Thursday, 15 May 2025
ค้นหา พบ 48102 ที่เกี่ยวข้อง

เริ่มแล้วภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ เที่ยวแรก 24 คนจากยูเออี

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เที่ยวบินแรกที่เดินทางเข้ามาถึงภูเก็ต ในวันที่ 1 ก.ค. 2564 คือ เที่ยวบิน EY 430 ของสายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ ซึ่งบินมาจากเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ลงแตะพื้นท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เวลา 11.09 น. ถือเป็นเที่ยวบินแรกที่นำนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้าประเทศไทยโดยไม่ถูกกักตัว ตามโครงการภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์ ที่เริ่มต้นเป็นวันแรก 

สำหรับผู้โดยสารที่มาเที่ยวบินนี้ ได้ถือใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ (COE) ตามโครงการภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์ มีจำนวน 24 คน โดยกลุ่มนี้เมื่อมาถึงจะถูกทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR จากนั้นจะขึ้นรถไปยังโรงแรม และต้องรออยู่ในห้องพัก หากผลตรวจออกมาเป็นลบหรือไม่ติดเชื้อ จึงจะออกมานอกห้องพักได้ และสามารถเดินทางไปได้ทั่วเกาะภูเก็ต 

ทั้งนี้ในวันแรกของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ มีนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางมากับ 4 สายการบิน ได้แก่ เอทิฮัด, กาตาร์ แอร์เวย์ส, แอล อัล อิสราเอล แอร์ไลน์ และสิงคโปร์ แอร์ไลน์ รวมจำนวน 300 คน ซึ่งได้ COE ทั้งหมด 100% สามารถเข้าพักในโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA PLUS แม้จำนวนนักท่องเที่ยวในวันแรกจะลดลงจากที่เคยประเมินไว้ เพราะออก COE ให้ไม่ทัน ทำให้นักท่องเที่ยวเลื่อนการเดินทางเข้าภูเก็ต แต่หลังจากนี้จะทยอยเข้ามามากขึ้น

เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ โพสต์ภาพนวัตกรรมใหม่ "หน้ากากอนามัยปิดจมูก" ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเม็กซิกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเข้าทางจมูกขณะรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนอื่น ซึ่งถูกยืนยันแล้วว่าใช้ได้ผลจริง

เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ โพสต์ภาพนวัตกรรมใหม่ "หน้ากากอนามัยปิดจมูก" ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเม็กซิกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเข้าทางจมูกขณะรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนอื่น ซึ่งถูกยืนยันแล้วว่าใช้ได้ผลจริง

.เพจเฟซบุ๊กโพสต์ข้อความระบุว่า...หน้ากาก ปิดจมูก สำหรับทานอาหารในที่สาธารณะ น่าสนใจในช่วงที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ชาวเม็กซิกัน Gustavo Acosta Altamirano จากมหาวิทยาลัย The Instituto Politécnico Nacional หรือ IPN ได้แสดงนวัตกรรมใหม่ของเขา เป็นหน้ากากอนามัยปิดจมูก ป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิดได้ดีโดยเฉพาะ เวลาทานอาหาร ร่วมกับบุคคลอื่น ป้องกันละออง การแพร่เชื้อไวรัสเข้าทางจมูก ใช้ได้ผลจริง

ทั้งนี้ ยังสามารถใช้ป้องกันสองชั้น โดยสวมหน้ากากอนามัยหลักทับอีกที เวลาต้องออกไปสถานที่สาธารณะ ก็จะสามารถป้องกันโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่

 

ที่มา World Forum ข่าวสารต่างประเทศ https://www.facebook.com/WorldForumTh/posts/335636018100648


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สุรินทร์ – เริ่มวันแรก บรรยากาศการฉีดวัคซีน "ซิโนฟาร์ม" ที่จังหวัดสุรินทร์คึกคัก ประธานหอการค้าสุรินทร์ เผยว่า ยังมีโอกาสนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่น เพื่อเป็นทางเลือก

วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ที่ ศูนย์ฉีดวัคซีน ชั้น 2 โรงพยาบาลรวมแพทย์หมออนันต์ นายเสริมศักดิ์ สีสันต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยนายวีรศักดิ์ พิษณุวงษ์ ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ และแพทย์หญิง มนัสลักษ์ อริยะชัยพาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรวมแพทย์ (หมออนันต์) เข้าสังเกตการณ์การให้กำลังใจประชาชน และทีมงานจุดฉีดวัคซีนวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม วันแรก ให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดสุรินทร์

โดยหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ได้สั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จำนวน 1,200 โดส โดยกลุ่มที่ได้รับการฉีดส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคณะครูโรงเรียนเอกชน ห้างร้าน บริษัท และผู้สูงอายุ ทั้งนี้ นายนายวีรศักดิ์ พิษณุวงษ์ ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ เผยว่า วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ได้รับการจัดสรรมาจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จำนวน 1,200 โดส ในล็อตแรกนี้ ได้นำมาฉีดให้กับประชาชน ภาคเอกชน ในจังหวัดสุรินทร์ ที่มีความต้องการวัคซีนทางเลือก 

โดยหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ได้ร่วมกับโรงพยาบาลรวมแพทย์หมออนันต์ จัดตั้งเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม วัคซีนทางเลือกในครั้งนี้ ซึ่งอาจจะพอบรรเทาความต้องการ จากภาคเอกชนลงได้ไม่มากก็น้อย โดยเห็นได้ว่ามีประชาชนสนใจเข้าจองวัคซีนเป็นอีกจำนวนมาก โดยทางหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ จะทำการสำรวจความต้องการวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์ม และยี่ห้ออื่น ๆ ของประชาชนชาวจังหวัดสุรินทร์อีกครั้ง


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์ แสนกล้า 

ทบ. พร้อมรับทหารใหม่ ด้วยมาตรการป้องกัน COVID-19 อย่างเข้มงวด ระหว่าง 1-3 ก.ค.

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกมีความพร้อมรับการรายงานตัวของ ทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/2564 ที่จะเดินทางมาในวันที่ 1 และ 3 ก.ค. 64 นี้ ด้วยมาตรการที่รัดกุมเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดการแพร่ระบาดแบบกลุ่มของหน่วยฝึกทหารใหม่ทั่วประเทศ

ตามนโยบาย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่มอบให้กรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นผู้กำหนดมาตรการในการบริหารจัดการฝึกทหารใหม่ ให้มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ และเป็นไปตามที่ ศบค.กำหนดนั้น จึงได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ ออกเป็น 3 ขั้นตอนได้แก่

1.) ขั้นการเตรียมการก่อนการฝึก โดยจัดเตรียมพื้นที่ฝึกและพักอาศัยให้อยู่ในระบบปิด แบบ Bubble and Seal จำกัดเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการฝึกเท่านั้น สำหรับทหารที่ทำหน้าที่เป็น ผู้ฝึก ครูฝึก ผู้ช่วยครู และเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยฝึกทุกนาย ได้ทำการกักตัวภายในหน่วยฝึกล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วันก่อนวันที่ทหารใหม่จะมาถึง รวมทั้งดำเนินการด้านการตรวจหาเชื้อเชิงรุก และจัดให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อให้มั่นใจว่าครูฝึกและเจ้าหน้าที่ทุกนาย ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส

2.) ขั้นการดำเนินการ ในวันที่ทหารใหม่เข้ามารายงานตัวในหน่วยฝึกทหารใหม่ทั้ง 311 หน่วยทั่วประเทศ ได้จัดให้มีชุดแพทย์ทำการตรวจคัดกรองอย่างละเอียด หากพบผู้ติดเชื้อจะแยกออกเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ณ รพ.ประจำค่ายทหาร ที่มีอยู่จำนวน 37 แห่ง สำหรับส่วนที่เหลือจะแยกกักตัวภายในหน่วยฝึกเป็นเวลา 14 วันเพื่อให้พร้อมทำการฝึกในขั้นต่อไป และ

