Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48963 ที่เกี่ยวข้อง

สำนักงบประมาณ ยืนยัน รัฐบาลตุนงบประมาณกว่า 6 แสนล้านบาท ทั้งจากงบกลางและเงินกู้ เพียงพอสู้โควิดระบาดรอบใหม่ ระบุหากไม่พอโอนงบส่วนราชการมาใช้เพิ่มได้ไม่ต้องห่วง

นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ โดยมีวงเงินรวมกว่า 6 แสนล้านบาท จากงบกลาง 2564 และจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ตนประเมินว่าวงเงินกว่า 6 แสนล้านบาท เพียงพอใช้ดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดรอบนี้ เพราะเชื่อว่าประชาชนทุกภาคส่วนจะร่วมมือป้องกันการระบาด และการติดเชื้อต่อวันที่สูงกว่าปีที่แล้ว ทำให้ประชาชนระวังมากขึ้น เชื่อว่า ภายใน 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือนนับจากนี้ เราน่าจะเห็นตัวเลขติดเชื้อลดลง

และหากสถานการณ์ยืดเยื้อและรัฐบาลจำเป็นต้องใช้วงเงินเพิ่มก็สามารถดึงงบประมาณจากส่วนราชการมาใช้ได้อีก ซึ่งเหมือนปี 2563 ที่เราบังคับโอนงบประมาณมาใช้ได้ 8 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนั้นเป็นช่วงยังไม่ออก พ.ร.ก.กู้เงิน แต่ขณะนี้มีวงเงินกู้ที่คงเหลือมากจึงเชื่อว่าจะเพียงพอและการบังคับโอนงบประมาณจากส่วนราชการเป็นทางเลือกสุดท้าย

ที่ผ่านมารัฐบาลได้เตรียมงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการทยอยอนุมัติต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดรอบแรก และในปัจจุบันมีงบประมาณที่ใช้รับมือการระบาดรอบใหม่ได้มาจาก 2 ส่วน วงเงินรวม 6.11 แสนล้านบาท ได้แก่ 

1.เงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้เหลือวงเงิน 4.71 แสนล้านบาท 

2.งบกลางกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน พ.ศ.2564 ซึ่งอยู่ในอำนาจการอนุมัติของนายกรัฐมนตรี วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท

สำหรับงบกลาง 2564 ที่มีวงเงิน 1.4 แสนล้านบาท มาจากงบกลางปกติ 9.9 หมื่นล้านบาท และงบกลางที่กันออกมาสำหรับโควิด 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งงบกลาง 2564 เพิ่งใช้ไปเพียง 1,000 ล้านบาทเศษ

ส่วนวงเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไปแล้ว 5.25 แสนล้านบาท ยังเหลือ 4.71 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 3 แผนงาน คือ 

1.แผนงานเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาท อนุมัติไป 2.5 พันล้านบาท คงเหลือ 4.24 หมื่นล้านบาท 

2.แผนงานช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้ประชาชนรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน 5.55 แสนล้านบาท อนุมัติแล้ว 3.86 แสนล้านบาท คงเหลือ 1.68 แสนล้านบาท 

3.แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4.4 แสนล้านบาท อนุมัติเงินไปแล้ว1.39 แสนล้านบาท คงเหลือ 2.6 แสนล้านบาท 

ทั้งนี้ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ได้ออกแบบไว้กรณีการระบาดโควิด-19 รอบใหม่จนต้องล็อคดาวน์หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถโยกเงินแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจไปแผนงานเยียวยาช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการได้

แจ้งความออนไลน์!! 3 สน. 'ปทุมวัน-บางรัก-ลุมพินี'​ เผุดไอเดีย​ นัดแจ้งความออนไลน์​ ไม่ต้องคอย​ เริ่ม​ 7​ ม.ค.

แจ้งความออนไลน์!!
3 สน. 'ปทุมวัน-บางรัก-ลุมพินี'​ เผุดไอเดีย​ นัดแจ้งความออนไลน์​ ไม่ต้องคอย​ เริ่ม​ 7​ ม.ค.

‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ลั่น ประชาชนไม่ใช่ภาระของประเทศ แต่คือประเทศ แนะแนวทางรับมือโควิด-19 จี้ รัฐเร่งเยียวยาทั่วถึง ‘ยึดหลักความได้สัดส่วนและเสมอภาค’ ชี้ ระยะสั้นใช้ 4 แสนล้าน ชดเชยถ้วนหน้า 3 พัน 3 เดือน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จัดรายการเฟซบุ๊กไลฟ์พิเศษ ในหัวข้อ "ประเทศไทย 2021: ข้อเสนอจัดการโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจ" เพื่อนำเสนอทางเลือกในการจัดการกับวิกฤติโรคระบาดไวรัสโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ

โดยระบุว่า สถานการณ์ในขณะนี้มีความน่ากังวลเป็นอย่างมาก ถึงวันนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ล่าสุดมากถึง 745 คน วิกฤติดังกล่าวทำให้ตนต้องมาพูดถึงข้อเสนอในการจัดการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปทางไหนและจะใช้ชีวิตอย่างไรในปี 2564 นี้ ซึ่งในทางหลักการแล้ว การออกมาตรการต่างๆ ของภาครัฐจำเป็นจะต้องยึดหลักการที่สำคัญสองหลักการ นั่นคือ 1.ความได้สัดส่วน และ 2. การตั้งอยู่บนความเป็นธรรมและความเสมอภาค

ความได้สัดส่วน หมายความว่ามาตรการที่ออกมาจะต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่รุนแรงจนเกินเหตุ หรือไม่อ่อนจนเกินเหตุ เช่น ถ้าเราขอให้ประชาชนหยุดงานเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนและให้ค่าชดเชยเพียงวันละ 100 บาท สิ่งนี้ไม่ได้สัดส่วน เพราะการเสียเวลาและโอกาสทางเศรษฐกิจต่อวันทีค่าสูงกว่านั้น

ส่วนเรื่องของความเสมอภาคเท่าเทียม หมายถึงการไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ให้คุณหรือไม่ให้โทษกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ ยกตัวอย่าง ถ้าบริเวณเดียวกันมีสถานที่สองแห่ง ที่หนึ่งถูกสั่งปิด แต่อีกที่หนึ่งมีลักษณะการใช้พื้นที่แบบเดียวกันแต่ไม่ถูกสั่งปิด นี่คือความไม่เสมอภาคและไม่เป็นธรรม

นายธนาธร กล่าวว่า การจะฝ่าฟันวิกฤติโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจไปได้ด้วยกัน จะต้องรักษาความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นระหว่างรัฐบาลกับประชาชนให้เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้สังคมไทยก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยความสามัคคี จะยึดหลักเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดรัฐบาลต้องทำให้เห็น

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในปี 2563 นั้น มาตรการต่างที่รัฐบาลออกมาดูเหมือนจะยังไม่เคร่งครัดบนหลักความได้สัดส่วนและความเท่าเทียมเป็นธรรม เช่น กรณีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการสินค้าดิวตี้ฟรีในสนามบิน มาตรการนี้ออกมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการสินค้าปลอดภาษีในสนามบินได้รับการชดเชย ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันกว่าที่ประชาชนจะได้รับเงินเยียวยา ก็ตกไปเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนเข้าไปแล้ว นอกจากนี้ การออกมาตรการในช่วงที่ผ่านมายังทำให้เห็นถึงความไม่เสมอภาค เช่น ในเขตปทุมวัน เราเห็นห้างสรรพสินค้าหลายห้างที่ยังได้รับอนุญาตให้เปิดบริการ แต่เราเห็นสถานศึกษาหลายแห่งถูกสั่งให้ปิดการเรียนการสอน ทั้ง ๆ ที่สถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในบริเวณเดียวกัน

นอกจากนี้ การปิดโรงเรียน 28 จังหวัดยังทำให้เกิดผลกระทบกับนักเรียนถึง 4.4 ล้านคน เป็นอย่างที่พวกเราทราบกันดี ว่ากลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดที่ได้รับผลกระทบจากการปิดการเรียนการสอนนี้ คือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีที่จะทำให้โอกาสได้รับการศึกษา ในช่วงการเรียนออนไลน์ รวมทั้งกรณีในจังหวัดนครนายก ที่โรงเรียนและสถานศึกษาอื่น ๆ ถูกสั่งให้ปิด แต่โรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไม่ถูกสั่งปิด

ในส่วนของปัญหาวัคซีน นายธนาธร กล่าวว่า ตอนนี้ที่เป็นข่าวอยู่คือทางรัฐบาลได้ร่วมมือกับ Siam Bioscience และบริษัท AstraZeneca ในการจัดหาวัคซีนสำหรับคนไทยจำนวน 26 ล้าน dose 1 คนใช้ 2 dose เพียงพอสำหรับคน 13 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แผนนี้เราไม่เคยได้รับรู้รายละเอียดเลยว่าคนที่เหลือจะทำอย่างไร จะจัดสรรด้วยงบประมาณอย่างไร ที่จะทำให้คนได้วัคซีนอย่างถ้วนหน้าและเป็นธรรม ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำทันทีคือสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ ว่าวัคซีนในประเทศไทยจะเข้าถึงคนทุกคน จนทำให้เกิดภูมิต้านทานหมู่ขึ้นในประเทศไทยได้ เพราะประชาชนไม่ใช่ภาระของประเทศ ประชาชนคือประเทศ

