Tuesday, 17 June 2025
ค้นหา พบ 48864 ที่เกี่ยวข้อง

คนไทยถือครองคริปโทมากที่สุดในโลก?

"คนไทยใช้ NFT มากที่สุดในโลก 5.65 ล้านคน"
"คนไทยถือครองคริปโตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก"

พาดหัวเหล่านี้คงเคยผ่านตาหลาย ๆ คนมาบ้าง1 หลายคนอาจจะดีใจ ว่าคนไทยก้าวทันเทคโนโลยี บางคนอาจจะเป็นห่วง ว่าคนไทยเอาเงินไปเก็งกำไรกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมาก

>> แต่คนไทยถือครองคริปโตมากขนาดนั้นจริงมั้ย?

ข้อมูลนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ก.ล.ต. หรือ ธปท. เพราะเป็นตัววัดว่าคนไทยสนใจ cryptocurrency มากแค่ไหน จะเกิดความเสี่ยงทั้งต่อเงินออม เงินลงทุนของประชาชน หรือความเสี่ยงต่อระบบหรือไม่ หรือหากเกิดเหตุการณ์ราคาคริปโทผันผวนมาก (เช่นกรณี UST ที่ผ่านมา) จะได้ใช้ประเมินได้คร่าว ๆ ว่ามีผู้ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

บทความนี้จะลองมาดูว่าตัวเลขเหล่านี้มีที่มาอย่างไร น่าเชื่อถือแค่ไหน โดยจะพูดถึงสถิติสามตัวที่ได้รับการกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้แก่...

1. Digital 2022 Global Overview Report ที่ประเมินว่าคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ต อายุ 16–64 ถึง 20.1% ถือครองคริปโตอยู่ มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
2. Statista Digital Economy Compass 2022 ที่ประเมินว่าคนไทยถือครองคริปโต 4 ล้านคน ขณะที่มีคนไทยที่มี NFT มีมากถึง 5.65 ล้านคน
3. TripleA's "Cryptocurrency across the world" ที่ประเมินว่าคนไทยถือครองคริปโตอยู่ 3.6 ล้านคน

>> เรารู้อะไรบ้างจากข้อมูลของ ก.ล.ต.

ด้วยธรรมชาติของคริปโท ทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า wallet ต่าง ๆ นั้นเป็นของใคร ของคนชาติไหน ในการหาคำตอบว่ามีคนไทยซักกี่คนที่ถือคริปโตอยู่ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดที่พอจะมีอยู่และเป็นจุดเริ่มต้นได้ ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่เรียกว่า administrative data (ภาษาไทยแปลว่า "ข้อมูลเพื่อการบริหาร" ซึ่งคือข้อมูลที่มีจุดประสงค์อื่น ๆ นอกจากการทำสถิติ เช่น ข้อมูลลงทะเบียน หรือข้อมูลบันทึกการทำธุรกรรม) ในกรณีนี้ ถ้าเราอนุมานว่าคนที่ถือคริปโทส่วนใหญ่จะมีบัญชีอยู่กับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ด้วย และ exchange เหล่านี้ก็ต้องรายงานกับ ก.ล.ต. ว่ามีบัญชีเปิดอยู่กี่บัญชี เราก็สามารถดูข้อมูลจาก ก.ล.ต. ได้เลย

จาก รายงานสรุปภาวะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรายสัปดาห์ ของ ก.ล.ต. จะพบว่า exchange ภายใต้กำกับของ ก.ล.ต. ทั้งหมดมีบัญชีรวมกันประมาณ 2.7 ล้านบัญชี (ณ เมษายน 2565) ซึ่งอันนี้อาจมีการนับซ้ำได้ (กรณีคนคนหนึ่งมีบัญชีอยู่กับ exchange สองแห่ง)

