Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48172 ที่เกี่ยวข้อง

'มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อพัฒนาคนพิการ'​ ชวนบริจาค!! ช่วยสานฝัน ปันสุข สร้างอนาคต ให้คนพิการ ได้ท้องอิ่ม มีแรงสู้ต่อไป

'มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อพัฒนาคนพิการ'​ ชวนบริจาค!! ช่วยสานฝัน ปันสุข สร้างอนาคต ให้คนพิการ ได้ท้องอิ่ม มีแรงสู้ต่อไป

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 'มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อพัฒนาคนพิการ'​ องค์กรสาธารณะกุศลด้านคนพิการ ที่ดูแลผู้พิการกว่า 800 คน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ณ เวลานี้เข้าขั้นวิกฤติหนัก ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง และของใช้จำเป็นในการเลี้ยงดูคนพิการที่อยู่ในความดูแล ขาดแคลน เดือนร้อนถ้วนหน้า วอนพี่ๆ​ น้องๆ​ และประชาชน ช่วยบริจาคข้าวสาร อาหาร และของใช้จำเป็นต่างๆ เพื่อต่อลมหายใจให้คนพิการ ให้ท้องอิ่ม มีแรงสู่ชีวิตต่อไป เผยหลังโควิด-19 พ่นพิษยอดบริจาคลด กระทบหนัก เป็นช่วงเวลาที่คนไทยต้องช่วยกัน หรือท่านจะใดสะดวกบริจาคเป็นเงินได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางละมุง ชื่อบัญชี มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เลขที่บัญชี : 342-3-04066-0 โดยในการบริจาคสามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ สนใจให้การข่วยเหลือ โทรศัพท์ 02-572 4042 ต่อ 8100, 8102   

'ดร.สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์'​ เลขาธิการ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เปิดเผยถึงการระบาดระลอก 3 ของ โควิด-19 ที่รุนแรงกว่าเดิม ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจที่ทำท่าจะดีกับตกต่ำอย่างต่อเนื่องลงไปอีก อันเป็นเหตุให้การดำเนินงานของมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ได้รับผลกระทบอย่างหนักถึงขึ้นวิกฤติก็ว่าได้

เนื่องจากขาดแคลนข้าวสารอาหารและของใช้จำเป็นต่างๆ อย่างหนัก​ โดยทางมูลนิธิฯ​ จำเป็นต้องบริโภคข้าวสาร 7​ หมื่นกิโลกรัมต่อปี สืบเนื่องจากมูลนิธิฯ มีนักเรียนและนักศึกษาทึ่เป็นคนพิการในความดูแลที่อาศัยอยู่ประจำ รวมบุคลากรและครู ซึ่งอยู่ในความดูแลกว่า 800 คน โดยทั้งหมดนี้​ มูลนิธิฯ​ ดูแลโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือคนพิการในทุกๆ เรื่องเพื่อให้พวกเขาเหล่านี้มีวิชาชีพ สามารถนำไปประกอบอาชีพที่ยั่งยืน มีรายได้เลี้ยงตนเอง ครอบครัว และอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม  

นอกจากนี้ สถาบันศึกษาในการดูแลของมูลนิธิฯ​ ทั้ง 4 แห่งเป็นการให้บริการแบบประจำที่มูลนิธิฯ​ จะต้องดูแลทั้งในเรื่องที่พัก อาหาร การจัดการศึกษาและกิจกรรมอื่นๆ​ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากคนพิการมีฐานะยากจน ดังนั้นมูลนิธิฯ​ จะต้องหางบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการ โดยการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา รวมไปถึงการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

“สำหรับเรื่องของอาหาร ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ณ เวลานี้ เนื่องจาก สต๊อกข้าวสารอาหารแห้งและของใช้จำเป็นของมูลนิธิลดลงอย่างมาก เรียกว่าเข้าขั้นวิกฤติก็ว่าได้ จึงวอนขอความเมตตาจาดผู้มีจิตศรัทธาที่พอจะมีกำลัง​ ให้ช่วยบริจาคข้าวสาร อาหารและของใช้จำเป็นต่างๆ อาทิ นม ทิชชู่ น้ำมันพืช หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ทั้งแบบเจลและแบบน้ำ เป็นต้น เพื่อต่อลมหายใจให้คนพิการ ให้ท้องอิ่ม มีแรงสู่ชีวิตต่อไป 

หรือท่านใดไม่สะดวก​ สามารถบริจาคเงินช่วยเหลือผู้พิการเหล่านี้ได้ โดยโอนเงินผ่าน ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางละมุง ชื่อบัญชี มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เลขที่บัญชี : 342-3-04066-0 ทั้งนี้นำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้หรือสอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 02-572 4042 ต่อ 8100, 8102 มือถือ 099-394-4795, 094-665-2223” เลขาธิการมูลนิธิฯ กล่าวในท้ายสุด

‘สื่อพลเมือง’ (Citizen Media) ‘อิสรภาพ’ ที่ไร้ความรับผิดชอบ

คำว่า 'สื่อพลเมือง' อาจฟังดูไม่ชัดเจนหรือดูเข้าใจง่ายเท่ากับคำว่า 'สื่อภาคประชาชน' หรือ 'นักข่าวประชาชน'

แต่คำๆ นี้เริ่มมีบทบาทกับโลกของสื่อยุคใหม่ โดยบางครั้งผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนักข่าวเฉพาะกิจ ไม่ว่าจะทำเพราะเป็นกิจกรรมที่ชอบโดยส่วนตัว หรือด้วยความรู้สึกท้าทายว่าตนทำหน้าที่เสนอข่าวและข้อมูลได้ดี จนหวังการอวยยศให้เป็น 'นักข่าวอิสระ' ก็ตามนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผมแอบห่วง!! 