นายธนาธร กล่าวต่อไปว่า ประการต่อมาจำเป็นที่เราจะต้องดูแลเรื่องความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ในขณะที่ประชาชนกำลังดูแลกันเองอย่างเต็มกำลัง เพื่อทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ การเสียสละของประชาชนเป็นไปเพื่อส่วนรวม แต่กลับเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบและได้รับผลกระทบมากที่สุด

ดังนั้น เราจึงเสนอว่าการเยียวยาจะต้องไม่เป็นไปแบบเฉพาะกลุ่ม เราเสนอให้การเยียวยาเป็นไปอย่างถ้วนหน้า นั่นคือการเป็นรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าชั่วคราว (Temporary Universal Basic Income) 3,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน คิดเป็นวงเงิน 4 แสนล้านบาท งบประมาณในส่วนนี้ จากข้อมูลล่าสุดที่เรามีอยู่ เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่ได้รับการอนุมัติมาจากสภา มีการอนุมัติโครงการได้แล้ว 4.9 แสนล้านบาท เราเสนอว่าจำนวนเงินที่เหลือ 4 แสนล้านบาทเอามาตั้งเป็นรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ส่วนที่เหลือกันไว้เพื่อนำไปซื้อวัคซีนสำหรับทุกคน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 มกราคม 2564 สำนักงบประมาณ เตรียมเสนอกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กำหนดกรอบวงเงินไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 1.859 แสนล้านบาท

การประชุมครม. ผ่านระบบ Video Conference สำนักงบประมาณ เตรียมเสนอกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หลังจากผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มี สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กำหนดกรอบวงเงินไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 1.859 แสนล้านบาท หรือลดลง 5.66% เป็นไปตามประมาณการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงเหลือ 2.4 ล้านล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานเศรษฐกิจขยายตัว 3.5% โดยยังมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งในโครงสร้างของงบประมาณนี้ ส่วนใหญ่กว่า 75% เป็นงบประจำ โดยมีกรอบวงเงินงบประจำ อยู่ที่ 2.354 ล้านล้านบาท และมีงบลงทุนอยู่ที่ 6.49 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 19% ของวงเงินงบประมาณรวม

ส่วนวาระอื่นๆ กระทรวงพาณิชย์ เสนอร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ และกระทรวงแรงงาน เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้านและค้ำยัน และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง รวม 2 ฉบับ

ขณะที่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนดในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ออกไปอีก 45 วัน หรือประมาณสิ้นเดือน ก.พ. เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ตามมติของที่ประชุมศูนย์ ศบค. และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง

นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ประกาศล็อกดาวน์อังกฤษและสก็อตแลนด์ทั่วประเทศรอบใหม่ หลังโควิด-19 กลายพันธุ์ ดันยอดติดเชื้อพุ่ง

นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่แล้ว เพื่อควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นและกำลังคุกคามระบบสาธารณสุขของอังกฤษอย่างรุนแรงในขณะนี้ โดยคำสั่งดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ในทันที

นายจอห์นสัน ได้ออกแถลงการณ์ ถ่ายทอดสดทั่วประเทศในวันจันทร์ (4 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า ขอให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และจะออกนอกบ้านได้ก็ต่อเมื่อต้องซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องปิดทำการ นอกจากนี้ ร้านค้าที่ไม่จำเป็น และธุรกิจบริการที่พักอาศัยจะต้องปิดทำการเช่นกัน

ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลอาจจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงครึ่งหลังของเดือนก.พ. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดหวังว่าผู้ที่อยู่ในบ้านพักคนชราทุกคน, ประชากรที่มีอายุเกิน 70 ปี และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าด้านสาธารณสุข จะได้รับการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด

อย่างไรก็ดี นายจอห์นสันยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับช่วงเวลาในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และเรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเข้มงวด

ไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนทำให้จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 27,000 รายในอังกฤษ ซึ่งสูงกว่าในช่วงแรกเริ่มของการแพร่ระบาดในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ล่าสุดนับจนถึงวันจันทร์ อังกฤษมีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้น 58,784 ราย เเละเป็นวันที่เจ็ดติดต่อกันที่พบผู้ติดเชื้อใหม่เกิน 50,000 คน ที่ผ่านมาอังกฤษพบผู้ติดเชื้อเเล้วกว่า 2.6 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมดมากกว่า 75,000 คนตามรายงานของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอพกินส์

ทั้งนี้ การประกาศมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่อังกฤษประเดิมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดเป็นประเทศแรกเมื่อวานนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top