3.) ขั้นการฝึกและเสริมสร้าง โดยระหว่างการกักตัว จะใช้วิธีการแยกสอนในห้องเรียน หรือใช้การเรียนแบบออนไลน์ไปก่อน เมื่อครบกำหนด 14 วัน จึงสามารถทำการฝึกในสนามฝึก ได้ แต่จะต้องเป็นไปตามมาตรการการเว้นระยะห่าง ของสาธารณะสุข (DMHTT) ทุกประการ ซึ่งทั้งครูฝึกและทหารใหม่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ทุกคน จะถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในหน่วยฝึกไม่ให้ปะปนสู่ชุมชนภายนอก

สำหรับในส่วนของ กทม. และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้กำหนดให้ใช้พื้นที่ของ มทบ.11 เป็นสถานที่แรกรับรายงานตัว​ ซึ่งจะมารายงานตัวจำนวน 2 รอบ คือ รอบวันที่ 1 ก.ค.64 จำนวน 2,716 คน โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาทหารอยู่ใน กทม. และ จังหวัดใกล้เคียง และรอบวันที่ 4 ก.ค. 64 จำนวนประมาณ 1,519 คน ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งกรมแพทย์ทหารบกได้เตรียมหน่วยแพทย์คัดกรองมาดำเนินการตรวจหาเชื้อเชิงรุกทุกนาย หากตรวจพบจะแยกไปทำการรักษาที่ รพ.สนามของ ทบ.ที่เตรียมไว้ (รพ.สนามเกียกกาย และ รพ.สนาม มทบ.11-2) ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงสูง จะให้ทำการกักตัวในสถานกักตัวของหน่วย (OQ) เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วันก่อนส่งตัวเข้าสู่กระบวนการฝึกต่อไป

นอกจากนั้น ผู้บัญชาการทหารบกยังได้สั่งการเพิ่มเติมการปฏิบัติในส่วนของ ผู้ที่ต้องเดินทางมาจากภาคอีสาน โดยจะใช้ชุดแพทย์ทหารต้นทาง ทำการตรวจหาเชื้อเชิงรุกภายในจังหวัดของตนเองตั้งแต่แรก หากตรวจพบก็ให้ทำการรักษาในจังหวัดนั้น ๆ ก่อนยังไม่ต้องเดินทางเข้ามายัง กทม.

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้ห่วงใยและให้ความสำคัญในการดูแลทหารกองประจำการที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพบกเป็นพิเศษ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีมาตรการเพิ่มเติมการดูแลด้านสุขอนามัย โภชนาการ เวชศาสตร์การกีฬา ตลอดจนการเพิ่มโอกาสในการรับราชการ เพราะถือว่าทหารกองประจำการทุกนายเป็นผู้มีความเสียสละ เข้ามาดูแลด้านความมั่นคง ช่วยเหลือประชาชนในหลากหลายภารกิจ ตลอดจนเป็นครอบครัวของกองทัพบกที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

วิกฤตหรือโอกาส? พลิกโฉมการศึกษาไทยยุค New Normal

โควิดระบาดในประเทศไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้หากจะพูดถึงผลกระทบของโควิด ทุกคนคงกระจ่างแจ้งอย่างที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยกันหลายคำ เพราะทุกคนล้วนเป็นผู้ประสบภัยกันทั่วหน้า แม้ผลกระทบมากน้อยอาจต่างกัน 

โควิดส่งผลกระทบมากมายอย่างคาดไม่ถึง ทั้งด้านชีวิตและสุขภาพ สภาพเศรษฐกิจ ตลอดจนวิถีชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปจากปกติเดิม จนต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ อย่างคำว่า “New Normal” วิธีชีวิตปกติแบบใหม่ นี้ก็คือการปรับพฤติกรรมของมนุษย์ในชีวิตประจำวันเพื่อการป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดนี้เอง เช่น การทำงานก็เปลี่ยนจากการที่ต้องเดินทางไปที่ออฟฟิศ ไปสำนักงานก็เปลี่ยนมาเป็นการทำงานที่บ้าน หรือที่เราเรียกทับศัพท์กันอย่างติดปากว่า Work From Home การประชุมติดต่อประสานงานนั้นก็ทำได้โดยใช้ระบบออนไลน์เข้ามาช่วย 

