Sunday, 11 May 2025
ค้นหา พบ 47997 ที่เกี่ยวข้อง

ย้อนไทม์ไลน์ความสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุดีอาระเบีย’ รอยร้าวฉานที่กำลังถูกผสานให้เชื่อมต่อกันอีกครั้ง

หากย้อนอดีตกลับไป จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน กรณีความสัมพันธ์ไทย – ซาอุดีอาระเบีย คือ การที่เจ้าหน้าที่ทูตซาอุดีอาระเบียถูกลอบสังหารกลางเมืองกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2532 โดยที่ตำรวจไทยไม่สามารถสืบสวนจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้

ต่อมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 คนร้ายได้ลงมือฆ่าเจ้าหน้าที่การทูตซาอุดีอาระเบียอีก 3 ศพรวดในเวลาเดียวกัน และในเดือนเดียวกัน ‘นายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี’ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียและเป็นสมาชิกราชวงศ์ของตระกูลอัล-ซะอูด ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ จนทำให้มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลชุดหนึ่ง ข้อหา ‘อุ้ม’ นายอัลรูไวลีไปเค้นข้อมูล เพราะเชื่อเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของเจ้าหน้าที่การทูตของซาอุดีอาระเบียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

กรณีนี้ ทำให้ทางการซาอุดีอาระเบียไม่พอใจอย่างยิ่ง จนถึงขั้นลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับแรงงานไทย ห้ามประชาชนของซาอุดีอาระเบียเดินทางมาประเทศไทย และลดระดับความร่วมมือระดับสูงในทุกด้านลงมาอยู่ระดับต่ำสุด

ความสัมพันธ์ระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบียไม่ได้เลวร้ายลงเพียงเพราะคดีฆาตกรรมเท่านั้น แต่ยังเกิดจากกรณีที่คนงานไทย ‘นายเกรียงไกร เตชะโม่ง’ ซึ่งไปทำงานในวังของเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย แล้วได้ลักลอบโจรกรรมเพชรกลับประเทศไทย แต่ตำรวจไทยก็ยังไม่สามารถติดตามเพชรของกลางหลายรายการส่งกลับคืนให้ซาอุดีอาระเบียได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเพชร ‘บลูไดมอนด์’ ซึ่งเป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุด

ความสัมพันธ์กลับเลวร้ายลงไปอีก เมื่อของกลางส่วนหนึ่งที่ติดตามกลับมาได้ มีการเอาไปปลอมแปลงก่อนนำกลับไปคืนให้ซาอุดีอาระเบีย ทั้งหมดจึงเป็นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของไทยกับซาอุดีอาระเบียสะบั้นลงทันที

และในสมัยรัฐบาลของ ‘นายกทักษิณ ชินวัตร’ จะหมดอำนาจ เขาได้เสนอเงินจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ให้แก่รัฐบาลซาอุฯ เพื่อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเพื่อให้แรงงานไทยกลับไปทำงานได้ตามปกติ แต่ยังไม่ทันได้รับการตอบรับหรือปฏิเสธก็มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในประเทศไทยเสียก่อน

และเมื่อปี 2563 ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ‘นายดอน ปรมัตถ์วินัย’ ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2563 ว่าตนเองได้เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน พร้อมทั้งกล่าวว่า การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียนั้น เป็นการเดินทางเยือนตามคำเชิญของฝ่ายซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าและยังถือเป็นการเดินทางเยือนซาอุดิอาระเบียครั้งแรกของรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยในรอบ 30 ปี

ระหว่างการเยือนได้มีการหารือกับ ‘เจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อัลซะอูด’ รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย กับ ‘นายอาดิล บิน อะหมัด อัล-นูบีร’ รัฐมนตรีแห่งรัฐด้านกิจการต่างประเทศและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย  โดยประเด็นหลักที่ได้มีการพูดคุยกันคือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ รัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัย ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “การเยือนครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างดี และถือเป็นพัฒนาการในทางบวกที่จะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศต่อไป”

