Sunday, 29 June 2025
ค้นหา พบ 49087 ที่เกี่ยวข้อง

ตำรวจ ปส.ทลายเครือข่ายไอซ์ข้ามชาติ ของกลางกว่า 1.1 ตัน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม)/ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. และ พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้สืบสวนหาข่าว เครือข่ายค้ายาเสพติดในทุกระดับ เพื่อจะตัดวงจรการลักลอบลำเลียงยาเสพติด รวมไปถึงจับกุม และขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในและในชุมชน รวมทั้งส่งออกไปยังประเทศที่สาม เน้นย้ำ ในการสืบสวนหาข่าวเครือข่ายหน้าใหม่ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเก่า ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่ง บช.ปส. ได้สืบสวนขยายผลจนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหา 3 คดี รวมไอซ์กว่า 1 ตัน  

คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปส.4 ร่วมกับศูนย์วิเคราะห์ข่าวสงขลา บก.ขส. จับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ 1.นายอาคม สุทธิโพธิ์ อายุ 27 ปี  ได้ที่ปั๊มน้ำมัน PT สาขาท่าแค ถ.เพชรเกษม ต.ท่าแค อ.เมือง จว.พัทลุง 2.น.ส.แหม่ม หมื่นบำรุง อายุ 32 ปี และ 3. น.ส.ชญาดา หมื่นบำรุง อายุ 35 ปี จับกุมได้ริมถนนสาย 41 ระหว่าง กม.128-กม.129 อ.ไชยา จว.สุราษฎร์ธานี  หลังพบว่าเมื่อวันที่ 16 ม.ค.66 กลุ่มผู้ลักลอบจะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลาง นำไปส่งให้กับขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้านทางภาคใต้ และพบรถของกลาง 3 คัน หนึ่งในนั้นบรรทุกสินค้าทางการเกษตรมาเต็มคัน ขับตามกันมา กระทั่งรถบรรทุกสินค้าจอดแวะที่ปั้มพีที สาขาท่าแค อ.เมือง จว.พัทลุง ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบนายอาคม สุทธิโพธิ์ เป็นผู้ขับขี่  สารภาพว่า มียาเสพติดซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าทางการเกษตรเพื่อใช้อำพรางการตรวจค้น ส่วนรถอีก 2 คัน จับกุมได้บริเวณริมถนนสาย 41 ในพื้นที่ ต.ป่าเว อ.ไชยา จว.สุราษฎร์ธานี ตรวจยึด ไอซ์ 688 กก., รถยนต์กระบะ 3 คัน ซึ่งใช้ซุกซ่อนยาเสพติดอำพรางมากับผลผลิตทางการเกษตร และ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง สำหรับขบวนการนี้เป็นเครือข่ายขบวนการค้าไอซ์ข้ามชาติ มาจากทางภาคอีสาน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ เพื่อไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยมีขบวนการมารอรับยาเสพติดที่บริเวณชายแดน ซึ่งจะอาศัยช่วงเปิดประเทศ และประชาชนเดินทางท่องเที่ยว ประกอบกับระบบการขนส่งสินค้าเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น เพื่อเตรียมลักลอบลำเลียงไปจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปส.4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.น.7 และเจ้าหน้าที่ ศรภ. กองบัญชาการกองทัพไทย จับกุม 4 ผู้ต้องหา คือ 1.น.ส.วรวรรณ หรือโรส นันทรุจินนท์ ที่หน้าร้านบิ๊กซี มินิมาร์ท ถ.เพชรเกษม ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร พร้อมของกลางไอซ์ 3.8 กรัม, ยาบ้า 100 เม็ด ก่อนขยายผลจับกุม 2.นายณัฐพงษ์ หรือณัฐ สมรรถบุตร ที่ ซ.จำเนียรสุข 3 ถ.เพชรเกษม แขวงวังท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลาง ไอซ์ 64  กรัม, 3.นายณัฐวุฒิ หรือป็อก แสนเมือง และ 4.นายนัส หรือมอส วัจนลักษณ์ ที่ หมู่บ้านจรัญวิลล่า 3 ซอยบางแวก 37 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลางไอซ์ 43.285 กก. และ ผงเมทแอมเฟตามีน 660 กรัม โดยเครือข่ายนี้จากการตรวตสอบพบมีการซื้อขายยาเสพติดกันผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ 