สื่อพลเมือง สามารถเสนอเนื้อหาได้อย่างมีอิสระ ไม่มีใครควบคุมหรือกลั่นกรองข้อมูล

สื่อพลเมือง สามารถนำเสนอเรื่องราวได้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งทางวิทยุ, ทีวี, พอดแคสท์, ยูทูบ, โซเชียลมีเดียทุกรูปแบบ, บล็อกและเว็บไซต์

สื่อพลเมือง อาจทำงานลำพัง หรือมีผู้ร่วมงานและทีม ช่วยกันคิดรูปแบบ คอนเทนต์ และสไตล์อันจะสร้างความแตกต่างให้ตนเด่นขึ้นมา

สื่อพลเมือง เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันที่หามาได้ในราคาไม่แพง ทำให้ความฝัน ที่อยากเป็น 'สื่อพลเมือง' กลายเป็นจริงได้ง่ายกว่าแต่ก่อน เช่น กล้องจากโทรศัพท์มือถือ มีคุณภาพสูงพอเพียงทั้งสำหรับภาพนิ่งและภาพวิดิโอ ซอฟท์แวร์ตัดต่อภาพและเสียง ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อแบบจัดเต็ม ก็สร้างลูกเล่นจากฟังก์ชั่นที่สามารถผลิตคลิปวิดิโออันเร้าใจและอยู่ระดับมาตรฐานสากลได้ 

สื่อพลเมือง สามารถเพิ่มพูนทักษะของตนได้จากการอ่าน, คำแนะนำจากผู้อื่น, บทความออนไลน์, ดูจากคลิปออนไลน์, เรียนจากการสอนออนไลน์

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ คือ ศักยภาพของสื่อพลเมืองยุคใหม่ ที่เรียนรู้ทุกอย่างของอาชีพสื่อได้หมดโดยไม่ต้องจบการศึกษาด้านวารสารศาสตร์ หรือนิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยใดๆ

พูดแบบนี้ แล้วรู้สึกว่าต่อจากนี้ไม่ต้องมีระบบการศึกษาที่เกี่ยวกับสื่ออีกเลยก็น่าจะได้!! 

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเรียนรู้ในระบบอุดมศึกษา ไม่ได้ว่าด้วยการพัฒนาทักษะทางด้านเทคนิค หรือครอบคลุมเฉพาะเรื่อง 'เนื้อหา' ของการนำเสนอ ทั้งข่าว สารคดี งานบันเทิง การคิดเชิงวิเคราะห์ หลักการวิจารณ์ ที่ดูๆ แล้ว สื่อพลเมือง ก็คงเรียนลัดเองได้ไม่ยาก

แต่สิ่งที่ระบบการศึกษาได้สอน และเชื่อได้ว่า 'สื่อพลเมือง' จะไม่มีวันเรียนรู้ได้ คือ... 

จริยธรรมของการเป็นสื่อ!! 

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับผู้อ่านในที่นี้ คือ ผู้ที่เรียนลัดและก้าวไปสู่การเป็น 'สื่อพลเมือง' นั้น มักจะมีข้อเสียสุดยิ่งใหญ่จากความเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตนจนไร้ขอบเขต

สิ่งนั้น คือ ความรู้ด้านจริยธรรม หรือจรรยาบรรณของสื่อมวลชน!! 

ในกระบวนการด้านการศึกษาที่จัดทำเป็นรายวิชานั้น จะมีวิชาหนึ่งที่นักศึกษาด้านสื่อสารมวลชนต้องเรียน รวมทั้งยังมีหนังสือ, ตำราวิชาการ และเนื้อหาเชิงวิเคราะห์จากผู้ประกอบอาชีพสื่อและนักวิชาการที่มีชื่อเสียง มาถ่ายทอดเป็นความรู้แก่ผู้ที่ประกอบอาชีพสื่อโดยไม่ได้จบการศึกษาด้านสื่อสารมวลชนโดยตรงมากมายด้วย

อันที่จริงจรรยาบรรณของสื่อ ไม่ใช่กรอบความคิดที่นิ่งอยู่กับที่ หรือไม่แปรเปลี่ยน หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยไม่ต่างจากจรรยาบรรณในสาขาอื่นๆ

โดยบรรทัดฐานที่เคยใช้เป็นแนวทางในการเสนอข้อมูลต่อสาธารณชน จะมีการเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมและค่านิยมของผู้เสพสื่อ ยิ่งเมื่อทุกสิ่งถาโถมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่เน้นการเสนอข้อมูลแบบแข่งขันกันด้วยความรวดเร็ว ความรอบคอบและความใส่ใจ ต่อความถูกต้องก็ลดน้อยลง เรื่องจริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรเข้ามามีบทบาทอย่างเข้มข้นขึ้น

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ...ทุกวันนี้หลายคนคงเห็นข่าวปลอม ข่าวผิด ข่าวมั่ว ข่าวโจมตี ข่าวปลุกปั่น ที่ไหลซัดมาพร้อมกับความเร็ว แต่บังเอิญเป็นความเร็วที่มากับการมุ่งที่จะแข่งขันเพียงแค่หวังสร้างความนิยม และฉวยโอกาสจากยอดการติดตามเท่านั้น

หมายความว่าอะไร? 

