Wednesday, 18 June 2025
ค้นหา พบ 48864 ที่เกี่ยวข้อง

'เทพีเสรีภาพ' ภาพลวงตาประชาคมโลกที่เริ่มแดง แย่งชิงดินแดน ขัดแย้งผิวสี ก่อมิคสัญญีลุกลามโลก

การที่อเมริกามีเทพีเสรีภาพตั้งตระหง่านบนเกาะลิเบอร์ตี้จนเป็นโลโก้ของประเทศ ไม่ได้หมายความว่าลุงแซมจะให้เสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันเสมอไป ตามที่คนไทยจำนวนหนึ่งนำไปกล่าวอ้างอยู่เสมอ

ก่อนหน้าจะกลายเป็นยูไนเต็ดออฟอเมริกานั้น ทั้งแผ่นดินมีแต่อินเดียนแดงอาศัยอยู่อย่างเสรี แม้จะมีการสู้รบระหว่างเผ่าบ้าง แต่ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ เช่นที่คนผิวขาวกระทำต่ออินเดียนแดง  

ช่วงก่อนการเข้ามาของชาวยุโรป คาดว่ามีชนเผ่าอินเดียนแดงอยู่ประมาณ 10-12 ล้าน หลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาสงบลง ในปี ค.ศ. 1865 อินเดียนแดงที่เคยมีอยู่นับล้านทั่วประเทศถูกสังหารหมู่ จนลดลงเหลือไม่ถึงสามแสนคน ขณะที่คนขาวหลั่งไหลกันเข้ามาแย่งชิงดินแดนของอินเดียนแดงร่วม 30 ล้านคน

ฉะนั้นจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งประเทศอเมริกา ก็เรียกว่าหาความเท่าเทียมกันไม่ได้แล้ว เพราะสร้างชาติบนซากศพอินเดียนแดงมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคแรกเริ่มเลยทีเดียว  

ส่วนการที่เทพีเสรีภาพมาสถิตบนแผ่นดินอเมริกาคือ เรื่องการเมืองล้วนๆ โดยย้อนไปในปีค.ศ.1865 เอดูอาร์ด เดอ ลาบูเลย์ ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านการค้าทาสเสนอว่า ในวาระของการเป็นอิสระจากอังกฤษเกือบ 100 ปี และเพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองมาหมาดๆ น่าจะมีอนุสรณ์สถานให้เป็นที่ระลึกถึงบ้าง แต่ความคิดนี้ตกไป ต่อมา เฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ ปัดฝุ่นความคิดนี้นำเสนออีกหน ว่าฝรั่งเศสจะเป็นผู้ปั้นเทพีเสรีภาพให้ โดยนายเฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดินั่นแหละที่จะปั้นให้ เพราะมีอาชีพเป็นช่างปั้น แต่ลุงแซมต้องหาที่ยืนของแม่สาวเสรีภาพนี้เองนะ 

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพหรือ Statue of Liberty มีชื่อเดิมว่า Liberty Enlightening the World ถือเป็นของขวัญชิ้นมหึมาที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกันในงานฉลองวันชาติครบ 100 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปีค.ศ. 1876 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการในอีก 10 ปีให้หลังคือ ในวันที่ 28 ตุลาคม ปี ค.ศ.1886 โดยมีประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ เป็นผู้รับมอบ     

ฟังดูเหมือนของขวัญอันสะสวยจากรัฐบาลฝรั่งเศสใช่ไหม แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีจุดประสงค์แฝงทางการเมือง

รูปปั้นนี้หนัก 254 ตัน ออกแบบเป็นรูปสตรีสวมเสื้อผ้าคลุมร่างแบบกรีก ตั้งแต่ไหล่ลงมาจรดปลายเท้า สวมมงกุฎที่ศีรษะ มือขวาถือคบเพลิงชูเหนือศีรษะ ส่วนมือซ้ายถือหนังสือคำประกาศอิสรภาพที่จารึกว่า 'JULY IV MDCCLXXVI' หรือวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ที่อนุสรณ์สถานมีทางเดินจากป้อมเข้าสู่ส่วนฐาน ตรงทางเข้ามีแผ่นบรอนซ์จารึกคำประพันธ์ซอนเนท แต่งโดย เอมมา ลาซารัส เมื่อ ค.ศ.1883 โดยใจความกล่าวต้อนรับผู้อพยพมาสู่โลกใหม่ทุกคน ที่ปลายเท้าเทพีมีโซ่หักขาดชำรุด ซึ่งแสดงความหมายของความเป็นไทและมีเสรีภาพจากอังกฤษ