แน่นอนว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวม exchange เจ้าใหญ่ ๆ ของโลกอย่าง Binance, Coinbase, หรือ Kraken ที่ไม่ได้อยู่ใต้กำกับของ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นข้อจำกัดของข้อมูล adiministrative data นี้ ทำให้เราไม่สามารถทราบจำนวนคนไทยที่ถือคริปโททั้งหมดได้ แต่อาจจะลองใช้เป็น baseline ในการเปรียบเทียบกับตัวเลขอื่น ๆ ได้

>> เปรียบเทียบข้อมูลของทั้งสามแหล่ง

ตัวเลขของทั้ง DataReportal และ Statista นั้น ต่างมาจากผลการตอบแบบสำรวจ โดย DataReportal อ้างอิงผลสำรวจโดย GWI (จำนวน 17,500 ตัวอย่าง2) ขณะที่รายงานของ Statista นั้น อ้างอิงข้อมูลจาก Statista Global Consumer Survey (อย่างน้อย 2,000 ตัวอย่าง3) โดยทั้งสองแบบสำรวจอ้างว่าเป็นการสำรวจแบบใช้โควต้า (quota sampling) กล่าวคือ จำกัดจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม ตามกลุ่มอายุ เพศ การศึกษา ที่ตอบแบบสอบถามให้ได้ตามสัดส่วนประชากรจริง ทำให้ได้ผลที่น่าเชื่อถือมากกว่าการสำรวจที่ไม่มีโควต้า

ที่มา: DataReportal / GWI (Q3 2021). FIGURES REPRESENT THE FINDINGS OF A BROAD GLOBAL SURVEY OF INTERNET USERS AGED 16 TO 64. SEE GWI.COM FOR FULL DETAILS.

'อนุสรณ์' ชี้ สึนามิทางการเมือง จะกวาดล้างระบอบสืบทอดอำนาจ จนสิ้นซาก

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุกลางสภา ไม่ได้เป็นคนทำปฏิวัติ คนที่ทำปฏิวัติเพียงคนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าได้ทำอะไรผิดไป ยังรีบแอ่นอก ยกมือรับ ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อยว่าได้ทำปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายเกียรติภูมิของประเทศ 

พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันกับผู้บังคับบัญชามาตลอดว่าจะไม่ปฏิวัติ แต่ก็พลิกลิ้น สบจังหวะก็กลืนน้ำลาย ชิงจังหวะลงมือปฏิวัติรัฐประหารพฤติกรรมแบบนี้ชายชาติทหารเขาไม่ทำกัน พล.อ.ประยุทธ์ ไปเอาความภาคภูมิใจมาจากไหนนักหนา ที่นำพาประเทศเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ นานาอารยะประเทศไม่ยอมรับ ประเทศถูกยึด ประชาชนผู้เห็นต่างถูกรวบ ฉีกรัฐธรรมนูญ ยื้อการเลือกตั้ง แล้วก็เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ ประเทศต้องจ่ายมหาศาลเพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ผ่านไป 8 ปี เห็นท่าไม่ดี กลัวว่าประชาชนจะสั่งสอน ไม่เห็นโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งครั้งหน้า ก็กลับลำพลิกลิ้น เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า กลับไปใช้สูตรหาร 500 ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด 

'สร้างอนาคตไทย' หนุน!! สูตรปาร์ตี้ลิสต์หาร 100 สอดคล้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่

(22 ก.ค. 65) นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) และผู้อำนวยการพรรค กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ส่งสัญญาณสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 500 อาจไปต่อไม่ได้ เพราะจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ว่า รัฐสภามีมติเห็นชอบการใช้สูตรหารด้วย 500 หากจะเปลี่ยนไปใช้สูตรหาร 100 ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ หรือ กกต.ท้วงกลับมาที่รัฐสภา ซึ่งก็อยู่ที่รัฐสภาว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ส่วนตัวตนยังสนับสนุนให้ใช้สูตรหาร 100 เนื่องจากเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่

