Monday, 30 June 2025
ค้นหา พบ 49103 ที่เกี่ยวข้อง

Crypto ร่วงแรง!! หลังนักลงทุนหวั่น FTX ล้มละลาย ฉุดราคา 'BTC-ETH' หลุดต่ำสุดใหม่ในรอบปีนี้

ราคา Crypto กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักมาจากการที่นักลงทุนกังวลต่อการล้มละลายของ FTX และสถานะของเงินทุนของลูกค้า ฉุดให้ราคา BTC และ ETH ร่วงลงอย่างรุนแรง สร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบปีนี้

จากการเปิดเผยของ cointelegraph ระบุว่าราคา Crypto ลดลงทั่วทุกกระดานเทรดในวันที่ 8 พฤศจิกายน เนื่องจากความกังวลในกระแสข่าวการล่มสลายของ FTX กระดานเทรดคริปโตชื่อดังที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะประเด็นการโต้เถียงของเหรียญ FTT ซึ่งเป็นเหรียญคู่บุญประจำกระดานของ FTX และการออกมาให้ข้อมูลของ Alameda ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาด crypto ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ในวันนั้น Bitcoin (BTC), Binance coin (BNB), Ethereum (ETH), FTX token (FTT) และ Solana (SOL) กลับขึ้นมารีบาวด์ได้ในช่วงสั้น ๆ หลังจากมีข่าวว่า Binance จะเข้าซื้อกิจการของ FTX แต่การเด้งกลับเกิดขึ้นมานั้นก็ยังคงแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง

ในขณะที่เขียน FTT ตกลงต่ำกว่าเครื่องหมาย 7 ดอลลาร์ซึ่งขาดทุน 70% ในวันนั้น ขณะที่ราคาโซลานายังอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยต้องเผชิญกับการปรับฐาน 18% เนื่องจากซื้อขายต่ำกว่า 25 ดอลลาร์ หลังจากข่าว Binance จะซื้อกิจการ FTX ขณะที่ BNB ดูเหมือนจะเป็นเหรียญเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบในวันนี้ อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของตลาดไม่ได้สำรองโทเค็นการแลกเปลี่ยนซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ 328 ดอลลาร์ซึ่งสะท้อนถึงการสูญเสีย 2.6%

นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับงบดุล FTX ได้ทำให้ตลาดมีการพลิกกลับอย่างรวดเร็วหลังจากที่ Binance ประกาศเข้าซื้อกิจการของ FTX ซึ่งทำให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้น โดยจากรายงานพบว่า FTX มีความพยายามในการระดมทุนมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์เพื่อโปะช่องว่างในงบดุล ซึ่งทำให้ข้อตกลง และสถานะทางบัญชีตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์กำลังเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันระหว่างการดำเนินการของ FTX ในปัจจุบัน ซึ่งมีช่องว่างด้านงบประมาณขนาดใหญ่ และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคล้ายกับ Terra Luna ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างมากเมื่อช่วงกลางปี โดยความหวาดกลัวเหล่านี้ได้เพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุนจำนวนมาก เกี่ยวกับอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซีโดยรวม

>> ภัยคุกคามจากกฎระเบียบเขย่าตลาดคริปโตอย่างต่อเนื่อง

อุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซีและหน่วยงานกำกับดูแลมีประวัติที่ไม่สอดคล้องกันเนื่องจากความเข้าใจผิดต่าง ๆ หรือไม่ไว้วางใจในกรณีการใช้งานจริงของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยหากไม่มีกรอบการทำงานสำหรับกฎระเบียบของภาค crypto ในประเทศและรัฐต่าง ๆ มีนโยบายที่ขัดแย้งกันมากมาย เกี่ยวกับวิธีการจัดประเภท cryptocurrencies เป็นสินทรัพย์และสิ่งที่ถือเป็นระบบการชำระเงินทางกฎหมาย

อย่างไรก็ดีการขาดความชัดเจนในเรื่องนี้ ส่งผลต่อการเติบโตและนวัตกรรมภายในภาคส่วน และนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าการรวมกลุ่มของ cryptocurrencies หลักๆไม่สามารถเกิดขึ้นได้จนกว่าจะมีการออกกฎหมายที่เข้าใจกันในระดับสากลและเข้าใจมากขึ้น

'โรม’ จี้ ‘ผบ.ตร.’ รื้อตั๋วช้าง 2 ปมทุจริตในกองบินตำรวจ หลังผ่าน 3 เดือน สนิมที่อยู่เนื้อในยังถูกปล่อยปละ

(10 พ.ย. 65) รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าว สืบเนื่องจากกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 กรณีปล่อยปละละเลยทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจ

ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านมานานกว่า 3 เดือนแล้ว ได้อภิปรายถึงการทุจริตในกองบินตำรวจ 3 เรื่อง ได้แก่...