เงินทุนในการสร้างเทพีเสรีภาพ ส่วนหนึ่งมาจากนายทุนฝรั่งเศสที่อยากเข้ามาลงทุนขุดคลองปานามา แต่จะพุ่งไปตรงที่โคลอมเบียเลยก็น่าเกลียด เพราะพี่เบิ้มอเมริกานั่งกระดิกเท้าขวางหน้าอยู่ เลยต้องเดินเข้าไปบีบแข้งบีบขาทุบหลังเอาใจลุงแซมก่อน หวังอยากให้ลุงแซมไฟเขียวให้เข้าไปขุดคลองปานามาในโคลอมเบียนั่นเอง     

เรื่องนี้คือ เรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลของฝรั่งเศสนั่นแหละ ต่อมาโกงกันสะบั้นหั่นแหลกถึงขั้นที่บริษัทฝรั่งเศสล้มละลาย อเมริกาจึงเจ้ามารับช่วงทำต่อ

หลังจากนั้น เทพีเสรีภาพ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาไปโดยปริยาย เนื่องจากผู้อพยพจากยุโรปยุคแรกๆ จะต้องเดินทางเข้าสู่อเมริกาทางเรือ โดยสิ่งแรกที่เห็นบนแผ่นดินอเมริกาก็คือ เทพีเสรีภาพยืนตระหง่านอยู่บนเกาะ Liberty ก่อนที่เรือทุกลำจะจอดเทียบท่าที่ Ellis Island เพื่อให้กลุ่มชนอพยพจากแผ่นดินอื่นเข้าบันทึกข้อมูลในการเดินทางเข้าอเมริกาในยุคที่ยังไม่มีเครื่องบิน

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยช่วงนี้ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) กลับมาระบาด

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอเรียนประชาสัมพันธ์เตือนภัยระวังตกเป็นเหยื่อ Ransomware หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ดังนี้

ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกมุมหนึ่งมิจฉาชีพก็พัฒนาการหลอกลวงในรูปแบบใหม่ๆ และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน Ransomware หรือที่เรียกกันว่า มัลแวร์เรียกค่าไถ่ เป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่จะเข้ามาล็อกข้อมูลผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ จนทำให้ไม่สามารถเปิดไฟล์ใดๆ ได้ โดยหากต้องการกู้ข้อมูลคืนมา จะต้องจ่ายเงินค่าไถ่ตามที่ผู้โจมตี หรือมิจฉาชีพเรียกร้อง จำนวนเงินค่าไถ่ก็จะแตกต่างกันไป และการชำระเงินจะต้องชำระผ่านระบบที่มีความยากต่อการตรวจสอบ หรือติดตาม เช่น การโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์, การชำระเงินออนไลน์แบบเติมเงินโดยใช้บัตรกำนัล (Paysafecard), เงินสกุลดิจิทัล เป็นต้น

ในช่วงที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน บช.สอท. ได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่า บริษัทของผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากการถูมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ถูกล็อกไฟล์ข้อมูล ไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ มีการเรียกค่าไถ่เป็นบิตคอยน์ (Bitcoin) มูลค่าหลายล้านบาท กรณีดังกล่าว บช.สอท. ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้ทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ในเบื้องต้นพบว่า คอมพิวเตอร์บริษัทของผู้เสียหายถูกโจมตีด้วย Faust Virus หรือ Ransomware ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อเข้าถึงข้อมูลของตนเอง โดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายจะ สร้างมัลแวร์ที่มีลักษณะการทำงานแบบเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ จนกว่าจะได้รับรหัส หรือคีย์ที่ใช้ในการปลดล็อกไฟล์