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุม นายทวีชัย  แซ่ย้า อายุ 25 ปี ภูมิลำเนาอยู่ อ.เชียงของ จว.เชียงราย สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนและติดตามกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าม้ง ผู้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน/จัดหาคนรับจ้างลำเลียงเสพติด ติดต่อประสานกับกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลักลอบลำเลียงยาเสพติดประเภทยาบ้า และ ไอซ์ จำนวนมาก จากพื้นที่ภาคเหนือผ่านเข้ากรุงเทพฯ และ ปริมณฑล โดยจะลำเลียงยาเสพติดสู่ไปส่งมอบให้กับลูกค้าตามสั่งการของผู้ว่าจ้างในพื้นที่ จว.สตูล และออกไปยังประเทศที่ 3 จนกระทั่งวันที่ 19 ม.ค.66 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหา ได้ที่บริเวณลานจอดรถห้างบิ๊กซี สาขาบ้านดู่ อ.เมือง จว.เชียงราย พร้อมตรวจยึดของกลาง (ไอซ์) จำนวน 10 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 300 กิโลกรัม อยู่ในห่อชาสีเขียว วางบรรทุกอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังผู้ขับขี่ รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ MAZDA BT50 สีดำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลที่หลบหนี บุคคลในเครือข่ายและ ยึดทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

ผบ.ตร. นำนักเรียนนายร้อยตำรวจ ปลูกต้นไม้จิตอาสา ถวายเป็นพระราชกุศล พร้อมบรรยายปลูกฝังการเป็นตำรวจที่ดีแก่นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกชั้นปี ต้องแม่นยำระเบียบกฎหมาย มีจริยธรรมประจำใจ

วันนี้ 24 ม.ค.66 เวลา 09.00 น. ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานโครงการปลูกต้นไม้จิตอาสาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี พล.ต.ท.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ข้าราชการตำรวจ นักเรียนนายร้อยตำรวจ หลักสูตร นรต., นรอ. และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมโครงการกว่า 1,500 คน ร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณ “เราทำความดีด้วยหัวใจ” พร้อมกันอย่างกึกก้อง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ได้ร่วมปลูก 'ต้นเสลา' ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และร่วมทำกิจกรรมจิตอาสากับผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต่อจากนั้น เวลา 10.00 น. ผบ.ตร. ได้บรรยายพิเศษ แก่ นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 1-4 และ นักเรียนอบรม ณ หอประชุมชุณหะวัณ มุ่งเน้นการเป็นตำรวจมืออาชีพ แม่นยำระเบียบกฎหมาย เชี่ยวชาญยุทธวิธีและเทคโนโลยี มีบุคลิกภาพและทักษะการสื่อสารที่ดี และมีจริยธรรมประจำใจ พร้อมแนะนำ 5 เทคนิคการทำงานให้มีความสุขและประสบความสำเร็จ

'ชาวสนามบินเชียงใหม่' ร่วมใจ เพื่อจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว

บุคลากรท่าอากาศยานเชียงใหม่ ร่วมใจฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว” ระดมบุคลากรที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ทุกภาคส่วน เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันเชื้อกลายพันธุ์และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว

วันที่ 24 มกราคม 2566 นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดโครงการ “ชาวสนามบินเชียงใหม่ร่วมใจ เพื่อจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว” ในกิจกรรมรณรงค์ “จังหวัดเชียงใหม่ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น บุคลากรภาคบริการด้านการท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป” โดยมีนายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ และมีนายนิมิตร อินปั๋นแก้ว รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่กล่าวรายงาน ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 

โดยหน่วยฉีดวัคซีนโควิด-19 เคลื่อนที่ โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้ตั้งหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนแก่บุคลากรของท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 24-25 มกราคม 2566  เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกัน และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว  ซึ่งบุคลากรของท่าอากาศยานเชียงใหม่ นับเป็นด่านหน้าในการรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ ต่างพร้อมใจกันทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นกันอย่างต่อเนื่อง 

โครงการ “ชาวสนามบินเชียงใหม่ร่วมใจ เพื่อจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว” เป็นโครงการที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ริเริ่มดำเนินการเพื่อสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ “จังหวัดเชียงใหม่ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น บุคลากรภาคบริการด้านการท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป” โดยได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกจ้าง บริษัทสายการบิน ผู้ประกอบการ ส่วนราชการ พนักงานจัดจ้างภายนอก พนักงานขับรถ ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มที่ปฏิบัติงานสัมผัสใกล้ชิดกับผู้โดยสาร ให้เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยได้รับการสนับสนุนวัคซีนเข็มกระตุ้นจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลนครพิงค์มาให้บริการฉีดวัคซีน ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 24-25 มกราคม 2566  

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกประชุมคณะกรรมการ กำหนดแนวทางแก้ปัญหาเกาะหลีเป๊ะ เน้นการบังคับใช้กฎหมายควบคู่การเจรจา