สื่อพลเมือง กำลังเข้ามามีบทบาทในการ 'ลด' เพดานของจรรยาบรรณสื่อ เพื่อที่จะแต่งเติมให้พาดหัวข่าว กระตุ้นความสนใจได้ สื่อใช้ภาพประกอบที่ไม่ตรงกับเรื่อง หรือนำภาพของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับการอนุญาติ และทำให้สื่อหลักที่น่าเชื่อถือ ยังหลงประพฤติตนตาม เพื่อยอดรับชม

ประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญที่ลุกลามในกลุ่ม 'สื่อพลเมือง' ส่วนหนึ่งผมมองแง่บวกว่าเพราะทำงานกันอิสระ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดการช่วยกันกลั่นกรองตรวจตรา ขาดประสบการณ์ที่ตกผลึก หรือผู้รู้ที่จะช่วยกรองข้อมูลที่ผิดพลาด ล่อแหลมและล่วงละเมิดออกไปจากเนื้อหาและพาดหัวเรื่อง

>> Citizen media is here to stay – สื่อพลเมืองจะอยู่ตลอดไป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง ในบทบาทของสื่อพลเมือง แต่เชื่อว่า 'สื่อพลเมือง' จะอยู่กับเราตลอดไป และจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาทดแทนสื่อหลักในอดีต  

ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากเห็น ในวันที่สื่อพลเมือง พร้อมจะแปลงร่างเป็นสื่อหลักได้ทุกเมื่อ คือ การยกระดับศักยภาพของสื่อพลเมือง เมื่อคิดจะเป็นสื่อ ต้องเป็นสื่ออย่าง 'มืออาชีพ' เหมือนกับสื่อที่มีสังกัดชัดเจน ที่เขียนข่าวหรือบทความให้กับหนังสือพิมพ์ ทีวี หรือค่ายวิทยุข่าว (ทั้งข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง และข่าวกีฬา)

ผมไม่อยากเห็นสื่อพลเมือง อาศัยความเป็นอิสระและรู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่นำเสนอ

ยิ่งสื่อพลเมือง ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก มีอิทธิพลต่อการรับรู้และพฤติกรรมของผู้ติดตามมากไม่น้อยกว่าสื่อสำนักใหญ่ ยิ่งควรทำงานด้วยความระมัดระวัง 

>> เพราะนี่คือการก้าวเข้าเท้ามาในสายสื่อแล้วแบบค่อนตัว
>> จริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์สื่อจึงควรพึงมี 
>> และจงพึงรับรู้ว่าทุกการสื่อสารของคุณ ควรต้องอยู่บนเกียรติและศักดิ์ศรีของตนและผู้อื่น
>> เนื่องจากสื่อของคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใครบางคน จงท่องให้ขึ้นใจว่า "อะไรคือความรับผิดชอบต่อสังคม" 

อย่างไรซะ ก็ไม่ใช่ว่าจะมาพูดจาเพียงเพื่อกล่าวโทษ อิสรภาพของสื่อพลเมืองที่นำมาสู่จริยธรรมอันมืดบอด แต่อยากบอกทางรอดให้ในตัว โดยผมอยากให้ภาคส่วนที่มีบทบาทต่อห่วงโซ่ของสื่อต้องตื่นตัว!!  

ควรมีการจัดอบรมเพื่อเติมเต็มให้กับความรู้และแนวคิดด้านสื่อสารมวลชนแก่ สื่อพลเมือง อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะจะเป็นสถาบันหรือหน่วยงานที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอาชีพได้ ก็จัดมาให้เต็มที่ เช่น มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวารสารศาสตร์และนิเทศศาสตร์ บริษัทโฆษณา สำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ

หน่วยงานเหล่านี้ ต้องออกมาเล่นเกมรุก ต้องมุ่งอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับสื่อพลเมือง โดยมีเงื่อนไขที่ว่าอย่าพยายามยัดเยียดบุคลากรของตน หรือผู้อาวุโสทางตำแหน่งเข้าไปในการอบรม แบบนั้นมันเอาท์!! ในทางตรงกันข้าม ต้องคัดเฟ้นบุคลากรด้านวิชาการที่มีเครดิตเป็น 'นักคิด' และผู้มีประสบการณ์ในการทำงานสื่อตัวจริงในโลกยุคใหม่ ซึ่งตรงนี้ไม่ติดว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่า แต่ขอเป็นบุคคลที่เชื่อมโซ่ข้อกลางของวงการสื่อยุคนี้ให้ได้