"ต้องรอดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญหรือ กกต.จะมีความคิดเห็นกลับมาอย่างไร เห็นว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือขอให้แก้ไข ส่วนกรณีที่นายสมศักดิ์ ออกมาแสดงความกังวลต่อเรื่องนี้ อาจจะมีนัยยะทางการเมืองสำคัญซ่อนอยู่" นายวิเชียร กล่าว

ซุบซิบเรื่องต่ำๆ กับ สภาฯ ไทย ในศึกซักฟอก 19-22 ก.ค.65

ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วันผ่านไปอย่างตั้งใจ ใจจดใจจ่อตามที่ฝ่ายค้านโหมโรง ชื่อ ยุทธการเด็ดหัวสอยนั่งร้าน ฟังแล้วตื่นเต้นดี พร้อมกับออกโปสเตอร์หนังมาสร้างวันก่อนทำศึก ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็คิดว่าเงียบ ๆ คอยเตรียมข้อมูลเพื่อตอบโต้ฝ่ายค้าน แต่คืนสุดท้ายก่อนเปิดอภิปราย ก็มีหมัดเด็ดมาเบา ๆ โปสเตอร์เจมส์ตู่ 008 พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย หรือ NO TIME TO DIE ออกมาสู้พอเป็นสีสันโหมโรงกัน ฟังไปฟังมาทั้งสามวันมีแต่เรื่องเดิม ๆ ข้อมูลในเฟซบุ๊กที่ปั่นกันมา 3 ปี 8 ปี ไม่มีหลักฐานเด็ดอะไรเลย

แต่ที่สะดุดจริง ๆ ปรี๊ดขึ้นมาทำให้สภาร้อน ก็ตอน ส.ส.หญิง ผู้ทรงเกียรติ จากทางอีสานติดแม่น้ำโขง ลุกขึ้นอภิปราย รมว.ดีอีเอส เรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่งฟังนึกว่าเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐมนตรี ผิดพลาด ลุแก่อำนาจ หรือทุจริต สัมปทานของกระทรวงดีอีเอส ฟังไปฟังมา เอ๊ย!! มันเรื่องส่วนตัวนี่นา พยายามฟังแล้ว น่าจะมีปัญหาเรื่องจริยธรรมของผู้อภิปรายคนนี้เองมากกว่า

ส.ส.คนนี้ไม่มีคนรู้จัก จากการดำรงตำแหน่ง ส.ส. มา 3 ปีกว่า การลุกขึ้นมาอภิปรายรอบนี้บางคนบอกว่าแจ้งเกิด หรือ แจ้งดับกันแน่ ชักสงสัย

การเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดในสภาครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เท่าที่จำได้ ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชา เรื่องสัญชาติไทย โจมตีว่าเป็นคนต่างด้าว  ลากเอาบรรพบุรุษ อากง อาม่า มาละเลงกันในสภาผู้แทนราษฎร แบบหยาบๆ คายๆ ทำให้ประชาชนเห็นใจอดีตนายกบรรหารขึ้นมาทันที หรือได้คะแนนสงสาร เพราะคนที่ดูการอภิปรายมองว่าบรรพบุรุษเขาไม่เกี่ยวจะขุดมาก่นด่ากันทำไมในสภา

แต่ครั้งนี้หนักกว่า ลากภรรยา รูปภรรยา และคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นภรรยาใหม่ มาขึ้นจอในสภา ถ่ายทอดสดทั้งทีวี และโซเชียลมีเดีย พร้อมคนคอมเมนต์ มากล่าวหากันสนุกปาก สนุกนิ้วที่จิ้มคีย์บอร์ด  ทั้งๆ ที่ข้อมูลนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ แค่กล่าวหา กันในวง สส.แต่เอามาเผยแพร่สาธารณะ รัฐมนตรีดีอีเอส ก็ตอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง แล้วคนกล่าวหาว่าไงล่ะ

ข้อสังเกตการณ์อภิปรายเรื่องนี้ ดูแล้วทะแม่ง ๆ
1. น่าจะเป็นครั้งแรกของสภาไทย ที่มาอภิปรายกล่าวหาเรื่องซุบซิบ แบบต่ำๆ กันอย่างออกนอกหน้า