ภายหลังจากเมื่อวันที่ 22 ม.ค.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เพื่อรับฟังปัญหาชาวบ้านในพื้นที่ และตรวจสอบพื้นที่ที่มีการรุกล้ำพื้นที่อุทยาน โดยได้มีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีปัญหาข้อพิพาทระหว่างนายทุนภาคเอกชน และชาวบ้านในพื้นที่ ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
 
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (24 ม.ค.66) เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมที่ดิน กรมอุทยาน กรมธนารักษ์ และกรมบังคับคดี เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการดูแลวิถีชีวิตคนพื้นที่ คณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมาย และคณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบสิทธิ โดยทั้ง 3 คณะจะทำงานไปพร้อมๆ กันเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ในวันที่ 26 ม.ค.66 นี้ ผู้แทนกรมอุทยานจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ที่มีการบุกรุกพื้นที่เขตอุทยาน หรือมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำพื้นที่ เพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิด และจะให้ผู้บังคับการจังหวัดสตูล ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิของผู้ถือครองที่ดินต่างๆ ว่ามีสิทธิตามกฎหมายถูกต้องหรือไม่ รวมทั้งจะดำเนินการร่วมกับกรมบังคับคดี ในการตรวจสอบพื้นที่ที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับคดีให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ที่รุกล้ำ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถคืนพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว

'นิพนธ์' ปลื้ม นโยบาย 'สันติภาพ' สู่ 'สันติสุข' ของ' ปชป.ที่ ปลายด้ามขวาน มีเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่”นิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค/ผู้อำนวยการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ และที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการชูนโนยาย สันติภาพ สู่ สันติสุข”ในการแก้ปัญหาความไม่สงบใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรากฏว่า นโยบายดังกล่าว ได้รับการเห็นด้วยจาก ประชาชน กลุ่มต่างๆ ใน 3 จังหวัด คือ ปัตตานี,ยะลา ,นราธิวาส” และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพราะเห็นว่า เป็นนโยบายในการแก้ปัญหาความไม่สงบ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกต้อง

'มูฮัมมัด เด็ง' จาก อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ความไม่สงบละลอกใหม่ ที่เกิดตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปี 2566 ย่างเข้า 20 ปี  มีแต่เรื่องของความสูญเสีย ทั้ง เจ้าหน้าที่ และ ประชาชน คนในพื้นที่รู้สึก ผิดหวัง และ เบื่อหน่าย กับการแก้ปัญหาของ หน่วยงานความมั่นคง ที่มีการแต่การ ตรวจค้น จับกุม ปะทะกัน ทุกคนในพื้นที่ต้องการเห็น 'สันติภาพ' ที่จะเป็นหนทางนำไปสู่ 'สันติสุข' ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยการ 'พูดคุย' ทำความเข้าใจ และ 'จริงใจ' ที่ผ่านมา มีการ 'พูดคุย' แต่ไม่ จริงใจ จึงทำให้ไม่เกิด”สันติภาพ”ที่ต้องการ

เห็นด้วยกับนโยบายของประชาธิปัตย์ที่ สนับสนุนการพูดคุย กับขบวนการผู้เห็นต่าง ทั้งในพื้นที่ และนอกพื้นที่อย่าง จริงจัง และต่อเนื่องที่ผ่านมา มีการเจรจากันเป็นเวลา 10 ปี แต่การเจรจา ไม่มีผลในการนำ พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกจากความขัดแย้ง ที่สำคัญ พรรคการเมืองทุกพรรค ไม่มี นโยบาย ที่ชัดเจน  ในการดับไฟใต้ ปล่อยให้ ทหาร ทำหน้าที่ โดยไม่มีการ คัดค้าน ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

นิมะ สาแม ชาวบ้าน อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กล่าวว่า ขอให้ ประชาธิปัตย์ ทำจริงตามที่มีการประกาศเป็นนโยบายในเรื่องนำสันติภาพสู่สันติสุขเราไม่ต้องการเห็นคนตายไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็น ผู้เห็นต่าง เพราะเราพบว่าการ ปิดล้อม ตรวจค้น และ วิสามัญ” ผู้เห็นต่าง “ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา แต่ยิ่งทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และสุดท้าย การ พัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ ล้มเหลวเพราะถูก ขัดขวาง จากกลุ่มผู้เห็นต่าง และผู้เสียประโยชน์ และที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือ ประเทศชาติ ที่ต้อง เสียงงบประมาณ 19 ที่ผ่านมาถึง 4.9 แสนล้านแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top