เรื่องแรกกองบินตำรวจได้รับงบประมาณมาประมาณ 950 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดซื้อจัดจ้าง สุดท้ายทำให้หนี้ค้างสูงถึง 1,824 ล้านบาท ปัญหาค้างและใช้งบประมาณเกิน ทำให้เครื่องบินขึ้นบินไม่ได้กว่า 11 ลำ 

หลังจากอภิปรายไม่ไว้วางใจไป พล.ต.อ. ปิยะ อุทาโย อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในขณะนั้น ตั้งผลสอบจเรตำรวจ ซึ่งปรากฏใช้เวลาเนิ่นนานมาก ก็ไม่มีผลสอบชัดเจนที่จะเอาผิดใครได้ แม้อาจมีความเคลื่อนไหวจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) บ้าง แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าต่อไป ส่วนทางรัฐบาลเองก็ทราบว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ทำอะไร และไม่สามารถดำเนินคดีเอาผิดใครได้เลย และยังคงเป็นนายตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปทั้งที่สร้างความเสียหายต่อรัฐได้สูงขนาดนี้

“มากไปกว่านั้น หนี้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ค้างอยู่เฉย ๆ แต่รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ นำงบกลางที่เป็นเงินภาษีของพวกเราประชาชน ไปชำระแทน การทุจริตของนายตำรวจคนหนึ่งสร้างความเสียหาย แทนที่จะนำภาษีไปใช้อย่างคุ้มค่า สมกับที่ประชาชนอุตส่าห์จ่ายภาษีเลี้ยงดูรัฐบาล”

เช็กชื่อ ส.ส.ล็อตใหญ่ จ่อโบกมือลาปชป. สถานีต่อไป ซบรวมไทยสร้างชาติ - เพื่อไทย

เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคปชป. จะเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช จำนวน 9 เขตของจังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 12 พ.ย.นี้

แต่เมื่อน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช แจ้งความประสงค์ต่อผู้บริหารพรรค จะไม่ไปร่วมงานดังกล่าว เนื่องจากจะย้ายพรรคไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) แล้ว ทำให้ประชาธิปัตย์ต้องหาคนใหม่มาแทนพิมพ์ภัทรา ทราบข่าวว่ากำลังทาบทามผู้หญิงคนหนึ่งมาลงแทน ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของนักการเมืองด้วย

นอกจากนี้ในพรรคปชป. ยังมีการพูดถึงชื่อส.ส.อีกหลายคนที่อาจจะย้ายพรรค อาทิ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มีความสนิทสนม เป็นการส่วนตัวกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม และอดีตแนวร่วมกปปส. รวมถึงนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตส.ส.ตรัง ที่แจ้งความประสงค์จะลงเขตเลือกตั้งที่ 4 จ.ตรัง แต่แพ้ผลสำรวจความนิยมที่พรรคจัดทำท่ามกลางความเคลือบแคลง โดยมีรายงานว่าพรรครวมไทยสร้างชาติได้ทาบทามไว้แล้ว หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งลงเลือกตั้งครั้งหน้า ก็จะย้ายไปรทสช.