และไม่ใช่เพียงแค่ภาคธุรกิจเท่านั้นที่ต้องปรับขบวนกันยกใหญ่ ภาคการศึกษาก็เช่นกัน ต้องปรับจากการเรียนในสถานศึกษา มาเป็นห้องเรียนออนไลน์กันทุกระดับชั้นต้องแต่อนุบาล จนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อมาตรการในการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดการระบาดของโรค

1 ปีกว่าผ่านมาหากจะชวนคิด ชวนตั้งคำถามว่าการศึกษาในยุค New Normal นี้ โอกาสหรือเป็นวิกฤต กับสังคมไทยนั้นก่อนจะสรุปว่าเป็นวิกฤตหรือโอกาส ลองมาสำรวจปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ กันก่อน

จากการเรียนในห้องเรียนที่มีเพื่อนร่วมห้อง มีคุณครู มีประตู หน้าต่าง มีการพบหน้าคาดตา ปรับมาเป็นการเรียนออนไลน์ ต่างคนต่างอยู่บ้าน เจอหน้ากันผ่านจอคอมพิวเตอร์ มีอินเตอร์เน็ตไว้เพื่อการเข้าถึงห้องเรียนออนไลน์ จากข่าวคราวที่ปรากฎในสื่อเห็นชัดว่าการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่ายในประเทศไทย เพราะด้วยเหตุผลหลายประการในเชิงโครงสร้าง  

ประการแรก เรายังมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้เรียนออนไลน์ที่บ้าน ซึ่งมักจะมาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำอีกรูปแบบในระบบการศึกษาไทย จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนของไทยในปี 2563 อยู่ที่ 26018.42 ในขณะที่มีรายจ่ายปี 2562 อยู่ที่ 20,742.12 และล่าสุดรายจ่ายของครัวเรือนของไทยในปี 2563 มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น เฉลี่ยเดือนละ 21,329 บาท โดยร้อยละ 87 ของค่าใช้จ่าย ทั้งสิ้นเฉลี่ยต่อเดือนเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค และร้อยละ 13 เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค (เช่น ค่าภาษี ของขวัญ เบี้ยประกันภัย ซื้อสลากกินแบ่ง / หวย ดอกเบี้ย) ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาอยู่ที่ 1.5% เท่านั้น 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจัดสรรเงินสำรองเพื่อการศึกษาที่ไม่มากนั้น ยิ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์โควิด ที่อาจทำให้รายรับของครอบครัวลดน้อยลงไปอีก จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับครอบครัวที่ถูกซ้ำเติมในยามโควิดระบาดนี้อยู่แล้ว จะจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียน การซื้อชั่วโมงอินเตอร์เน็ต ซึ่งช่องว่างทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นอีกในระบบการศึกษาไทย  

ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการศึกษาของ TDRI ที่พบว่าปัญหาของครัวเรือนในประเทศไทยที่ใหญ่กว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากที่บ้านคือ การไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน ทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประเทศไทยมีสัดส่วนครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์เพียงร้อยละ 21 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่ร้อยละ 49 การเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของครัวเรือนยิ่งยากมากขึ้นหากเป็นครัวเรือนที่มีฐานะยากจน 

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2560 ในประเทศไทย ครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีน้อยกว่า 2 แสนบาทมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพียงร้อยละ 3 ของครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 2 แสนบาทขึ้นไปมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตร้อยละ 19 ของครัวเรือนทั้งหมด และหากจำแนกตามภูมิภาคพบว่า กรุงเทพมหานครมีสัดส่วนครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์สูงถึงร้อยละ 42 ของครัวเรือนทั้งหมด ครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์ในภาคกลางร้อยละ 21 ส่วนในภาคเหนือ ร้อยละ 19 ในภาคใต้ ร้อยละ 17 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 14  ซึ่งสถิตเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำในเชิงโครงสร้างในการเข้าถึงการเรียนออนไลน์ของเด็กและเยาวชนไทย 