จับคนเหล่านี้มาเจอกัน เรียนรู้กันและกัน แลกเปลี่ยนไปด้วยกัน ตรงนี้จะทำให้เกิดเครือข่ายด้านอาชีพที่มีลักษณะจับต้องได้ ยิ่งไปกว่านั้นจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำสื่อจากเพื่อนร่วมอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้สื่อพลเมืองต้องพัฒนาตนเองเพื่อจะได้อยู่ในระนาบเดียวกับเพื่อนร่วมอาชีพในแง่ของมาตรฐานและจริยธรรม

นอกจากนี้ อยากให้ตระหนักถึง 'การคัดเลือก' โดยการเฝ้าติดตาม หรือสร้างการประกวดเพื่อมอบรางวัลแก่สื่อบ่อยๆ ฟังดูอาจเป็นวิธีที่ล้าสมัย แต่การชนะรางวัลเอย การมีวุฒิบัตรเอย โล่ห์เกียรติคุณเอย ย่อมผลักดันให้อาชีพนั้นๆ อยากรักษาและปรับปรุงคุณภาพของงานให้ดีขึ้นต่อไป ซึ่งอาชีพสื่อก็ไม่ต่างกัน

และนั่นอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บรรดา สื่อพลเมือง อยากก้าวเข้าสู่กระบวนการผลิตข่าวอย่างถูกต้อง ปัญหาการสร้างข่าว หรือเขียนข้อมูลขึ้นมาเองจะค่อยๆ หมดไป 

สิ่งที่จะตามมา คือ พวกเขาจะต้องแน่ใจว่าข่าว และข้อมูลที่นำเสนอทั้งหมดเป็นความจริง มีหลักฐานยืนยันได้ ก่อนนำออกเสนอหรือตีพิมพ์ จะต้องแน่ใจว่าไม่มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น ทั้งโดยตัวอักษรหรือภาพ และต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย 

เชื่อไหมว่า ทุกวันนี้ สื่อพลเมือง หลายกลุ่มกำลังย่ำแย่ เนื่องจากไม่มีความเข้าใจในด้านกฎหมาย เพราะด้วยความที่ไม่มีสังกัด หรือองค์กร คิดว่าอิสรภาพของตนไร้ขอบเขต พอเจอฟ้องเอาผิด ก็หาคนช่วยเหลือหรือปกป้องคอนเทนต์ไม่ได้ สุดท้ายต้องมาเสียทั้งเงินและเวลาเอาง่ายๆ

แน่นอนว่า วันนี้จุดแข็งของ สื่อพลเมือง และผู้ผลิตสื่อในรูปแบบต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ต คือ การสร้างสูตรในการนำเสนอ จนผมเชื่อมั่นเหมือนกันว่า บรรดาสื่อพลเมืองเหล่านี้ ก็ได้สร้างบรรทัดฐานของความสำเร็จ จนเหมือนเป็นนักวิชาการอิสระ ที่ช่วยชี้นำทิศทางของอุตสาหกรรมสื่อได้มาก

เพียงแต่พวกเขา ควรต้องมีพื้นที่ยืนอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดเกียรติภูมิในอาชีพ มีตัวตนที่จับต้องได้ และมีความภูมิใจ ที่จะเสนอเนื้อหาที่มีพร้อมรับผิดชอบต่อสังคมต่อไป


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก ????  https://lin.ee/vfTXud9

เรื่องวุ่นๆ ของมนุษย์ ‘โลกแบน’

บนโลกใบนี้ต่างมีความเชื่อมากมายซึ่งหนึ่งในความเชื่อที่เรียกได้ว่า ถกเถียงกันมาแล้วไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย อย่างเรื่อง ‘โลกกลม’ หรือ ‘โลกแบน’ ก็ยังเป็นข้อถกเถียงสุดคลาสสิค เพราะแม้ว่าจะมีองค์กรที่น่าเชื่อถือต่างๆ ออกมายืนยันมากมายว่า เฮ้ย! โลกเรามันกลมนะเว้ย!! แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อและยืนยันว่าโลกเรานั้น ‘แบน’ 

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เผื่อใครที่ยังไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับ ‘โลกแบน’ ที่ถูกพูดถึงในเชิงของทฤษฎีสมคบคิด เราจึงขอพาผู้อ่านไปส่องสำรวจ ‘โลกแบน’ ของคู่สามี-ภรรยาชาวอิตาเลี่ยน ไปออกไปล่องเรือพิสูจน์ขอบโลกแล้วนำพามาสู่ทฤษฎีนี้กันสักหน่อย

เรื่องราวของ 2 สามีภรรยานี้ เคยถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สัญชาติอิตาเลียน อย่าง La Stampa โดยคู่สามี-ภรรยาชาวอิตาลีมีความเชื่อในทฤษฎีโลกแบน ที่เชื่อว่าโลกใบนี้มีรูปทรงแบนอย่างกับแพนเค้ก ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อมีความเชื่อ เช่นนี้แล้วก็ต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นกันสักหน่อย 

ทั้งคู่ได้เดินหน้าพิสูจน์ ด้วยการลงทุนขายรถยนต์ของพวกเขา เพื่อนำมาซื้อเรือที่จะใช้เป็นยานพาหนะพาพวกเขาไปพิสูจน์ขอบโลก โดยทั้งคู่มีความเชื่อว่าขอบโลกนั้น ตั้งอยู่บริเวณแคว้นซิซิเลีย ทางตอนใต้ของอิตาลีและแอฟริกาเหนือ เมื่อพวกเขาทั้งคู่มีจุดหมายปลายทางที่จะไปท้าพิสูจน์กันแล้วก็เดินหน้าออกเดินทางจากเมืองเวเนโต เพื่อจะมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่พวกเขาคิดว่าจะมีขอบโลกให้พวกเขาได้เห็น

