Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48172 ที่เกี่ยวข้อง

ดัชนีหุ้นไทยปิดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี 4 เดือน ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ท่ามกลางปัจจัยลบหลายด้าน

ดัชนีหุ้นไทยปิดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี 4 เดือน ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ท่ามกลางปัจจัยลบหลายด้าน โดยในช่วงต้น-กลางสัปดาห์บรรยากาศตลาดในภาพรวมถูกกดดันจากประเด็นเฉพาะของบริษัทผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลและแรงขายหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง เนื่องจากเข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ประกอบกับยังมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนในช่วงปลายสัปดาห์หุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นต่างประเทศหลังประธานเฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ในวันศุกร์ (23 มิ.ย.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,505.52 จุด ลดลง 3.45% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 40,473.82 ล้านบาท ลดลง 6.38% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.64% มาปิดที่ระดับ 463.22 จุด

สำหรับสัปดาห์นี้ (26-30 มิ.ย. 2566) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,490 และ 1,475 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,520 และ 1,545 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ค. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน รวมถึงกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. และ ดัชนี PMI เดือนมิ.ย. ของจีน

กลุ่มผู้เสียหาย ร้องตร.ไซเบอร์ เอาผิด เท้าแชร์แม่หนิง หลอกเล่นแชร์ออนไลน์ ผ่อนสินค้าแบรนด์เนม สุดท้ายถูกเชิด

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2566 ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. กลุ่มผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อแชร์ “แม่หนิง”เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ ตำรวจ บก.สอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับเท้าแชร์ในความผิดฐาน “ฉ้อโกง ประชาชน” หลังเล่นแชร์ออนไลน์ ลงทุนออนไลน์ (สินค้าผ่อน) แล้วสูญเงินไปไม่ต่ำกว่าคนละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท

หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนรู้จักกับเท้าแชร์ที่ชื่อแม่หนิงผ่านทางเฟซบุ๊ก และเคยเล่นแชร์ด้วยมานานกว่า 7 ปี โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกหลอกจึงเชื่อใจมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตนเล่นแชร์ทองหนัก 2 บาท ซึ่งผ่อนจนครบทั้งหมด 17 งวด งวดละ 2,950 บาท แต่กลับไม่ได้รับทองตามวันที่กำหนด

จึงรู้สึกเอะใจ เลยทักไปถามลูกแชร์คนอื่นที่เล่นแชร์ทองไปก่อนหน้านี้ จนทราบว่าลูกแชร์คนดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับทองเช่นกัน ถึงรู้ตัวว่าถูกหลอก นอกจากนี้ยังทราบภายหลังว่ามีผู้เสียหายบางรายตั้งแต่ปี 64 ยังได้ของไม่ครบ ก่อนจะรวบรวมจำนวนผู้เสียหายเพื่อมาแจ้งความข้อหาฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นมีผู้เสียหายที่รวบรวมได้ประมาณ 12 คนทั่วประเทศ

ด้านผู้เสียหายแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม หลอกเล่นแชร์ออนไลน์ กลุ่มหลอกขายแชร์และกลุ่มผ่อนสินค้าออนไลน์ เช่น ของแบรนด์เนม, ทอง , ไอโฟน รวมมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 3.3 ล้านบาท เฉลี่ยรายละหลักหมื่นบาทถึงหลักล้านบาท มีผู้เสียหายมียอดถูกโกงมากสุด 1.6 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้เสียหายเคยรวมตัวไปติดต่อแจ้งความที่โรงพักแห่งหนึ่ง ใน จ.สมุทรปราการ เนื่องจากผู้ก่อเหตุพักอยู่ที่ ต.สำโรงเหนือ แต่ตำรวจปฏิเสธรับแจ้งความ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายเชื่อว่าอาจเป็นเพราะสามีของท้าวแชร์แม่หนิงเป็นคนคุมบ่อนและชอบอ้างชื่อหรือแสดงตัวว่าสนิทสนมกับตำรวจตั้งแต่ระดับ ร้อยตำรวจตรีจนถึงพันตำรวจเอก ซึ่งน่าจะใช้อิทธิพลทำให้แจ้งความชั้นโรงพักไม่ได้

อย่างไรก็ตามผู้เสียหายได้พยายามติดต่อเท้าแชร์แม่หนิงแต่ได้คำตอบบ่ายเบี่ยง อ้างว่ากำลังทำบัญชี ทำระบบ และล่าสุดผ่านมา 3 วันไม่สามารถติดต่อได้ แต่หน้าเพจยังเปิดรับลูกแชร์อยู่ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีการขู่ผู้เสียหายว่าถ้ารอไม่ได้ก็แจ้งความ หรือไม่ก็ไปเจอกันที่ชั้นศาลเลย และคาดว่าอาจจะทำกันเป็นกระบวนการ ทั้งนี้ตนอยากได้เงินคืนและขอความชัดเจน