นอกจากความไม่พร้อมในเครื่องไม้เครื่องมือแล้ว ประการต่อมาที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือเรื่องความไม่พร้อมของการจัดการเรียนการสอน ทั้งในแง่หลักสูตร ความพร้อมของครูอาจารย์ ตลอดจนความพร้อมในการเรียนของนักเรียนนักศึกษาในการเรียนออนไลน์มีมากน้อยเพียงใด 

จากเสียงสะท้อนของทั้งผู้สอน และผู้เรียน ตลอดจนผู้ปกครองต่างต้องรับมือกับสถานการณ์การเรียนออนไลน์ที่ไม่พึงปรารถนา เช่น ฝั่งผู้สอน ครูอาจารย์ก็รู้สึกท้อแท้กับการไม่มีส่วนร่วมของนักเรียนนักศึกษาจากการใช้ระบบออนไลน์ ยิ่งเป็นการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยที่ให้ความไว้วางใจว่านักศึกษาโตพอที่จะรับผิดชอบตนเองได้ ยิ่งพบว่าบรรดาอาจารย์ต่างปรับทุกข์ในทำนองเดียวกันว่านักศึกษาแทบไม่ค่อยมีปฎิสัมพันธ์กับผู้สอนเท่าที่ควรจะเป็น ไม่เปิดกล้อง ไม่ถามคำถาม ไม่ตอบคำถาม ส่วนในมุมผู้เรียนก็มองว่าเรียนออนไลน์น่าเบื่อ ไม่มีบรรยากาศการเรียนที่กระตุ้นการอยากรู้อยากเห็น ครูอาจารย์ไม่มีกลวิธีการสอนที่ดึงดูดใจพอ 

ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กเล็ก ๆ ในชั้นอนุบาลหรือประถมต้นนั้นก็เหนื่อยไม่แพ้กันเพราะเหมือนต้องคอยดูแลกำกับให้ลูก ๆ หลาน ๆ นั่งหน้าจอเรียนออนไลน์ ในยุคก่อน new normal พ่อแม่ผู้ปกครองก็อาจมีหน้าที่ช่วยสอนลูกหลานในการทำการบ้าน แต่เหมือนว่าในยุค new normal นี้ต้องทั้งเรียนด้วย สอนด้วย ดูแลบุตรหลานด้วย ความเครียดจึงบังเกิดแด่พ่อแม่ผู้ปกครองกันทั่วหน้า

ดังนั้นปรากฏการณ์ของโควิด-19 ที่มีพลิกโฉมการเรียนการสอนจากห้องเรียนทางกายภาพสู่ห้องเรียนออนไลน์ หากมองดี ๆ แล้ว จะพบว่าความปกติใหม่ หรือ New normal นี้ ทำให้เกิดความตระหนักรู้ใหม่และกระตุ้นเตือนให้เราหันกลับมาทบทวนสิ่งที่เป็นความสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียนนักศึกษามากขึ้น 

ไม่ว่าจะเป็นตัวหลักสูตร ที่ควรตั้งคำถามว่าหลักสูตรที่มีอยู่เดิมตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษานั้นเหมาะสมสำหรับพัฒนาการการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัยของเด็กและเยาวชนจริงหรือไม่ หลักสูตรที่มีเหมาะสมกับบริบทในท้องถิ่น ในพื้นที่ของเด็ก ๆ หรือไม่ หรือแม้แต่กฎเกณฑ์กติกาบางอย่างที่แท้จริงแล้วสำคัญหรือไม่อย่างไร หากเด็ก ๆ ต้องเรียนอยู่ที่บ้าน เช่น การแต่งชุดนักเรียนและการไว้ทรงผม และกติกาหรือระเบียบวินัยแบบไหนที่ควรต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ แทน เป็นต้น 

นอกจากตัวเนื้อหาของหลักสูตรแล้ว กลวิธีการสอนและรูปแบบในการนำเสนอสำหรับการเรียนรู้ในห้องเรียนออนไลน์นั้นก็มีความสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงและต้องถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับเนื้อหาและธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ด้วย การใช้วิธีการเดียวกันกับการสอนในห้องเรียนปกตินั้นคงจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป 