ความเจ๋งของการเดินเรือจากคู่รักคู่นี้ อยู่ที่พวกเขาเดินเรือแบบไม่พึ่งเข็มทิศกันเลยจ้า เหตุก็เพราะว่าเจ้าเข็มทิศที่เราทั้งหลายรู้จักกันเนี่ย ถูกสร้างขึ้นมาในกรณีที่ ‘โลกกลม’ ยังไงล่ะ พวกเขาจึงจัดการปิดการทำงานเข็มทิศ เพราะมันขัดต่อทฤษฎีโลกแบนของพวกเขา

แน่นอนว่าพอปิดเข็มทิศปุ๊ปการเดินเรือของพวกเขาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสุดท้าย หลังจากออกเดินทางไปได้ไม่นาน พวกเขาก็ต้องไปลอยเคว้งอยู่กลางทะเลเพราะ ‘หลงทาง’ จนเจ้าหน้าที่ไปพบพวกเขาไปล่องลอยอยู่ใกล้ๆ กับเกาะอุสติกา ซึ่งในเวลานั้นที่ คู่สามี-ภรรยา ออกไปท้าพิสูจน์ขอบโลก ก็ดันอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พอดี เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการช่วยเหลือแล้ว ก็ทำให้เขาทั้งคู่ต้องถูกกักตัวเพื่อรอดูอาการตามมาตรการของทางรัฐ 

แต่คิดหรอว่าการกักตัวจะหยุดความพยายามพิสูจน์ขอบโลกของพวกเขาได้!! ตอบเลยว่า ไม่!! พวกเขายังไม่ลดความพยายาม โดยทั้งคู่ได้หนีจากการกักตัว เพื่อมุ่งหน้าสู่ขอบโลกอีกครั้ง แต่ก็เช่นเคย ออกไปได้เพียง 3 ชั่วโมง พวกเขาทั้งคู่ก็โดนตำรวจหิ้วกลับเข้าฝั่ง เหตุเพราะการพิสูจน์ขอบโลกของคู่สามี-ภรรยา ไปจบยังจุดเก่าๆ ที่การนั่งคอตกบนเรือเฟอร์รี่ของพวกเขา ที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในโลกกลมๆ เหมือนเช่นเคย

เรื่องราวที่นำมาเล่าให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันในวันนี้ ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งของกลุ่มผู้มีความเชื่อในทฤษฎีโลกแบน ซึ่งที่นำมาเล่าก็ไม่ใช่การตัดสินว่าทฤษฎีของพวกเขานั้นถูกหรือผิด แต่ที่แน่ๆ การเดินเรือพิสูจน์ขอบโลกของสามี-ภรรยา คู่นี้ ผิดเต็มประตู เพราะฝ่าฝืนมาตรการของทางรัฐด้วยการไม่กักตัวอยู่บ้าน แถมยังหลบหนีการกักตัว แล้วออกไปท้าพิสูจน์ขอบโลกแบบไม่แคร์โควิดกันนี่แหละ 

ข้อมูลอ้างอิง : 
https://www.iflscience.com/editors-blog/flat-earthers-attempt-to-get-to-the-edge-of-the-world-ends-in-massive-disappointment/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทั้ง ‘รัก’ ทั้ง ‘เกลียด’ Idiot จริงๆ

หลาย ๆ คนอาจจะเคยเป็น ‘ติ่ง’ หรือ เป็นแฟนคลับของอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน ดารา หรือ การ์ตูน งานอดิเรกต่าง ๆ 

อย่างในสมัยก่อน (หรือสมัยนี้ก็ยังออนแอร์อยู่มั้งนะ อันนี้ส่วนตัวก็ไม่แน่ใจ) จะมีรายการชื่อ “แฟนพันธุ์แท้” ที่หลาย ๆ คนอาจจะไปแข่งขันในการเป็นคนที่รู้ลึก รู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในสิ่งที่เราคลั่งมาก ๆ ผู้ชนะจะได้เป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ 

ตอนที่ได้ดูก็รู้สึกได้เลยว่า โอ้โห ! ผู้คนเหล่านี้เขารัก และ เทิดทูนสิ่งที่เขาชอบเป็นอย่างมากเลยนะคะ จนบางทีก็สงสัยว่า แล้วถ้าเกิดเขารักมาก ๆ ก็ต้องมีอีกคนพวกนึงที่เกลียดมาก ๆ ขึ้นมาจะเป็นยังไง ??

อย่างที่หลาย ๆ คนพูดว่า มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมอยู่แล้วล่ะค่ะ 
แต่เดี๋ยวนี้ มันแปลกตรง!! ใครที่เคยคนรัก เขาก็สามารถกลับกลายมาเกลียดได้ในเวลาเดียวกันด้วย…

มันมีจริง ๆ หรอ?