ขณะที่พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่ากรณีดังกล่าวมีผู้เสียหายหลายส่วนและเกิดในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งจะต้องตรวจสอบดูว่าลักษณะเป็นแชร์หรือไม่ หรือเป็นการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร เบื้องต้น สอท.1 ได้รับเรื่องไว้ และจะให้พนักงานสอบสวน สอบปากคำผู้เสียหาย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำเรื่องเข้าสู่ระบบ เพื่อดำเนินการตามกระบวนการต่อไป

ลูกศิษย์เผย อัฐิ ‘หลวงปู่แสง’ เป็นสีขาวบริสุทธิ์  เตรียมส่งมอบแด่วัดที่หลวงปู่เคยจำพรรษา แจกให้ญาติธรรม 

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 66 ที่เมรุชั่วคราววัดป่าดงสว่างธรรม บ้านดงสว่าง ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา พระสงฆ์พร้อมด้วยพระอุปัฏฐาก ศิษยานุศิษย์และเจ้าพนักงานจัดเตรียมสถานที่และแปรธาตุอัฐิบนจิตกาธาน พิธีเก็บอัฐิของหลวงปู่แสง ญาณวโร โดยมีประชาชนกว่า 2,000 คนเข้าร่วม ขณะที่พระอุปัฏฐากและพระลูกศิษย์สวดขอขมากรรมก่อน เบื้องต้นพบว่าอัฐิของหลวงปู่แสง มีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์

ต่อมาเวลา 07.00 น.นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ประธานในพิธีจุดเครื่องทองน้อย เจ้าพนักงานเชิญโกศบรรจุอัฐิและลุ้งบรรจุอังคารไปยังศาลาบำเพ็ญกุศล จากนั้นเจ้าพนักงานเทียบภัตตาหารสามหาบ มีนายวิรุจ ถวายภัตตาหารสามหาบแด่พระสงฆ์ เจ้าพนักงานเชิญเจ้าภาพรับโกศอัฐิหลวงปู่แสง ญาณวโร เป็นเสร็จพิธี

นายเฉลิมชัย จันทะโคตร อายุ 44 ปี ลูกศิษย์และอดีตโฆษกหลวงปู่แสง กล่าวว่า อัฐิของหลวงปู่แสงจะนำไปประดิษฐานในผอบ จากนั้นเตรียมส่งมอบแด่วัดต่างๆ ที่ หลวงปู่แสง เคยจำพรรษาและเคยสร้างเป็นหลักก่อน ประกอบด้วยวัดป่าอรัญญาวิเวก อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ, วัดป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ,วัดป่านาเกิ้งญาณวโร อ.เสนางนิคม จ.อำนาจเจริญ, วัดป่ามโนรมย์สมประสงค์ (สำนักสงฆ์ภูทิดสา) อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ, สำนักสงฆ์บ้านเวินชัย อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร, วัดป่าพุทธรัตนวนาราม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และวัดป่าดงสว่างธรรม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร 

ส่วนวัดใดที่มีศรัทธาต่อหลวงปู่ก็สามารถนำไปประดิษฐานที่วัดได้ ส่วนศิษยานุศิษย์ทางวัดจะมีหลอดใส่ผงอังคารหลวงปู่แสง แจกให้กับญาติธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติบูชาต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับเมรุชั่วคราวทางวัดและศิษยานุศิษย์จะทำเป็นอนุสรณ์สถานพระราชทานเพลิง หลวงปู่แสง จะสร้างมณฑปขึ้นมา และทำป้ายประวัติหลวงปู่แสง เพื่อให้ทราบว่า จุดนี้คืออนุสรณ์สถานขององค์หลวงปู่

‘STARK’ เอฟเฟกต์  ความเชื่อมั่น ‘ตลาดทุนไทย’ หดหาย รอลุ้น ‘DSI’ พิสูจน์ฝีมือช่วยกู้วิกฤต

เหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะผ่าน 6 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ไม่ค่อยดีเลยสำหรับ ‘ตลาดหุ้นไทย’ หลังติดอันดับ TOP 3 ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนยอดแย่ของโลก

ขณะเดียวกัน ยังมีกรณีทุจริตสะท้านวงการหุ้นซ้ำเติมอีก จากกรณีที่ บมจ. สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) เกิดการทุจริตทั้ง การไม่ยอมส่งงบการเงิน ร่วมกันตกแต่งบัญชี สร้างออเดอร์ยอดขายเทียม ลูกหนี้เก๊ ลูกค้าปลอม พร้อมถ่ายโอนเงินออกไปจากบริษัทจริง ส่งผลให้ราคาหุ้นรูดลงมาเหลือเพียง 0.02 บาทต่อหุ้นเท่านั้น ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป เหลือเพียง 268 ล้านบาท จากที่เคยขึ้นไปสูงสุด 73,733 ล้านบาท