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวน่าจะมาจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแฝงมาในรูปแบบเอกสารแนบมากับอีเมล โดยการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรืออีเมลปลอม แล้วส่งข้อมูลมาในรูปเอกสารที่ใช้ไฟล์ .doc หรือ .xls แต่ความจริงคือเป็นไฟล์ '.doc .exe' หรือแฝงตัวมาในรูปแบบของโฆษณา (Malvertising) โดยการโฆษณาไปยังบริษัทเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินค่าไถ่ หรืออาจจะเกิดจากบุคคลในองค์กรเองที่ไปคลิกลิงก์ที่คนร้ายส่งมา ทำให้มัลแวร์ดังกล่าวติดตั้งตัวเองในระบบแล้วทำการเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ทั้งหมด จากนั้นจะมีข้อความเตือนที่หน้าจอให้ติดต่อกลับไป คนร้ายมักจะเรียกเป็นสกุลเงินดิจิทัล หากไม่ยอมจ่ายคนร้ายจะข่มขู่ว่าจะทำลายไฟล์ทั้งหมด หรือนำไปเปิดเผยต่อไป

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานในด้านการป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยออนไลน์ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชน องค์กร หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การเรียกค่าไถ่ทางคอมพิวเตอร์ (Ransomware) โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง

ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน หน่วยงานไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”

ทัพเรือภาคที่ 1 มอบอุปกรณ์สนับสนุนกิจกรรมนันทนาการ ณ โรงเรียนชุมชนบ้านบางเสร่

วันที่ 22 ก.พ.66 ทัพเรือภาคที่ 1 โดย น.อ.ศรยุทธ พุ่มสุวรรณ์ พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา เข้าพบปะคณะครู นักเรียน และมอบอุปกรณ์สำหรับสนับสนุนกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมสันทนาการ ส่งเสริมการออกกำลังกายสร้างสุขภาพที่แข็งแรงให้แก่นักเรียน ณ โรงเรียนชุมชนบ้านบางเสร่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ตามโครงการกิจกรรม 'บวร' (บ้าน วัด โรงเรียน) เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียน และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง กองทัพเรือกับประชาชน ในพื้นที่ 

นามสกุลแรกแห่งสยาม เจ้าพระยายมราช ปั้น ‘สุขุม’ เจ้าของนามสกุลหมายเลข ๐๐๐๑

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเหล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการตั้งนามสกุลเหมือนนานาอารยประเทศ โดยให้มีการตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล โดยใช้แนวทางแบบตะวันตก ซึ่งพระองค์ได้ทรงประกาศขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ ๒๔๕๖ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ปีเดียวกัน โดยเรียกพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่า ‘พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พระพุทธศักราช ๒๔๕๖’

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคิดและพระราชทานนามสกุลครั้งแรกที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๕๖ โดยโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลออกมา ๕ นามสกุล อันประกอบด้วย…

1) นามสกุลพระราชทาน หมายเลข ๐๐๐๑ ‘สุขุม’ 
2) นามสกุลพระราชทาน หมายเลข ๐๐๐๒ ‘มาลากุล’
3) นามสกุลพระราชทาน หมายเลข ๐๐๐๓ ‘พึ่งบุญ’
4) นามสกุลพระราชทาน หมายเลข ๐๐๐๔ ‘ณ มหาไชย’
5) นามสกุลพระราชทาน หมายเลข ๐๐๐๕ ‘ไกรฤกษ์’

ซึ่งผมจะเล่าถึงนามสกุลหมายเลข ๐๐๐๑ เนื่องเป็นนามสกุลพระราชทานนามสกุลแรก โดยในหลวงรัชกาลที่ ๖ พระราชทานให้แก่ ‘เจ้าพระยายมราช’ (ปั้น) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น นามสกุล ‘สุขุม’ กำหนดเขียนเป็นอักษรโรมันว่า ‘Sukhum’ ทำไม ? ต้องเป็น ‘สุขุม’

ขอเล่าถึงประวัติของท่านผู้รับพระราชทาน ‘เจ้าพระยายมราช’ (ปั้น สุขุม) ท่านนี้กันสักหน่อยเพื่อให้ประจักษ์ถึงที่มาของนามสกุลพระราชทาน ว่ามีที่มา ที่ไป เป็นอย่างไร  เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๕ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๖ คน ของนายกลั่น และนางผึ้ง เมื่ออายุ ๖ ขวบ พ่อและแม่ของท่านได้ยกให้พระครูใบฎีกาอ่วม แห่งวัดหงส์รัตนาราม จังหวัดธนบุรี ซึ่งนับถือและสนิทกันมาก ขณะไปเทศน์ที่วัดประตูสาร คือเรียกว่า ‘ใส่กัณฑ์เทศน์ถวายพระ’ 

