Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48796 ที่เกี่ยวข้อง

รูดม่านฟุตบอลโลก 2022 ฟ้าขาวผงาดซิวสมัย 3 และฝันสุดท้ายของ 'MESSI 10' สำเร็จแล้ว

จะบอกว่าเมื่อคืน (18 ธ.ค. 65) เป็นคืนสุดคลั่งเลยก็คงไม่ผิด หลังผลลัพธ์ในเวลาของรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ลงเอยที่สกอร์ 3-3 แบบคนเชียร์ฝั่งไหน ก็ได้ช็อตช็อกกลับไปกลับมาในเวลาเพียงชั่วครู่ แม้สุดท้ายเราจะรู้ว่า ทัพฟ้าขาว 'อาร์เจนติน่า' จะแม่นโทษกว่า 'ฝรั่งเศส' และช่วยเติมบทละครชีวิตสุดท้ายบนสังเวียนฟุตบอลของ 'ลิโอเนล เมสซี่' ให้เป็นจริงได้แล้วก็ตาม

อาร์เจนติน่าจัดทัพเต็บสูบ นำโดย ลิโอเนล เมสซี่, อังเคล ดิมาเรีย, โรดริโก้ เดอปอล และ ฮูเลี่ยน อัลวาเลซ มาในแผน 4-3-1-2  ทางด้านฝรั่งเศสก็ขนชุดใหญ่ลงสนาม นำโดยท่านประธาน คีเลียน เอ็มบั๊ปเป้,  ชิรูด์, เดมเบเล่ และ กรีซมันส์ มาในแผน 4-2-3-1 เรียกว่าทั้งสองทีมต่างส่งผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนาม และมีแชมป์โลกหนที่ 3 เป็นเดิมพันของทั้ง 2 ทีม 

เกมในช่วง 15 นาทีแรกเป็นฝ่ายอาร์เจนติน่าที่ครองเกมส์ได้ดีกว่าฝรั่งเศส และมีโอกาสได้ยิงทักทายทางฝรั่งเศสครั้งถึง สองครั้ง จังหวะขึ้นเกมส์ของอาร์เจนติน่าทางฝั่งซ้าย ฮูเลี่ยน อัลวาเลซหลบเข้าเขตโทษ อุสมาน เดมเบลเลพยาเข้าสกัดแต่พลาดไปสะกิดขา ฮูเลี่ยน อัลวาเลซ ล้มในเขตโทษผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจุดโทษ เมสซี่ รับหน้าที่สังหารดวลกับ โยริส ของทางฝรั่งเศส แล้วเมสซี่ก็โชว์ ความเลือดเย็นยิงเข้าไปพาอาเจนขึ้นนำฝรั่งเศส 1-0 

ฝรั่งเศสพยายามตั้งเกมหวังทวงประตูคืนแต่ดูเหมือนว่าผู้เล่นฝรั่งเศสนั้นเล่นผิดฟอร์มกันทั้งทีม กลางเก็บบอลไม่ได้ และเอ็มบั๊ปเป้ไม่มีส่วนกับเกมเลยหลังจากผ่าน 30 นาทีแรกของเกม ฝรั่งเศสพยายามทำเกมขึ้นไปแต่โดนอาเจนฯ สวนกลับต่อบอลกัน 4 จังหวะเริ่มจากเมสซี่จ่ายให้ แมคอัลลิสเตอร์ หลุดถึงกรอบเขตโทษ แล้วปาดให้ ดิมาเรีย ที่เติมมาทางฝั่งซ้ายยิงสวน ฮูโก้ โยริส อาร์เจนฯ ทะยานนำ 2-0 นาที่ 36 แบบที่ช็อกแฟนทีมชาติฝรั่งเศสกันทั้งสนาม  และจบครึ่งแรก อาร์เจนติน่านำฝรั่งเศส 2-0 

ครึ่งหลังเกมยังเหมือนเป็นครึ่งแรก เป็นฝั่งอาร์เจนติน่าที่ยิ่งเล่นยิ่งดี บุกกดฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายเดียว เกมเดินมาถึงช่วงนาที่ที่ 80 ฝรั่งเศสทำเกมบุกขึ้นมาเข้าในกรอบเขตโทษ โกโล มัวนี่ ถูกดึงล้มผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษให้ฝรั่งเศส แล้วคนที่รับหน้าสังหารไม่ใช่ใครที่ไหยเป็น คีเลียน เอ็มบั๊ปเป้ ที่สังหารได้อย่างเยือกเย็น ฝรั่งเศสไล่มา 1-2 

‘SAWASDEE by AOT’ แอปฯ เดียวจบ ครบทุกเรื่อง สำหรับนักเดินทาง | THE STATES TIMES Y WORLD EP.39

แอปพลิเคชัน ‘SAWASDEE by AOT’
พร้อมใช้ทุกฟังก์ชัน ม.ค.นี้ ตัวช่วยนักท่องเที่ยว

.

ติดตามได้ใน THE STATES TIMES Y World X The Stucture

.