มหกรรมการโกง ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ได้สร้างหายนะต่อนักลงทุนผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ ของ STARK เท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยอย่างหนัก พร้อมมีคำถามขึ้นมากมาย ไปถึงผู้บริหารบริษัท คณะกรรมการ กรรมการตรวจสอบ บริษัทผู้สอบบัญชี และหน่วยงานกำกับดูแล ทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหลาย ๆ คำถาม ก็ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด

แน่นอนว่า เมื่อหวังพึ่งหน่วยงานกำกับดูแลไม่ได้แล้ว ถือหุ้นรายย่อยที่ได้รับความเสียหายกว่า 10,000 คน ได้เริ่มรวมตัวเรียกร้องความยุติธรรม ผ่านช่องทางออนไลน์ www.thaiinvestors.com ของ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ล่าสุดมีการรวบรวมรายชื่อยื่นฟ้องแล้ว จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน ปรากฏว่ามีผู้แจ้งความจำนงค์ดำเนินคดีรวม 1,759 คน รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 4,063 ล้านบาท แม้โอกาสได้รับเงินกลับคืนนั้นแทบจะไม่มีเลย เมื่อเทียบกับเจ้าหนี่ที่มีหลักประกัน เจ้าหนี้การค้า และเจ้าหนี้หุ้นกู้ ที่ยังอาจพอมีหวังได้รับเฉลี่ยหนี้คืนบ้าง

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของหายนะครั้งนี้ มีสัญญาณผิดปกติมาตั้งแต่การส่งงบการเงินปี 2565 ล่าช้า โดยทาง STARK ได้ให้เหตุผลว่าเนื่องจากมีการเปลี่ยนวิธีการนับสินค้าคงคลัง อีกทั้งยังเป็นปีแรกที่บริษัทเปลี่ยนผู้สอบบัญชีจากบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด มาเป็น บริษัท บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด (PWC)

ต่อมา ผู้สอบบัญชี (PwC) ตรวจพบปัญหาการตกแต่งบัญชีหลายรายการ เช่น การสร้างยอดรอเรียกเก็บหนี้จากลูกค้าปลอม ยอดขายปลอม และสร้างรายการจ่ายเงินซื้อสินค้าล่วงหน้า ให้กับบริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งผู้บริหารของบริษัทเป็นผู้ถือหุ้น โดยสมอ้างเป็นบริษัทคู่ค้าโดยไม่มีการซื้อขายหรือจ่ายเงินจริง คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 26,816 ล้านบาท

อีกทั้ง ยังพบพฤติกรรมการโยกย้ายถ่ายเทเม็ดเงินเกิดขึ้นภายใน 3 บริษัทย่อยของ STARK ได้แก่ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) ,บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) และ บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด (ADS) เริ่มจาก ‘เฟ้ลปส์ ดอด์จ’ ผู้สอบบัญชีพบว่ามีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริงสูงถึง 24,452 ล้านบาท ตามมาด้วย ‘อดิสรสงขลา’ มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริง 1,045 ล้านบาท และ ‘ไทย เคเบิ้ลฯ’ อีกมูลค่า 689 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า ในช่วง 2 ปีก่อน (2564-2565) มีการตกแต่งบัญชีและโอนเงินให้บริษัทระหว่างกันทั้ง STARK และบริษัทบ่อยรวมถึงบริษัทที่อ้างเป็นคู่ค้าธุรกิจ จนทำให้ STARK มีผลขาดทุนจริงมากกว่า 12,640 ล้านบาท โดยในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท และในปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท

ภายหลังความจริงเริ่มปรากฏชัดออกมาเรื่อย ๆ สังคมตลาดทุนต่างมีคำถามมากมาย มีใครบ้างที่มีเอี่ยวกับการทุจริตดังกล่าว ทั้งผู้บริหารบริษัท พนักงานและบริษัทตรวจสอบบัญชีมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ รวมไปถึงหน่วยงานกำกับดูแล ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร รวมถึงแอคชันการทำงานที่ดูเหมือนจะล่าช้า จนเกิดความเสียหายหนักเกินจะเยียวยาแล้ว

ปฏิบัติการกู้คืนความเชื่อมั่น

ล่าสุดมีรายงานว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำชับให้ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งดำเนินการตรวจสอบความผิดอย่างรวดเร็ว และหากพบความผิด ให้ดำเนินการเอาผิดในทุกกรณีตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า การดูแลนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาเป็นอันดับแรก

ขณะที่ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้รับกรณีการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินของSTARK เป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติ การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่า มีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุน และระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ ส่วนกรมสรรพากร ระบุจะตรวจสอบการจ่ายภาษีของ บริษัท STARK อย่างละเอียด หลังพบการปลอมแปลงรายได้ของบริษัท

ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับ 9 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน จับมือแถลงข่าวหวังเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อภาพรวมตลาดทุน เมื่อช่วงเช้า วันที่ 26 มิ.ย. 66 แต่ในหลาย ๆ ประเด็นยังไม่มีความกระจ่าง โดยเฉพาะการดำเนินการตรวจสอบผู้สอบบัญชี และบริษัทผู้สอบบัญชี โดยนายธวัชชัย ทิพย์โสภณ รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ไม่สามารถตรวจสอบและเอาผิดกับบริษัทผู้สอบบัญชีได้ เพราะมีอำนาจตามกฎหมายในการให้ความเห็นผู้สอบบัญชีเท่านั้น ซึ่งยอมรับว่ามีช่องโหว่ และกำลังอยู่ระหว่างแก้กฎหมาย

ส่วนการตรวจสอบผู้สอบบัญชี สำนักงานก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมหากพบพบว่ามีส่วนรู้เห็นการกระทำความผิดก็จะมีโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดทุจริตรายอื่นที่มีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องรายใด

นายธวัชชัย ย้ำว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งการสั่งให้บริษัทเปิดเผยข้อมูล ขยายขอบเขตการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เพิ่มเติม และการแจ้งเตือนผู้ลงทุน รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งขณะนี้การตรวจสอบมีความคืบหน้าไปมาก แม้ทาง ก.ล.ต. จะไม่มีอำนาจในการฟ้องคดี แต่พร้อมให้การสนับสนุนทุกฝ่าย และหากช่วยได้ก็จะดำเนินการให้ โดยขอยืนยันว่าทาง ก.ล.ต. ทำเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย

ด้านนางสาวสิริพร สงบธรรม เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากที่สมาคมฯ ได้เปิดให้ผู้ลงทุนหุ้น STARK ลงทะเบียนเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่ม ตั้งแต่ 19-25 มิ.ย.66 มีจำนวนผู้ลงทะเบียน 1,759 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 4,063 ล้านบาท โดยหลังจากนี้สมาคมฯจะนำข้อมูลของผู้เสียหายมาตรวจสอบเบื้องต้น และให้ความรู้ในการฟ้องคดีแบบกลุ่ม โดยจะเป็นคนกลางเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

จากข้อมูลที่แถลงออกมานั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีการชี้แจงการเยียวยาผู้ลงทุนที่เสียหายทั้งจากการลงทุนหุ้นและหุ้นกู้ STARK ที่เบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหายกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท จากหุ้นกู้ 5 รุ่น รวม 9.1 พันล้านบาท และความเสียหายจากการทุจริตงบการเงินราว 2.5 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับรวมมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่ราคาหุ้น STARK ดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับมหากาพย์ความหายนะในครั้งนี้ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการตกแต่งบัญชี คงต้องรอการทำคดีของดีเอสไอ ว่าจะสืบสาวไปจนถึงต้นตอได้หรือไม่ และเชื่อว่าคนที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดคงเริ่มหนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน เพราะมีโทษสูงสุดติดคุกถึง 20 ปีเลยทีเดียว 

อ้างอิง
https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/STARK/financial-statement/company-highlights
https://www.thaipost.net/economy-news/403508/
https://www.bbc.com/thai/articles/c3gzkwl1lnro
https://www.infoquest.co.th/2023/312719
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000057779

 

‘จีน’ คิกออฟ ‘โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด’ 10,000 ไร่  ลดปล่อยคาร์บอนฯ มากกว่า 1.6 ล้านตันต่อปี

(26 มิ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานีไฟฟ้าพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานขนาดใหญ่ในอำเภอหย่าเจียง แคว้นปกครองตนเองกานจือ กลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เริ่มเปิดดำเนินการแล้วเมื่อวันอาทิตย์ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับสถานีไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เคอลา ซึ่งเป็นโครงการระยะแรกของโครงการพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเหลี่ยงเหอโข่ว (Lianghekou) เป็นสถานีไฟฟ้าพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่บนที่สูงสุดในโลก

รายงานระบุว่าสถานีแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,667 เฮกตาร์ (ราว 10,000 ไร่) มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1 ล้านกิโลวัตต์ และสามารถผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 2 พันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 1.6 ล้านตันต่อปี

อนึ่ง โรงไฟฟ้าพลังน้ำเหลี่ยงเหอโข่ว มีกำลังการผลิตติดตั้งตามการออกแบบรวม 3 ล้านกิโลวัตต์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำหย่าหลงในแคว้นปกครองตนเองกานจือ โดยแอ่งแม่น้ำหย่าหลงเป็นหนึ่งในฐานพลังงานสะอาดของจีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top