และในปี 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไป เยือนซาอุฯ ตามคำเชิญของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมานฯ มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งซาอุดีอาระเบีย การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้ ถือเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตที่พัฒนาขึ้นสู่ระดับสูงสุด หลังจาก 32 ปี ไทยมีตัวแทนซาอุฯ แค่ระดับอุปทูต ซึ่งจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ทุกด้านยกระดับตามไปด้วย เช่น ด้านแรงงาน, การท่องเที่ยว, วัฒนธรรม, การลงทุน, การส่งออกอาหารฮาลาล การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของชาวมุสลิมในไทย การสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของชาวมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ความสัมพันธ์กับองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ ‘โอไอซี’ แม้การส่งแรงงานไปซาอุฯ อาจไม่ได้มากเท่าเดิม แต่ก็รับทราบว่า ซาอุฯ ยืนยันจะใช้แรงงานไทย

วันนี้ (22 มี.ค. 66) ด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีกับความสำเร็จหลังการฟื้นความสัมพันธ์ประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ช่วงต้นปี 2565 เป็นผลสำเร็จ เปิดโอกาสความร่วมมือระหว่างกัน 9 ด้าน ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว, ด้านแรงงาน, ด้านอาหาร รวมถึงความร่วมมือใน ด้านสุขภาพ, ด้านพลังงาน, ด้านการศึกษาและศาสนา, ด้านความมั่นคง, ด้านกีฬา และด้านการค้าและการลงทุน ทั้งภาครัฐและเอกชนของทั้ง 2 ฝ่าย โดยภาคเอกชนไทยสนใจลงทุนธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าตกแต่งภายใน

'พล.ต.อ.สุรเชษฐ์' แถลงสรุปผลการดำเนินคดีเด็กสูญหาย พื้นที่ สภ.บางหลวง – ดำเนินคดีผู้ต้องหา 4 ราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.66 เวลา 08.30 น. ได้มี น.ส.พิไลภรณ์ หรือนิ่ม อายุ 17 ปี และ นายสิทธิโชค หรือพุด อายุ 19 ปี แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางหลวง ภ.จว.นครปฐม ว่า น้องต่อ อายุ 8 เดือน บุตรชายของตน ได้หายตัวออกจากบ้านไป โดยประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนติดตามตัวกลับมาโดยปลอดภัย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น

หลังจากได้รับแจ้งเหตุดังกล่าว พ.ต.อ.สุธี วรรณสูตร ผกก.สภ.บางหลวง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และออกค้นหาตัวน้องต่อ ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งจากการตรวจสอบได้พบข้อสงสัยมากมาย จึงได้รายงานผลต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ทำการสืบสวนติดตามกรณีดังกล่าวเพื่อทำความจริงให้ปรากฏและตามหาตัวน้องต่อกลับมาอย่างปลอดภัย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผบช.ภ.7,  พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผบก.ภ.จว.นครปฐม ร่วมกับ ผกก.สภ.บางหลวง เข้าตรวจพื้นที่โดยละเอียดอีกครั้งโดยให้ความสนใจในทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของตัวบิดามารดา

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มทำการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุโดยละเอียดอีกครั้ง เช่น การตรวจสอบโถส้วมซึ่งพบรอยปูนใหม่ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ตรวจสอบบริเวณภายในบ้านที่เกิดเหตุ พบหมอนที่มีคราบเลือด นอกจากนี้ยังได้กำหนดพื้นที่ค้นหาเป็นระยะไข่แดง-ไข่ขาว รวมเส้นผ่านสูญกลางระยะประมาณ 10 กม. แต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ รวมทั้งยังได้นำเอาตัวพยานและผู้ต้องสงสัยมาสอบประกอบมากถึง 100 ปาก เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานที่ที่อาจพบตัวน้องต่อได้ แต่ยังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ก.พ.66 น.ส.พิไลภรณ์ ได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนได้อุ้มน้องต่อแล้วมิได้ระมัดระวัง เป็นเหตุให้น้องต่อร่วงกระแทกพื้นจนถึงแก่ความตาย ตนจึงได้นำร่างของน้องต่อไปไปทิ้งที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ลงตรวจสอบภายในแม่น้ำท่าจีนและขุดลอกแม่น้ำเป็นระยะทางมากกว่า 10 กม. แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัว น.ส.พิไลภรณ์ และนายสิทธิโชค รวมทั้งผู้ต้องสงสัยไปตรวจเปรียบเทียบพบว่า ดีเอ็นเอของนายสิทธิโชคไม่ตรงกับน้องต่อ จึงได้สืบสวนเพิ่มเติมจนพบข้อเท็จจริงว่า นายสิทธิโชค ได้มีการพาเอา น.ส.พิไลภรณ์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ โดยมีผู้ซื้อบริการจำนวน 1 ราย ได้แก่ นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี

จากผลการสืบสวนทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวม 4 ราย ประกอบด้วย

ทีมเศรษฐกิจก้าวไกล กร้าว!! ขอมุ่งโตอย่างเป็นธรรม ปัก 3 เป้า ‘ชีวิตมั่นคง-แข่งขันเป็นธรรม-ลุยโกลบอล'

‘ก้าวไกล’ เปิดตัวทีมเศรษฐกิจ ประกาศ 7 วาระสู่อนาคต ปักธงสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม ตั้ง 3 เป้าหมาย รากฐานชีวิตคนไทยมั่นคง - กติกาแข่งขันเป็นธรรม - พาธุรกิจไทยบุกตลาดโลก

(22 มี.ค.66) พรรคก้าวไกลเปิดตัวแกนนำหลักทีมเศรษฐกิจ 7 คน ซึ่งมีส่วนผสมที่หลากหลายอย่างลงตัว ทั้งในแง่อาชีพ มีทั้ง ส.ส. นักวิชาการ ข้าราชการ นักธุรกิจ ในแง่ช่วงวัย มีทั้งคนรุ่นใหม่ รุ่นกลาง รุ่นเก๋า และในแง่มิตินโยบายเศรษฐกิจ ที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจภาคเมือง เศรษฐกิจภาคชนบท เศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมไฮเทค

โดยทั้ง 7 คน ประกอบด้วย (1) วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (2) สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล (3) วรภพ วิริยะโรจน์ (4) อภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล (5) ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร (6) เดชรัต สุขกำเนิด และ (7) ศิริกัญญา ตันสกุล

ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกล คือการเติบโตอย่างเป็นธรรม (Inclusive Growth) ด้วยการทำให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ขณะเดียวกันดอกผลของการพัฒนาต้องถูกกระจายอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ มีเป้าหมาย 3 เรื่อง คือ การสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้มั่นคง (Firm Ground) การสร้างกลไกภาครัฐและกติกาการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Game) และ การทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตพุ่งทะยานรองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลก (Fast Forward Growth)

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยด้านนโยบายสาธารณะ National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) ประเทศญี่ปุ่น ประกาศวาระ ‘เปลี่ยน Made in Thailand เป็น Made with Thailand’ โดยกล่าวว่า นโยบาย Made in Thailand ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คือการชวนคนเข้ามาลงทุน ลดแลกแจกแถม มีมาตรการภาษีสร้างแรงจูงใจ ทำให้จีดีพีประเทศโตขึ้น แต่คนไทยได้ส่วนแบ่งดอกผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนโยบายนี้ไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ที่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ไม่ได้ยึดติดกับดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เกี่ยวข้องกับหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น การผลิตสมาร์ทโฟน ซึ่งประเทศไทยตกขบวนไปแล้ว มีการออกแบบในสหรัฐอเมริกา ใช้ชิปจากไต้หวัน ตัวเก็บประจุ (Capacitor) จากญี่ปุ่น จอภาพจากเกาหลีใต้ ประกอบในจีนและอินเดีย ใช้สิทธิบัตรจากสวีเดน ดังนั้น ประเทศไทยต้องไม่ยึดติดกับคำว่า ‘In’ หรือการลงทุนในดินแดน แต่ต้องคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ คนไทย การผลิตแบบไทย สิทธิบัตรไทย เข้าไปเชื่อมโยงเป็นส่วนผสมหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของโลก เปลี่ยนจาก Made in Thailand เป็น ‘Made with Thailand’

“พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมและภาคการผลิต ให้เป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจ เราต้องคิดใหม่ เปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ รวมถึงเปลี่ยนผู้ทำนโยบายเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยได้” วีรยุทธกล่าว

สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล อดีตผู้พิพากษาศาลสมทบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อดีตกรรมการบริษัทเอกชนสินค้าไลฟ์สไตล์แบรนด์ไทย Moshi Moshi ประกาศวาระ ‘เปิดโอกาส เปิดตลาด SME’ โดยกล่าวว่า ปัจจุบันไทยมี SME 3 ล้านราย จ้างงานถึง 1 ใน 3 ของประเทศ แต่ที่ผ่านมา SME อ่อนแอลงเรื่อยๆ พรรคก้าวไกลเสนอนโยบาย 5ต ทำให้ SME กลับมาเข้มแข็งเป็นพลังของเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย (1) ‘เติมทุน’ คือทุนตั้งตัว 100,000 บาท และทุนสร้างตัว 1,000,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น โดยภายใน 4 ปีภายใต้รัฐบาลก้าวไกล ตั้งเป้าจะสร้างผู้ประกอบการ SME ที่เข้มแข็งกว่า 1 ล้านราย (2) ‘เติมตลาด’ เพื่อให้ SME เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น (3) ‘ตั้งสภา’ SME ให้สามารถรวมกลุ่มกันได้ มีปากเสียงทัดเทียมกับทุนใหญ่ รวมถึงกำหนดนิยาม SME ให้เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาบริษัทขนาดใหญ่แตกบริษัทขนาดย่อยมาแข่งขัน (4) ‘ตัดรายจ่าย’ โดยปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคลในระบบก้าวหน้า ให้ SME เสียภาษีอัตราต่ำลง และเมื่อรัฐบาลก้าวไกลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำเร็จ SME สามารถนำค่าจ้างลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าเป็นเวลา 2 ปี และ (5) ‘แต้มต่อ’ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่สนับสนุน SME สร้างระบบบริษัทใหญ่ช่วยบริษัทเล็ก เติบโตไปด้วยกัน รวมถึงนโยบายหวยใบเสร็จ อุดหนุนสินค้าจากร้านรายย่อย ลุ้นได้เงินล้านทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

วรภพ วิริยะโรจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประกาศวาระ ‘ทลายทุนผูกขาดเพื่อลดค่าครองชีพ’ โดยกล่าวว่า การเปิดโอกาสให้ SMEs จำเป็นค้องทลายทุนผูกขาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสุราที่มีมูลค่า 500,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งพรรคก้าวไกลจะแก้กฎหมายให้ประชาชนมีสิทธิ์เติบโตไปแข่งขันกับเจ้าสัวได้ การผูกขาดพลังงานหรือค่าไฟฟ้า ซึ่งพรรคก้าวไกลจะเสนอให้ยุติการผูกขาดสายส่ง เปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้า, ปลดล็อกหลังคา เปิดให้บ้านเรือนใช้ ระบบ Net Metering ได้ ประชาชนติดตั้งโซลาร์บนหลังคา กลางวันไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ขายคืนเข้าระบบ และจัดสรรก๊าซธรรมชาติของอ่าวไทยใหม่ให้คนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่กลุ่มทุนเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลจะยกเครื่องกฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ เปลี่ยนที่มาและเพิ่มอำนาจในการยุติการควบรวม และสั่งให้มีการแยกกิจการที่ผูกขาดได้เหมือนกับประเทศที่ทลายทุนผูกขาดได้สำเร็จ

อภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประกาศวาระ ‘UNLOCK เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยมีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท มีคนทำงานในอุตสาหกรรมราว 900,000 คน พรรคก้าวไกลพร้อมพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยให้เทียบเท่านานาอารยประเทศ โดยจะเข้าไปแก้ปัญหาที่ฝังรากลึกทั้งหมด 4 อย่าง ประกอบด้วย (1) เติมงบประมาณ โดยต้องมีทิศทางการใช้จ่ายที่ชัดเจนไปในทางเดียวกัน ผ่านการเติมเงินกองทุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคนตัวเล็กในการแสดงความสามารถ และกองทุนนี้ต้องทำหน้าที่เหมือนกองทุนตั้งตัวของ SME (2) สร้างสวัสดิการให้แก่คนทำงานสร้างสรรค์ ซึ่งมีทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลังหลายส่วน เช่น คนยกของ คนจัดไฟ ทุกคนต้องมีสวัสดิการรองรับ ให้มีคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานที่ดี รองรับความไม่แน่นอน (3) เพิ่มทักษะความรู้และคุณภาพแก่คนในอุตสาหกรรม รวมถึงเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ในจังหวัดต่างๆ โดยนำพื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ทหารมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และ (4) ให้เสรีภาพแก่คนทำงาน ทบทวนแก้ไขกฎหมายที่กดทับวิธีคิดสร้างสรรค์ เช่น กฎหมายเซ็นเซอร์

'วิทยา' แจงปมโพสต์ 'บิ๊กตู่' ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 พบเป็นความผิดพลาดก่อนโพสต์ ลบทิ้งแล้ว

‘วิทยา’ แจงแทนบุตรชาย เหตุโพสต์ข้อความระบุ ‘พลเอกประยุทธ์’ เป็นปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 พรรค รทสช. อ้างแอดมินนำมาจากสื่อทีวีช่องหนึ่ง และไม่ได้ตรวจสอบ ก่อนลบทิ้ง ยืนยันพรรค รทสช.ส่งผู้สมัครครบ 400 เขต

(22 มี.ค.66) นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกมากล่าวถึงกรณีที่ นายพูน แก้วภราดัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นบุตรชาย ได้โพสต์รูปภาพ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมข้อความ ‘ลุงตู่ ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 รวมไทยสร้างชาติ’ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่ภายหลังลบข้อความดังกล่าว ว่า...  

‘บิ๊กป้อม’ ลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ‘พลังประชารัฐ’ ‘ชัยวุฒิ’ เห็นพ้อง โดยหลักการต้องเป็น ‘หัวหน้าพรรค’

‘บิ๊กป้อม’รอกรรมการบริหารพรรคพิจารณา ลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 หรือไม่ พร้อมระบุจะเป็นนายกฯที่มาจากประชาธิปไตยหรือไม่ ให้ประชาชนพิจารณา พร้อมยิ้มกว้างต้อนรับหาก ‘ลุงตู่’ ลงปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 1 รทสช.ชี้ใครก็ลงทั้งนั้น ‘ชัยวุฒิ’ชี้โดยหลักการปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 พปชร. เป็นของ ‘บิ๊กป้อม’ เว้นเจ้าตัวจะติดขัด แขวะบางพรรคอันดับ1 อาจเป็นหัวหน้าครอบครัว

(22 มี.ค.66) ที่ห้องบอลรูม ชั้น 4 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กทม. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเพียงสั้น ๆ ถึงกรณีเมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 มีนาคม 2566 นายพูน แก้วภราดัย ว่าที่ผู้สมัครส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมข้อความ “ลุงตู่ ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 รวมไทยสร้างชาติ” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นและแชร์ต่อ

พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่าใครลงปาร์ตี้ลิสต์ ผู้สื่อข่าวตอบกลับว่า พล.อ. ประยุทธ์ จากนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การลงก็ดีทั้งนั้นแหละ ใครก็ลงทั้งนั้นแหละ ทุกคนก็ลง

เมื่อถามว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ ลงเป็นทางเลือกที่ดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร เพียงแต่ยิ้มกว้าง ๆ โดยไม่ได้ตอบคำถาม จากนั้นเดินเข้าห้องประชุมทันที เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา PDPA Going Forward

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมา ช่วงสายวันที่ 22 มีนาคม 2566 นายพูน ได้ลบเนื้อหาที่โพสต์ออกทั้งหมด

ต่อมาเวลา 10.55 น.พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการลงสมัคร ส.ส. บัญชีราย ชื่ออันดับ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ขอรอให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาก่อน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะเป็นการปูทางเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าขึ้นอยู่กับประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top