มีจริง ๆ ค่ะ ! สมัยนี้ Social Media มันรุนแรงจริง ๆ เพราะด้วยกระแสต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามานั้น หากใครยิ่งดังมาก แฟนคลับเยอะมาก ชีวิตส่วนตัวของเหล่าศิลปินนั้น ๆ ก็แทบไม่เหลือ 

บางครั้งถ้าเหล่าแฟนคลับเขาได้ไปรู้ลึกรู้จริงในเรื่องที่ศิลปินไม่ได้อยากให้รู้ และไม่ได้อยากให้ยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ ก็ดีไป แต่ถ้ามันเป็นเรื่องแย่นี่สิ เหล่าแฟนคลับอาจนำมาแฉจนกลายเป็นการทำร้ายศิลปินกันไปเลยทีเดียว 

พอขยายวงกว้างจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง มันก็เลยเกิดเป็นกระแสแบนศิลปินดาราคนนั้นไปเลยก็มี 
อย่างตัวอิชั้นเอง เคยมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า….ศิลปินที่โดนแบนขนาดนี้ หรือโดนทำร้ายจากเหล่า Social Media มากมาย โดยเฉพาะยิ่งเป็นพวกแฟนคลับที่ปากเคยบอกว่ารักนักรักหนา แต่สวนทางกับพฤติกรรมที่เขาทำ (แอบโรคจิต) เพราะยิ่งเห็นศิลปินดาราที่เรารักเจ็บมากเท่าไร พวกหล่อนยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น…. เอ้า ! มันยังไงกันล่ะเนี่ยยย

ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเรื่องมโน โลกใบนี้มันพัฒนาการความโหดร้ายไปถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

เหล่าแฟนคลับทำร้ายตัวศิลปินที่เขารัก มันคงไม่มีหรอก!! 

ประสบการณ์ของอิชั้นที่เคยเห็นภาพชัดแบบ Full HD มาแล้ว เพราะได้ตามติดโปรไฟล์เชิงดิ่งทั้งทั้งไทยและเทศมาพอควร เลยอยากชวนมาเปิดหูเปิดตากันเบา ๆ

อย่างตัวอย่างแรกที่อิชั้นขอนำเสนอการแบนอย่างแรก อย่าง ‘วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ หรือ ‘ไบร์ท’ หรือที่หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักในนาม ‘ไบร์ท-วิน’ นักแสดงซีรีส์วาย ที่กำลังเป็นที่โด่งดังมากในช่วงนี้ แต่เชื่อไหมคะว่าหนุ่มไบร์ทเนี่ยเคยโดนกระแสโดนแบนถึงขนาดขั้นติด #boycottbright กันเลยทีเดียว 


ในช่วงตอนนั้นที่มี # นั้นเกิดขึ้น ตัวอิชั้นเองก็ได้เข้าไปด้อม ๆ มอง ๆ เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น หลาย ๆ คนที่ตั้งโพสต์ลง Social Media ออกมาแฉ ออกมาแบน เพราะรับไม่ค่อยได้กับพฤติกรรมของหนุ่มไบร์ท มีทั้งการเตะบอลอัดใส่เพื่อน ทำลายการประกวดวงดนตรีในโรงเรียน เหยียดเพศ มีการฟอลแอคเคาท์ 18+ มีภาพตอนที่หนุ่มไบร์ทสูบบุหรี่ไฟฟ้า รวมไปถึงการลอกดีไซน์งานคนอื่นในสินค้าของตนเอง ซึ่งในตอนนั้นหนุ่มไบร์ทที่กำลังแจ้งเกิดจากซีรีส์โดนหนักมากๆ เลยล่ะค่ะ ทั้งแฟนคลับไทยและแฟนคลับต่างประเทศ ต่างออกมาแฉวีรกรรมแสบ ๆ ไม่หยุดกันเลยทีเดียว ซึ่งมีข้อสังเกตว่า…ถ้าไม่ใช่แฟนคลับก็อาจจะเป็นกลุ่มที่เกลียดหนุ่มไบร์ทมาตั้งแต่เด็กเลยมั้งคะเนี่ย 

แต่สุดท้ายหนุ่มไบร์ทก็พัฒนาตัวเองให้ทุกคนเห็นว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จนตอนนี้หนุ่มไบร์ทก็กลับมาทำงาน สร้างฐานแฟนคลับได้เยอะขึ้นมากกว่าเดิม เหล่าพวกที่แบนก็คงเลิกอคติและหันมาติดตามผลงานของเจ้าตัวมากขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ

ตัวอย่างต่อมาอิชั้นขอข้ามประเทศนิดนึงนะคะ หลาย ๆ คนก็คงจะรู้จัก Girl Group ตัวแม่อย่าง Girl’s Generation หรือ SNSD ตัวแม่แห่งวงการ K-pop ที่มีอายุอานามวงมากกว่า 10 ปี แต่กว่าจะประสบความสำเร็จมาได้ขนาดนี้ ใครจะคิดล่ะคะว่าพวกนางจะโดนแฟนคลับวงอื่น ๆ แบน ปิดไฟ เชิดใส่พวกนางมาแล้ว ! 