ทั้งนี้ TDRI ได้ทำการศึกษาเราควรใช้ความตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์นี้ มาออกแบบอนาคตของการศึกษาไทย โดยให้น้ำหนักกับสิ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียนให้มากที่สุด ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยมากในหลายประเด็น เช่น 

• ให้น้ำหนักกับปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพระหว่างครูและนักเรียน มากกว่า จำนวนชั่วโมงที่นักเรียนอยู่ในห้องเรียนหรือเรียนผ่านสื่อโทรทัศน์หรือสื่อออนไลน์

• ให้น้ำหนักกับการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับความสนใจของนักเรียน เชื่อมโยงกับชุมชนและบริบทที่นักเรียนอยู่มากกว่า การเรียนรู้อิงตามมาตรฐานแบบเดียวกันทั้งประเทศ

• ให้น้ำหนักกับการประเมินผลเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน (formative assessment) จากชิ้นงานและพฤติกรรมของนักเรียน มากกว่า การประเมินเพื่อการตัดสิน (summative assessment) เพื่อนำไปใช้ให้คุณให้โทษแก่โรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษา

• ให้น้ำหนักกับการเรียนรู้เพื่อสุขภาพกายและใจ ควบคู่กับการเรียนรู้ด้านวิชาการ สถานการณ์โรคระบาดส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของทุกคนรวมถึงเด็ก ๆ ทุกวัย 

• ให้น้ำหนักกับการจัดสรรทรัพยากรออฟไลน์แก่เด็กและครอบครัว ควบคู่กับ ทรัพยากรออนไลน์ เช่น จัดสรรหนังสือเด็กให้แก่ครอบครัวด้อยโอกาสเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ที่บ้าน จัดให้มีอาสาสมัครติดตามสถานการณ์เด็กในแต่ละครอบครัวและให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการดูแลลูก เป็นต้น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของประเทศไปด้วย 

ดังนั้น หากย้อนกลับมาที่คำถามของเราว่า การศึกษาไทยในยุค New normal นี่เป็นวิกฤตหรือโอกาส ก็คงตอบได้อย่างชัดเจนว่ามีทั้งสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็นวิกฤต และโอกาส เพราะวิกฤตในวันนี้เราสามารถพลิกให้เป็นบทเรียนเพื่อสร้างโอกาสในวันหน้าได้ เพียงแต่ต้องปรับมุมมองของผู้กำหนดนโยบาย ปรับวิธีคิดของบุคลากรทางการศึกษา สร้างความร่วมมือกันใหม่ในการมีส่วนช่วยกันยกเครื่องระบบการศึกษา ทั้งพัฒนาหลักสูตร พัฒนาศักยภาพบุคคลกรทางการศึกษา พัฒนาแนวทางและรูปแบบ

โดยมีการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ทั้งส่วนกลางและระดับท้องถิ่น นอกจากนี้อาจจะต้องดึงภาคเอกชนและหน่วยงานนอกระบบราชการ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนมาร่วมมือกันออกแบบการจัดการเรียนการสอน รวมถึงถอดบทเรียนองค์ความรู้จากทั้งในและต่างประเทศ เพราะเราจะพบว่าแนวโน้มในการความเป็น New normal นี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต เช่น เปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร การเกิดเทคโนโลยี disruptive หรือแม้แต่การเปลี่ยนด้านการเมือง การปกครองและเศรษฐกิจของโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยจะต้องเตรียมพร้อมในการสร้างคน สร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ เพื่อการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศและโลก ซึ่งการศึกษาคือเครื่องมือสำคัญในการสร้างคนนั้นเอง 

เขียนโดย: อาจารย์ระวีวรรณ ทรัพย์อินทร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาตรีการจัดการมรดกวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (BMCI) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 


ข้อมูลอ้างอิง
http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/08.aspx
สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนเป็นประจำตั้งแต่ปี 2500 (nso.go.th)
New Normal ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ - TDRI: Thailand Development Research Institute
วิกฤตโควิด-19 รัฐต้องเร่งลดช่องว่างดิจิทัล เพื่อความเท่าเทียมในห้องเรียนออนไลน์ - TDRI: Thailand Development Research Institute


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top