบบดั้งเดิมไปจนถึงซอส Alfredo
- Pace: แบรนด์ซัลซ่าชั้นนำที่มีซอสเม็กซิกันและดิปส์ที่มีรสชาติเข้มข้น

ส่วนอีก 3 บริษัทผลิตซอสที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

1.บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) (XO) บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารและซอสสำเร็จรูป ส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของ XO รวมถึงซอสต่างๆ เช่น ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ ซอสมะเขือเทศ และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบัน XO มีมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ 10.2 พันล้านบาท
2.บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (OISHI)
โออิชิเป็นผู้นำด้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ซอส เช่น ซอสเทอริยากิ และ ซอสถั่วเหลือง ที่ใช้ในร้านอาหารญี่ปุ่นและครัวเรือน โดยปัจจุบัน OISHI มีมูลค่าทางการตลาดราวๆ 20.08 พันล้านบาท โดยรวมในส่วนของการขายเครื่องดื่มด้วยค่ะ
3.บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) (SAUCE)
ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร ภายใต้เครื่องหมายการค้า ภูเขาทอง ประกอบด้วยซอสปรุงรส ซอสพริก น้ำส้มสายชูกลั่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริกผสมมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสผง ซีอิ๊วผง ซอสพริก ตราศรีราชาพานิช และซีอิ๊วญี่ปุ่น ตรา คินซัน นอกจากนี้ยังผลิตตามเครื่องหมายการค้าของลูกค้าด้วย โดยมูลค่ทางการตลาดตอนนี้อยู่ที่ราวๆ 14.31 พันล้านบาท

เปิดประวัติ ‘แชร์ลูกโซ่’ มีมาแล้ว กว่าร้อยปี เริ่มต้นที่ ‘อเมริกา’ ขายฝัน!! ‘รวยเร็ว-รวยง่าย’ แต่สุดท้าย ไม่เหลืออะไรเลย

(14 ต.ค. 67) ในช่วงนี้มีข่าวการใช้การตลาดหลายรูปแบบในการหลอกเงินประชาชน ทำให้มีหลายคนนึกโยงเข้ากับเรื่องราวของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งแชร์ลูกโซ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการฉ้อโกงทางการเงินที่มีลักษณะการชักชวนผู้ลงทุนรายใหม่เพื่อให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจหรือแผนการลงทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง โดยเงินที่ได้จากผู้ลงทุนรายใหม่จะถูกนำมาใช้เป็นเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนรายก่อนหน้า ซึ่งมักจะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นกำไรจากการดำเนินธุรกิจจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นกลับไม่มีธุรกิจหรือแผนการลงทุนจริงเกิดขึ้น
โดยลักษณะการทำงานของแชร์ลูกโซ่จะเริ่มต้นโดย

1.ผู้ก่อตั้งแชร์ลูกโซ่มักจะเริ่มต้นโดยเสนอแผนการลงทุนหรือธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เช่น หุ้น ทองคำ หรือสินค้า
2.การชักชวนสมาชิกใหม่ โดยผู้ที่ลงทุนก่อนหน้านี้จะได้รับเงินปันผลหรือผลตอบแทนจากเงินที่มาจากผู้เข้าร่วมใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจริง
3.การขยายไลน์ธุรกิจ ผู้ลงทุนจะถูกกระตุ้นให้ชักชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนเพื่อเพิ่มผลกำไร ซึ่งเป็นรูปแบบการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
และ 
4.เมื่อไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่เข้าร่วมแล้ว ระบบแชร์ลูกโซ่จะล่มสลาย และผู้ที่ลงทุนในช่วงท้ายจะไม่สามารถถอนเงินหรือได้รับผลตอบแทนใด ๆ เนื่องจากไม่มีเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามา

แชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1920 โดยชาร์ลส์ ปอนซี (Charles Ponzi) เป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งชาร์ลส์ใช้วิธีการหลอกลวงผู้ลงทุน โดยอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจแลกเปลี่ยนไปรษณีย์ระหว่างประเทศที่สามารถทำกำไรได้สูง ผลตอบแทนที่จ่ายให้กับผู้ลงทุนก่อนหน้านั้นมาจากเงินของผู้ลงทุนรายใหม่ ไม่ใช่จากผลกำไรที่เกิดขึ้นจริง การหลอกลวงของชาร์ลส์ ดำเนินไปได้เพราะผู้ลงทุนเริ่มแรกได้รับผลตอบแทนสูงจนสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาลงทุนต่อได้ แต่ในที่สุดระบบก็ล่มสลายเมื่อไม่มีผู้ลงทุนใหม่เข้ามาแล้ว
และถ้าเราจำกันได้ ในไทยเองมีเคสของแชร์ลูกโซ่ที่ดังและสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับคนไทยจำนวนมาก และนี่คือ 3 อันดับแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่สร้างความเสียหายสูงสุด

1.ยูฟัน (UFUN) (2558)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 38,000 ล้านบาท
-รายละเอียด: ยูฟันเป็นแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติที่หลอกลวงประชาชนโดยอ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ที่ใช้เหรียญ ‘ยูโทเคน’ (UToken) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลปลอม ผู้เสียหายจำนวนมากสูญเสียเงินลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้เป็นหนึ่งในแชร์ลูกโซ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
2. แชร์แม่ชม้อย (2527)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 4,043 ล้านบาท
-รายละเอียด: เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่เริ่มต้นจากการชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลายหมื่นรายสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลในคดีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีแรก ๆ ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมไทย
3. Forex-3D (2562)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 2,489 ล้านบาท
-รายละเอียด: Forex-3D เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใช้ชื่อเสียงของคนดังในการชักชวนให้ผู้คนลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 60-80% สุดท้ายพบว่าเป็นการหลอกลวงที่ไม่มีการเทรดจริง

ไม่ว่าการลงทุนอะไรก็ตาม ผลตอบแทนที่มากจนเกินไปมักไม่มีอยู่จริง ดังนั้นก่อนจะลงทุนอะไรก็ตามเราเองก็ควรศึกษาการลงทุนนั้นอย่างละเอียด และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top