2. ผู้อภิปรายเป็นเพศหญิง พรรคเพื่อไทย นี่แสดงว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีดาราระดับแถว 1 มาเป็น ส.ส.แล้วใช่มั้ย ทำไมมาตรฐานพรรคช่างตกต่ำ

3. น่าสงสัยว่าข้อมูลนี้เอามาจากไหน คนเอาข้อมูลนี้มาให้ หวังดีหรือประสงค์ร้าย กับ ส.ส.หญิงผู้อภิปราย ท่านนี้กันแน่ หรือคนวงในจริงๆ ส่งให้

‘สิงคโปร์’ เผยคนรุ่นใหม่ ไม่สนใจใบปริญญา ขอแค่ ‘เรา’ เท่าเทียมกันในการใช้ชีวิตคู่

ค่านิยมเดิม ๆ ของชาวเอเชียส่วนใหญ่ ที่ผู้ชายมักนิยมเลือกภรรยาที่ระดับการศึกษาน้อยกว่าตัวเอง เพื่อจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า หรือ ผู้หญิงที่มักเลือกผู้ชายที่มีการศึกษาสูง ๆ โดยคาดหวังว่าเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวได้ดี กำลังจะเปลี่ยนไปใน ‘สิงคโปร์’

จากการศึกษาข้อมูลสถิติของการสมรส และ หย่าร้างในสิงคโปร์ประจำปี 2021 ที่รวบรวมโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสกับผู้ชายที่มีระดับการศึกษาน้อยกว่าตัวเองมีแนวโน้มสูงขึ้น จาก 17.5% เป็น 18.2% ในระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียว 

และในขณะเดียวกัน ผู้ชายที่เลือกแต่งงานกับผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อยกว่าตนเองกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด จาก16.3% เหลือเพียง 12.3% เท่านั้นในปีนี้ 

ค่าสถิตินี้ กำลังชี้ให้เห็นว่า หนุ่ม-สาว ชาวสิงคโปร์ มักเลือกคู่ครองที่มีระดับการศึกษาเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันฝั่งผู้ชายก็ไม่ติดใจหากฝ่ายหญิงจะมีการศึกษาที่สูงกว่า หรือมีหน้าที่การงานที่ไปได้ไกลกว่าด้วยความสามารถของพวกเธอ เช่นเดียวกันกับฝ่ายหญิงที่เริ่มไม่ได้เน้นว่าฝ่ายชายต้องมีการศึกษาดีกว่าตนเสมอไป ถึงจะเป็นผู้นำครอบครัวได้

Tan Ern Ser นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ แสดงความเห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยยะสำคัญทางสังคมอย่างมาก เพราะนั่นกำลังสะท้อนให้เห็นว่า คุณวุฒิการศึกษา จะไม่ถูกนำมาเป็นเครื่องชี้วัดถึงรายได้ของตัวบุคคล หรือความสำเร็จในอาชีพเสมอไป แม้จะปฏิเสธได้ยากว่า ศักยภาพทางเศรษฐกิจยังคงมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกคู่ครองก็ตาม

ด้าน Shailey Hingorani หัวหน้าฝ่ายวิจัย สมาคมสตรีเพื่อการวิจัยและปฏิบัติมองว่า ค่านิยมแบบดั้งเดิมมักวางให้ผู้ชายต้องรับหน้าที่ผู้นำครอบครัว และการที่ฝ่ายชายมีการศึกษาที่สูง มักช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอาชีพมากกว่า จนกลายเป็นสิ่งดึงดูดใจสำหรับฝ่ายหญิงในการเลือกใครเป็นสามี แต่ค่านิยมนี้ก็ได้ลดโอกาสทางสังคมของผู้หญิง ที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นแม่บ้าน ต้องพึ่งพาสามี และมีหน้าที่ดูแลครอบครัวเป็นหลัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top