พระครูใบฎีกาอ่วมได้สอนให้เด็กชายปั้นเล่าเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาขอม ตามธรรมเนียมของการศึกษาในสมัยนั้น จนเมื่ออายุครบกำหนดก็ได้บวชเณรและบวชพระให้ตามลำดับ พระภิกษุปั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและภาษาบาลีอย่างแตกฉาน โดยในปี ๒๔๒๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ โปรดให้ตั้งสนามหลวงสอบพระปริยัติธรรมขึ้นที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ปรากฏในการสอบ ๓ วันแรกในระดับ ‘มหา’ นั้น พระภิกษุ ‘ปั้น’ แห่งวัดหงส์รัตนาราม สอบได้เพียงรูปเดียวเท่านั้น นอกนั้นตกหมด ทำให้ชื่อเสียงของ ‘พระมหาปั้น’ เป็นที่เลื่องลือ จนได้มีโอกาสพบกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันและสนพระทัยในการศาสนา จึงชอบไปมาหาสู่ สนทนากับพระมหาปั้นอยู่เนืองๆ  จนกระทั่งครั้งหนึ่งพระมหาปั้นได้ปรารภว่าอยากจะสึกออกมาดำเนินชีวิตทางโลก ขอให้พระองค์ช่วยหางานให้ทำด้วย 

กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ขณะนั้นทรงเป็นอาจารย์ของโรงเรียนพระตำหนักมหาดเล็กหลวง ในพระบรมมหาราชวัง จึงกราบทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอบรรจุ ‘มหาปั้น’ ซึ่งลาผนวชแล้ว เข้าเป็นครูในโรงเรียนพระตำหนักด้วย ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับเข้าเป็นครูภาษาไทย พร้อมกับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น ‘ขุนวิจิตรวรสาส์น’ สังกัดกรมพระอาลักษณ์ 

ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าหลวง จะทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ๔ พระองค์ ก็ทรงคำนึงว่าพระเจ้าลูกยาเธอยังทรงพระเยาว์เกรงจะลืมภาษาไทยเสียหมด จำจะต้องส่งอาจารย์ภาษาไทยไปถวายการสอนที่นั่นด้วย และตำแหน่งนี้คงไม่มีใครเหมาะเท่า ‘ขุนวิจิตรวรสาส์น’ ด้วยเหตุนี้ ท่านขุนจึงถูกส่งไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการสถานทูตสยามประจำกรุงลอนดอน โดยหน้าที่หลักคือพระอาจารย์ภาษาไทยของบรรดาพระเจ้าลูกยาเธอและเจ้าฟ้าทั้งหลาย

โดยส่วนตัวของท่าน ‘เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ชอบแสวงหาความรู้อยู่แล้ว จึงถือโอกาสนี้จ้างครูมาสอนภาษาอังกฤษให้ตนเอง จนสามารถทั้งพูด อ่าน เขียนได้ดี จากการทำงานที่มีคุณภาพเรียบร้อย ในปลายปี ๒๔๒๘ จึงได้รับ โปรดเกล้าฯ ให้ ‘ขุนวิจิตรวรสาส์น’ ขยับเป็น ‘หลวงวิจิตรวรสาส์น’ มีตำแหน่งเป็นเลขานุการสถานทูตสยามประจำกรุงลอนดอน

ในปี ๒๔๓๑ ระหว่างที่คุณหลวงวิจิตรฯ เดินทางมาราชการที่เมืองไทย ได้กราบทูล กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งทรงมีพระคุณแก่คุณหลวงมาตลอด ได้เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอ ‘นางสาวตลับ’ บุตรสาวของ ‘หลวงวิเศษสาลี’ โดยกรมพระยาดำรง ฯ ท่านก็ขอร้องให้เจ้าจอมมารดาชุ่ม มารดาของท่าน ไปสู่ขอคู่ครองให้ ‘หลวงวิจิตรวรสาส์น’ จนได้แต่งงานเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ บ่าว-สาว จะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ลอนดอน ตามหน้าที่ของคุณหลวง 