#THESTATESTIMES

#THESTATESTIMESYWORLD

#แอปสวัสดี

#AOT

#ท่องเที่ยว

‘พิธา’ ปลุก 'ยะลา' เปลี่ยนพื้นที่ความกลัวเป็นพื้นที่ความหวัง ชู นโยบายเอาทหารออกจากการเมือง-ยกเลิก กอ.รมน.

ก้าวไกลไปยะลา เปิดเวทีคุยนโยบายสันติภาพก้าวหน้า อัดเป็น 19 ปีแห่งความล้มเหลว เจรจาสันติภาพถึงทางตัน ชู นโยบายเอาทหารออกจากการเมือง-ยกเลิก กอ.รมน.-เปลี่ยน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็น พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ประกาศใช้คราวละ 30 วัน ต้องขออนุมัติสภา ‘พิธา’ ปลุก เปลี่ยนพื้นที่ความกลัวเป็นพื้นที่ความหวัง โยนโจทย์พัฒนาสามจังหวัดชายแดนใต้ แคนดิเดตนายกฯต้องตอบให้ได้ ลั่นปฏิรูปการเมือง-เขียนรัฐธรรมนูญใหม่-ให้ประชาชนเลือกนายกจังหวัด ปลดปล่อยศักยภาพชายแดนใต้ทั้งการท่องเที่ยว-เศรษฐกิจสร้างสรรค์-อุตสาหกรรมแพะ 

วันที่ 18 ธันวาคม 2565 ที่ จ.ยะลา พรรคก้าวไกลจัดเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนนโยบาย 'สันติภาพก้าวหน้า' นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลพร้อมด้วย อันวาร์ อุเซ็ง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ยะลา เขต 1 ณรงค์ อาแว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ยะลา เขต 3 และรอมฎอน ปันจอร์ คณะทำงานนโยบายชายแดนใต้-ปาตานี

รอมฎอน กล่าวว่า กระบวนการเจรจาสันติภาพในปัจจุบัน อยู่ในช่วงยากลำบากและเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ต้องการความมุ่งมั่นทางการเมืองของทุกฝ่าย ที่ผ่านมารัฐบาลทหารและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)  ทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหาทางการเมืองถึงทางตัน วันนี้จึงต้องการการแก้ไขปรับปรุงเพื่อเดินหน้าหาข้อยุติในการอยู่ร่วมกัน เราเชื่อว่าถ้าประเทศไทยเปลี่ยน กระบวนการสันติภาพก็ต้องเปลี่ยน และพรรคก้าวไกลเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยหลักการพื้นฐานที่ได้วางหมุดหมายไว้ตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ คือการมองคุณค่าคนทุกคนเท่ากัน แต่ละคนมีพลังอำนาจในการกำหนดอนาคต ไม่จำเป็นต้องมีการเมืองที่อิงระบบอุปถัมภ์ สิ่งนี้สำคัญมากที่จะทำให้ชายแดนใต้และประเทศไทยไปสู่อนาคต นำมาสู่การพัฒนานโยบายสันติภาพก้าวหน้าซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างนโยบาย 9 เสาหลักของพรรคก้าวไกลและข้อเสนอของคนในพื้นที่ โดยหัวใจของนโยบายนี้ จะล้อไปกับสโลแกนสวยหรูของ กอ.รมน. อย่าง ‘มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ โดยเปลี่ยนเป็น ‘ลดความมั่งคั่งทางทหาร เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร และสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน’

อมรัตน์ กล่าวว่า กอ.รมน. ก่อตั้งขึ้นในปี 2508 จากหน่วยงานที่ชื่อว่า 'กองบัญชาการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์' ทั้งที่ภัยคุกคามคอมมิวนิสต์จากนอกประเทศหมดไปแล้ว แต่ กอ.รมน. ยังคงอยู่ในฐานะที่เป็น 'หน่วยงานพิเศษ' ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานที่มีที่มาจากทหาร ตรวจสอบไม่ได้ ไม่โปร่งใส ไม่ทันสมัย ที่สำคัญที่สุดคือไม่เข้าใจประชาธิปไตย สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ วาระเร่งด่วนคือแก้ไขโครงสร้างของกลาโหมให้มีพลเรือนเข้าไปร่วมตัดสินใจด้วย และในระยะยาว เราเสนอให้ยกเลิก กอ.รมน. ซึ่งจะทำให้เรามีงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกปีละ 10,000 ล้านบาท เพื่อนำงบมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดสวัสดิการถ้วนหน้าทุกช่วงวัย เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกคน

ชัยธวัช กล่าวว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนที่จังหวัดนราธิวาสเมื่อ 2547 ภาครัฐใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท เพื่อแก้ไขความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 7,000 คน อีกจำนวนมากบาดเจ็บและสูญหาย เป็นข้อพิสูจน์ว่าวิธีการที่ผ่านมาซึ่งถูกกำกับโดยวิธีคิดแบบทหารนั้นล้มเหลว ดังนั้น ข้อเสนอเพื่อสร้างสันติสุขก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล จะยืนบน 3 หลักการ เรียกว่า ‘3D’ ประกอบด้วย Democratization การสร้างประชาธิปไตยต้องเริ่มต้นจากคนทุกคนเท่ากัน อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน Demilitarization เอาทหารออกจากการเมือง การแก้ปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ต้องนำโดยพลเรือน เลิกใช้กฎหมายที่เป็นวิธีคิดแบบทหาร เปลี่ยนเป็นมองความมั่นคงของประชาชนเท่ากับความมั่นคงของชาติ และ Decentralization คือกระจายอำนาจ ยกเลิกโครงสร้างรัฐรวมศูนย์ เอาอำนาจและงบประมาณมาอยู่ที่ท้องถิ่น มีอำนาจตัดสินใจออกแบบสังคมที่รองรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

‘ชาวฝรั่งเศส’ เรียกร้องรัฐบาลถอนตัวจาก ‘นาโต้-อียู’ และเลิกคว่ำบาตรรัสเซีย หลังราคาพลังงานพุ่งไม่หยุด

พวกผู้ชุมนุมรวมตัวกันบนท้องถนนของกรุงปารีสเมื่อวันเสาร์ (17 ธ.ค.) ประท้วงคัดค้านนโยบายต่างๆ ของฝรังเศสที่มีต่อรัสเซีย และเรียกร้องให้ประเทศถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของนาโต้ ท่ามกลางความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจ อันเนื่องจากราคาพลังงานที่พุ่งสูง ผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซีย

การชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมหลายพันคนในครั้งนี้ จัดโดยพรรค Les Patriotes (พรรครักชาติ) พรรคการเมืองฝ่ายขวาที่นำโดย ฟลอริย็อง ฟิลิปโปต์ อดีตรองหัวหน้าพรรค National Rally ของนางมารีน เลอแปง

ฟิลิปโปต์ จัดการชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า ‘การขัดขืน’ มาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง เรียกร้องให้ฝรั่งเศสถอนตัวจากนาโต้และอียู เช่นเดียวกับวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจและการต่างประเทศของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง

ในการประท้วงในวันเสาร์ (17 ธ.ค.) พวกผู้ชุมนุมถือป้ายข้อความต่างๆ ในนั้นรวมถึง ‘ฝรั่งเศสต้องออกจากนาโต้’ และ ‘ถอดถอนมาครง’ รวมไปถึง ‘ขัดขืน!’ นอกจากนี้ พวกเขายังโบกธงชาติฝรั่งเศสและตะโกนว่า ‘อัวร์ซูลา หุบปากซะ!’ อ้างถึง อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป

ความเคลื่อนไหวประท้วงล่าสุดนี้ ซึ่งตัวของ ‘ฟิลิปโปต์’ เข้าร่วมด้วย มีชนวนเหตุเฉพาะเจาะจงจากราคาพลังงานที่พุ่งสูง ซึ่งบีบให้ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากทั่วประเทศต้องปิดตัวลง โดยเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า “เราต้องหยุดมาตรการคว่ำบาตรต่อต้านรัสเซีย เพราะมันไม่ได้รับใช้สันติภาพ แต่มันนำความทุกข์ยากมาที่นี่”

‘บิ๊กตู่’ หนุน ไทยเป็นฮับ EV ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมตั้งเป้าผลิต 250,000 คันต่อปี ภายในปี 2568

(19 ธ.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ โดยในปี 2568 วางแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เป็นจำนวน 250,000 คันต่อปี ซึ่งจะทำให้ภายในปี 2573 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม สมาคมยานยนต์ไทย และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ โดยตั้งเป้าให้ปี 2568 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้จำนวน 250,000 ต่อปี ซึ่งคิดเป็น 10% ของจำนวนการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ และในปี 2573 จะเพิ่มจำนวนการผลิตเป็น 750,000 คันต่อปี หรือ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด 2,500,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) 375,000 คัน รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicle: HEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (Plug-In Hybrid Electric Vehicle: PHEV) 375,000 คัน ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ GDP ของประเทศไทย เป็นจำนวนเงินถึง 200,000 ล้านบาท และเพิ่มอัตราการจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ถึง 30,000 อัตราต่อปี

นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลได้พัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ขับเคลื่อนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจน ออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือแพคเกจรถยนต์ EV มาตรการลดภาษี EV ปี 2565 - 2568 ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมการดำเนินนโยบายของรัฐบาล 

นายอนุชา กล่าวว่า โดยรัฐบาลและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เคยออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2563 ได้แก่ กรณีที่มีขนาดการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และหากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาก็สามารถได้รับสิทธิเพิ่ม กรณีขนาดการลงทุนน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญเพิ่มเติมจากข้อกำหนดพื้นฐาน มีปริมาณการผลิตจริงมากกว่า 10,000 คันต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top