ย้อนไปไกลกว่าปี 2007 ในปีที่ SNSD ได้ออกมาปรากฏตัว เด็กสาว 9 คนจากค่าย SM entertainment ที่มีศิลปินตัวดังอย่าง Super Junior ที่ครองใจตกแฟนคลับในเกาหลีใต้ได้อย่างมากมาย พอพวกนางปรากฏตัว เดบิวต์เป็นศิลปินเท่านั้นแหละคะ…พวกนางโดนแบนเลย ! ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมาก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ค่ายชอบจับ SNSD และ Super Junior ทำงานด้วยกัน ทั้ง 2 วงฝึกด้วยกันมานานก็ย่อมมีความสนิทกัน เป็นธรรมดา ทำให้มีภาพออกตามสื่อต่าง ๆ จากความน่ารักสดใส กลายเป็นความเกลียดขี้หน้า หมั่นไส้ เหล่าแฟนคลับของ Super Junior ก็โกรธสิคะ มายุ่งอะไรกับศิลปิน โอปป้าที่ฉันรักมาตั้งนาน และมีข่าวลือว่าพวกนางศัลยกรรมกันทั้งวง สวยปลอม ๆ 

จนในที่สุดก็มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือ การแบนจากแฟนคลับทุกวง ! ในสมัยนั้นศิลปินจะมาแสดงโชว์เพลงของตัวเอง ก็มีเหล่าแฟนคลับต่างชูแท่งไฟ สีสันสวยงามของวงตัวเอง เมื่อ SNSD ขึ้นมาแสดง แฟนคลับทุกวงต่างพร้อมใจกันปิดไฟ จนเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า Black Ocean ซึ่งเป็นการแบนที่รุนแรงมาก ไม่มีเสียงเชียร์ ไม่มีเสียง กรี้ดใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ทั้งวงรู้สึกเสียใจ แต่สปริตพวกนางก็ยอมแสดงจนจบเพลง… ฮืออออ มันน่าเจ็บปวดใจจริง ๆ นะคะ  


ท้ายที่สุดแล้วพวกนางก็เก็บแรง ให้กำลังใจกันและกัน และฮึดสู้อีกครั้งจนพวกนางได้ปล่อยเพลง “Gee” เพลงที่พลิกโชคชะตา พลิกชีวิตพวกนางให้ดังไปทั่วโลก ผู้คนต่างมาเริ่มสนใจ ฟังเพลง และ ติดตามผลงาน มากยิ่งขึ้นจนในปัจจุบันวงก็ยังเป็นที่โด่งดัง และ ยังเป็นตัวแม่แห่งวงการ Kpop ที่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถล้มได้

และนี้เป็นตัวอย่างของการแบนศิลปินและไอดอลทั้งไทยและต่างประเทศที่ในหลาย ๆ ครั้งการแบนก็เกิดจากเหล่าแฟนคลับที่รักและหลงในตัวศิลปินจนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หลาย ๆ ครั้งศิลปินอาจจะรู้สึกเสียใจและต้องเสียความเป็นส่วนตัว หรือ เสียทั้งกำลังใจในการทำงาน เป็นแฟนคลับที่ดีต้องรู้จักแยกแยะ และ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกันนะคะ 

ข้อมูลอ้างอิง
https://women.kapook.com/view227735.html
https://channel-korea.com/snsd-black-ocean/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตีมือแตก!! ดราม่า ‘เทนม’ ชนวนเหตุ ‘แบน’ รายการจีน สะท้อน ‘กฎหมายแดนมังกร’ ที่ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ

หยุด!! พฤติกรรมสิ้นเปลืองอาหาร 

จีนถึงขั้นออกกฎหมายปรามการสิ้นเปลืองอาหารเป็นการเฉพาะ โดยเมื่อหลายปีที่ผ่านมาประเทศจีนได้รณรงค์ให้ทั่วทั้งสังคมหยุดพฤติกรรมอาหารสิ้นเปลือง จนเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ที่ผ่านมาได้ลงมติผ่าน “กฎหมายต่อต้านการสิ้นเปลืองอาหาร” และประกาศให้มีผลบังคับใช้ทันที 

บริบทของกฎหมายนี้เป็นอย่างไร?
-    การรับประทานอาหารระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ ต้องไม่เกินมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ 
-    สามารถมอบรางวัลแก่ผู้บริโภคที่ “รับประทานอาหารเกลี้ยงจาน” ได้  
-    สามารถเก็บค่าบริหารจัดการขยะอาหาร กับผู้สั่งอาหารเยอะจนเกิดการเหลือทิ้งได้  
-    ภัตตาคารร้านค้าใด ล่อลวงลูกค้าให้สั่งอาหารเกินความพอดี จะต้องถูกลงโทษ ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 หยวน หรือเป็นเงินไทยราว 5 หมื่นบาท
-    ผู้ผลิตและเผยแพร่คลิปวีดีโอ “กินทิ้งกินขว้าง” จะต้องถูกลงโทษ ปรับสูงสุดไม่เกิน 100,000 หยวน หรือราว 5 แสนบาท 

อ่านๆ ดูแล้ว บรรดาคนรุ่นใหม่ อาจจะมองว่ากฎหมายเหล่านี้ ดูไร้สาระ แต่ขอบอกคุณกำลังคิดผิด!! 