ในปี ๒๔๓๖ หลวงวิจิตรวรสาส์นได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น พระวิจิตรวรสาส์น ตำแหน่งอุปทูตประจำกรุงลอนดอน จนในปี ๒๔๓๗ คุณพระวิจิตรฯ และภรรยาได้เดินทางมาส่งพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นปราจิณกิติบดี ซึ่งสำเร็จการศึกษา ที่ประเทศไทยและไม่ได้กลับไปทำหน้าที่ในกรุงลอนดอนอีก เพราะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ในตำแหน่งเลขานุการเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติราชการในกระทรวงมหาดไทยได้ไม่นาน ในปี ๒๔๓๙ พระวิจิตรวรสาส์น ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระยาสุขุมนัยวินิต’ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งมีที่ว่าราชการอยู่ที่จังหวัดสงขลา

การลงไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนี้ นับว่าเป็นการมอบหน้าที่สำคัญยิ่งให้ เพราะการปกครองในขณะนั้น หัวเมืองภาคใต้และมลายู ยังอยู่ในแบบเมืองขึ้น มีเจ้าเมืองเป็นผู้สำเร็จราชการ มีหน้าที่ส่งส่วยอากรประจำปีมายังเมืองหลวง แต่การปกครองแบบใหม่ที่ท่านต้องดำเนินการคือการให้รวมหัวเมืองปักษ์ใต้ มี นครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง ปะลิส และหนองจิก มาเป็นมณฑลนครศรีธรรมราช เปลี่ยนฐานะผู้สำเร็จราชการเมืองต่างๆ เหล่านั้น มาเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด ที่สำคัญคือภาษีอากรที่เคยเก็บเลี้ยงตัวเอง ที่เรียกว่า ‘กินเมือง’ ต้องส่งให้รัฐบาลทั้งหมด โดยเจ้าเมืองจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนแบบนี้ ต้องทำให้เจ้าเมืองทั้งหลายขุ่นเคืองเป็นแน่ เพราะต้องสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ และอาจจะก่อให้การกระด้างกระเดื่องขึ้นได้ แต่ ‘พระยาสุขุมนัยวินิต’ สามารถใช้ความ ‘สุขุม’ วางกุศโลบายดำเนินงานได้อย่างเรียบร้อย ทำให้ไม่เกิดปัญหาขึ้นแต่อย่างใด

‘ครูแก้ว’ จวก ‘ส.ส.เพื่อไทย’ พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ฉะ!! ไม่แสดงตนก็นั่งเฉยๆ - ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น

(22 ก.พ. 66) ที่ประชุมสภาฯ เข้าสู่วาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ... วาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดยทันทีที่เข้าสู่วาระได้ลงมติมาตรา 15 กระทั่งเวลา 14.00 น. ช่วงเสียบบัตรแสดงตนเป็นองค์ประชุมก่อนลงมติในมาตรา 15/3 เกิดปัญหาเดิมๆ ขึ้นต้องรอถึงครึ่งชั่วโมงจึงมีสมาชิกแสดงตนครบเป็นองค์ประชุม โดยมีทั้งสิ้น 211 คน จากสมาชิกทั้งหมดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 416 คน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอสมาชิกแสดงตน นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลรู้สึกจะบางตามาก จึงอยากให้ประธานสั่งการพรรคของท่านให้มาประชุมด่วน ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น กล่าวตอบว่า พรรคของตนประชุมเต็มอยู่แล้ว แต่นี่ทุกฝ่ายบางตา ขอให้นายอุบลศักดิ์เลิกเสียที พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น

จากนั้นนายอุบลศักดิ์ โต้ว่า นายศุภชัยไม่ควรจะทำหน้าที่ประธาน เพราะประธานต้องพูดด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งนายศุภชัย ตอบกลับว่า ทุกฝ่ายมีสภาพบางตาหมด จะให้ไล่เรียงรายชื่อพรรคหรือไม่ นายอุบลศักดิ์พูดหลายครั้งจึงต้องเตือน ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีใคร นับจากนี้ส.ส.มีเวลาวันครึ่ง ถึงอย่างไรร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่จบอยู่ดี แต่ส.ส.ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จนถึงวาระสุดท้ายของสภาชุดนี้

นายอุบลศักดิ์ ประท้วงว่า ประธานต้องควบคุมการประชุม ไม่เสียดสีใส่ร้ายคนอื่น ความจริงตนไม่ได้ใส่ร้ายใครเลย เพียงเรียกร้องให้นายศุภชัยช่วยตามเพื่อนในพรรคของท่านมาเท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top