นอกจากนี้พัทลุงก็มีข่าวอื้ออึงว่า 'สุพัชรี ธรรมเพชร' ก็อาจจะตามคุณอา 'วิสุทธ์ ธรรมเพชร' ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติเช่นกัน ซึ่งวิสุทธิ์ เดินนำหน้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติก่อนแล้ว ซึ่งถ้าสุพัชรีเดินออกไป ลูกสาวของ 'สานันท์ สุพรรณชนะบุรี' อดีต ส.ส.พัทลุง และอดีตนายกฯอบจ.พัทลุง 2 สมัย ก็พร้อมเสียบแทน

ข่าวแว่วมาแต่ไกลว่า 'กันตวรรณ ตันเถียร' ส.ส.พังงา ก็มีคนจีบอยู่เหมือนกัน เมื่อหลายคนเตรียมตีจาก กันตวรรณ ก็ต้องคิด

และยังมีชื่อ พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ส.ส.นครปฐม เป็นอีกรายหนึ่งที่จะย้ายไปรวมไทยสร้างชาติด้วย เนื่องจากมีบิ๊กทหารเป็นคนเชื่อมประสานให้

ในส่วนของ น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ลูกสาวนายชุมพล กาญจนะ อดีตส.ส. และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ โดยก่อนหน้านี้ น.ส.วชิราภรณ์ ได้เปิดตัวว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าลงในนามประชาธิปัตย์ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกระแสข่าวจะย้ายไปพรรคภูมิใจไทย แต่สุดท้ายไม่ได้ย้ายไปพรรคดังกล่าว เนื่องจากดีลไม่ลงตัว

โรงรับชำเราบุรุษและนครโสเภณีสมัยอยุธยา อาชีพเสรี ที่ถูกต้องห้ามในโลกปัจจุบัน

จากละครเรื่อง ‘ลายกินรี’ ที่กำลังออกอากาศทางช่องน้อยสีอยู่ในขณะนี้ ละครอิงอยู่ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีฝรั่งมั่งค่าและชาวต่างชาติมาเผ่นผ่านอยู่เต็มพระนครไปหมด มีสถานที่หนึ่งที่ปรากฏและปรากฏอยู่ในละครอิงประวัติศาสตร์แบบนี้อยู่อย่างเนือง ๆ นั่นก็คือ ‘โรงรับชำเราบุรุษ’ และนครโสเภณี...

‘พระไอยการลักษณะผัวเมีย’ ซึ่งตราขึ้นใน พ.ศ.1904 สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวถึงหญิงนครโสเภณี ซึ่งแสดงว่ามีการค้าประเวณีเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว ว่ากันว่า คำว่า ‘นครโสเภณี’ นี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า ‘หญิงงามเมือง’ เพราะโดยรากศัพท์แล้ว ‘โสเภณี’ แปลว่า ‘หญิงงาม’ ส่วน ‘นคร’ แปลว่า ‘เมือง’ รวมความว่าเป็นหญิงงามเมือง โดยอ้างกันว่ามีที่มาจากอินเดีย แต่หญิงงามเมืองในอยุธยาอาจจะไม่ได้โชคดี มีฐานะสูงส่งอย่างหญิงงามเมืองของอินเดียในอดีต ในสมัยอยุธยานั้นยังไม่มีการใช้คำว่า ‘ซ่อง’ แต่เรียกว่า ‘โรงรับชำเราแก่บุรุษ’

ในช่วงกว่าหนึ่งศตวรรษท้ายของอยุธยา ที่การค้ากับต่างชาติเฟื่องฟู ทั้งกับตะวันออก จีน, ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, ตังเกี๋ย และกับตะวันตก ฮอลันดา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, แขกมัวร์ และกับรัฐใหญ่น้อยโดยรอบทั้งลาว, กัมพูชา, ล้านนา, มอญ, พะโค, อังวะ, มลายู การค้าและความมั่งคั่งเฟื่องฟูนี้ตรงกับในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง และพระนารายณ์ เงินทองที่สะพัด ผู้คนที่มากหน้าหลายตา ธุรกิจเพื่อความสำราญใจก็ขยายตัว อันนี้มีบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ ‘คำให้การชาวกรุงเก่า’ / ‘คำให้การขุนหลวงหาวัด’ ซึ่งพระเจ้าอังวะได้ให้พระเจ้าอุทุมพรและข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยที่ถูกจับเป็นเชลยไปเมื่อคราวเสียกรุงใน พ.ศ.2310 ได้ลำดับเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา จดบันทึกไว้ว่า…

“…มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง 4 ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วย รวมเป็น 30 ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด 4 โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด 1”