พิจารณาได้จากเหตุการณ์สะเทือนวงการไอดอลจีน หลังเกิดคลิป แฟนคลับซื้อนมมาเททิ้งเป็นจำนวนมาก เพื่อเอารหัส QR Code ใต้ฝา ไปโหวตให้กับผู้เข้าแข่งขันจากรายการไอดอลชื่อดัง อย่าง ‘Youth With You 2021'

ซึ่งผลิตภัณฑ์นม เป็นสปอนเซอร์ของรายการ ที่ได้ไอดอลเกาหลี ลิซ่า Black Pink ที่นอกจากจะเมนเทอร์ในรายการ ‘Youth with you 3’ แล้วก็เป็น 1 ในพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์นมแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของจีนอีกด้วย ทำให้ประสบความสำเร็จขายดีเป็นเทน้ำเทท่าหลังสนับสนุนรายการ 

แต่แน่นอนว่า ไม่มีใครที่ซื้อสินค้าไปเพราะอยากจะบริโภค เพียงแต่อยากได้ QR Code ที่แถมกับนมทุกกล่อง เพื่อไปโหวตให้กับผู้เข้าแข่งขันที่ตนเองเชียร์ และชื่นชอบอยู่เท่านั้น 

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมของประชาชนส่วนใหญ่ ได้ขัดกับสิ่งที่รัฐบาลจีนพยายามจะส่งเสริม นั่น คือ ‘การกำชับไม่ให้สื่อสนับสนุนการใช้อาหารอย่างสูญเปล่า’ ส่งผลให้รายการต้องยุติการฉายในรอบตัดสิน 

โดยโครงการต่อต้านการทิ้งอาหาร รัฐบาลจีนได้ออกมาให้ความเห็น ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า…

“นี่คือพฤติกรรมการต้องการแสวงหากำไร โดยไม่สนใจว่าจะต้องทิ้งอาหารอย่างสุรุ่ยสุร่าย แล้วยังเป็นการ ลบหลู่เราแรงงาน ที่ลงมือโรงแรงไปจนได้อาหารเหล่านี้มาซึ่งถือว่าขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน” การทำแบบนี้ยังจะสร้างค่านิยมที่ผิด และบิดเบือนให้กับคนรุ่นใหม่

แล้วทำไมจีนถึง ‘จริงจัง’ กับเรื่องนี้มากขนาดนั้น?

“ใครจะรู้ที่มาของข้าวสวยในถ้วย ทุกเมล็ดมาจากความขยันทำนา อันแสนเหนื่อยล้า” บทกวีโบราณหนึ่ง ภายใต้การชี้นำ ของผู้นำจีน สี จิ้นผิง น่าจะเป็นตัวสะท้อนเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

เหตุเกิดจากการสิ้นเปลืองอาหารในจีน เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมจีน แม้วันนี้จีนจะกลายเป็นประเทศที่เหลือกินเหลือใช้แค่ไหนก็ตาม โดยเขาไม่ต้องการให้ค่านิยมทิ้งขว้างเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลังที่ไม่เคยประสบความยากลำบากเฉกเช่นผู้คนในอดีตมาก่อน 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนก็พยายามยืนหยัด ส่งเสริมการมัธยัสถ์ อดออม ต่อต้านการสิ้นเปลือง หรือจัดแคมเปญ “ทานเกลี้ยงจาน” เพื่อหยุดยั้งการสิ้นเปลืองอาหาร ซึ่งได้รับผลสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการจัดการงบประมาณของรัฐได้ลดน้อยลง แต่อย่างไร ในบางพื้นที่ก็ยังคงแก้ไขปัญหานี้ได้ไม่ดี

นั่นก็เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ ชอบกินเลี้ยงด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่งงานเลี้ยงส่วนใหญ่มักจะ “กินทิ้งกินขว้าง” นั้น ถือเป็น “การบริโภคด้วยเงินหลวง” แม้สถาบันวิจัยจีนเคยประกาศว่า เฉพาะอาหารเหลือทิ้งจากโต๊ะของจีน มีปริมาณมากถึงราว 17-18 ล้านตัน จะพอเลี้ยงผู้คนได้มากถึง 30-50 ล้านคน แต่ปัญหานี้ก็ยังคงดำรงอยู่ในสังคมจีนมาเรื่อย ๆ 

จนกระทั่ง สี จิ้นผิง ได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหานี้ว่า ต้องเพิ่มระเบียบทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กวดขันการกำกับดูแล ใช้มาตรการที่มีประสิทธิผล สร้างกลไกในระยะยาว รวมทั้งต้องเพิ่มการปลูกฝังแนวคิดการประหยัด นิสัยการมัธยัสถ์อดออม ตลอดจนแนวคิด “การประหยัดเป็นเกียรติ และการสิ้นเปลืองเป็นเรื่องน่าอับอาย” ให้เกิดขึ้นในทั่วทั้งสังคมจีนอย่างแท้จริง 
.
ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ “กฎหมายต่อต้านการสิ้นเปลืองอาหาร” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ในจีนในที่สุด…

และการเชือดครั้งใหญ่ บนรายการดังอย่าง ‘Youth With You 2021' ก็น่าจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า

กฎหมายจีน ที่เกิดจากความตั้งใจให้สังคมวิ่งเป็นเส้นตรง ‘ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ’

ข้อมูลอ้างอิง
https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000044594
https://www.jeenthainews.com/china-news/culture/15886_20210510


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top