สรุปคือมี ‘โรงรับชำเราบุรุษ’ ที่ตลาดบ้านจีน ปากคลองขุนละครไชย โดยตั้งอยู่ท้ายตลาด 4 โรง ส่วน ‘คลองขุนละครไชย’ ที่ว่านี้คือ ‘คลองตะเคียน’ อยู่นอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เพราะอยู่ใกล้ป้อมเพชร อันเป็นป้อมที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา เป็นอันว่าเราพอจะรู้แหล่งทำกินของบรรดาหญิงงามเมืองว่าอยู่ในตลาด อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งแห่งในอยุธยา

ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ อัครราชทูตชาวฝรั่งเศส ผู้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชอาณาจักรอยุธยา ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกความทรงจำเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามไว้ใน ‘จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนเอกสารไม่กี่ชิ้นที่ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการค้าประเวณีในราชอาณาจักรอยุธยา โดยมีถ้อยคำที่เกี่ยวข้องเรื่องของหญิงนครโสเภณี ว่า...

“...บรรดาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงนั้นหาใช่เจ้าใหญ่นายโตเสมอไปไม่ เช่นเจ้ามนุษย์อัปรีย์ที่ซื้อผู้หญิง และเด็กสาวมาฝึกให้เป็นหญิงนครโสเภณีคนนั้น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ‘ออกญา’ เรียกกันว่า ‘ออกญามีน’ เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลนมากที่สุด มีแต่พวกหนุ่มลามกเท่านั้นที่จะไปติดต่อด้วย" 

ความอีกตอนหนึ่ง กล่าวถึงเมื่อชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้สิ้นชีวิตลงซึ่งมีความน่าสนใจ ความว่า…

“.....มรดกจะตกอยู่แก่ภรรยาหลวงทั้งสิ้น แล้วก็ถึงบุตรภรรยาหลวงเป็นผู้ได้รับมรดกจากบิดามารดาโดยเสมอภาคกัน แต่ผู้เป็นภรรยาน้อย หรือบุตรภรรยาน้อยนั้น ผู้เป็นทายาทอาจขายให้ไปเป็นทาสผู้อื่นเสียก็ได้ ส่วนบุตรีที่เกิดแต่ภรรยาน้อย ก็จะถูกขายส่งไปเป็นภรรยาน้อยเขาตามเหล่ากอต่อไป คนที่มีอำนาจวาสนามาก ก็จะเลือกซื้อแต่ที่มีรูปร่างงดงาม โดยไม่คำนึงถึงว่าหญิงสาวนั้นจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร" และที่มาของหญิงนครโสเภณีความว่า.…

“....ถ้าบุตรีคนใดกระทำชั่ว ขุนนางผู้บิดาก็ขายบุตรีส่งให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้สตรีที่ตนซื้อมานั้นเป็นหญิงแพศยาหาเงินได้ โดยชายผู้มีชื่อนั้นต้องเสียเงินภาษี กล่าวกันว่า ชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองของตนถึง 600 นาง ล้วนแต่เป็นบุตรีขุนนางที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทั้งนั้น อนึ่งบุคคลผู้นี้ยังรับซื้อภรรยาที่สามีขายส่งลงเป็นทาสี ด้วยโทษคบชู้สู่ชายอีกด้วย” 

‘เพื่อไทย’ โวย!! รัฐนิ่ง ทำท่องเที่ยวเชียงใหม่ซบ แนะ!! ต้องหานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่มาเพิ่ม

(10 พ.ย. 65) นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เวลานี้แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยจะลดลง และสามารถเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้ แต่พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังมีปริมาณน้อยมาก เพราะนักท่องเที่ยวต่างประเทศรวมทั้งจีน ยังไม่เดินทางออกมาท่องเที่ยวมากนัก ส่งผลกระทบกับรายได้การท่องเที่ยวที่ลดลงตามไปด้วย ดังนั้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวจึงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเท่าที่ควร งบประมาณที่จัดสรรให้ก็มีน้อยมาก

นายจักรพล กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่าการท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์ที่สำคัญสำหรับประเทศไทย แต่กลับทอดทิ้งไม่หากลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ในโลกยังมีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่อยากมาเที่ยวไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโอเชียเนียร์ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย กลุ่มตะวันออกกลาง ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศควรบูรณาการทำงานร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปโปรโมทการท่องเที่ยวของไทยกับกลุ่มประเทศใหม่ ๆ แต่ทั้งสองกระทรวงกลับนิ่งเฉย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top